Skip to main content

ฉัน เกร็งแขนจับไม้ไผ่ลำยาว ค่อยๆ แหวกกอผักกระเฉดที่กำลังทอดยอดงามอยู่ในบ่อ เพื่อเขี่ยซากงูเห่าตัวเขื่องขึ้นมาบนตลิ่ง ลำตัวงูอุ้มน้ำไว้จนบวมพองเท่าต้นแขน สมาชิกสี่ขาที่ยืนลุ้นอยู่รอบบ่อประสานเสียงเห่า


ใครไม่เกี่ยวถอยไป” ฉันตวาด เมื่อเห็นสองสามตัวถลาเข้ามา

ฉัน นั่งยองๆ มองซากงู นอกจากจะบวมอืดเพราะแช่น้ำแล้ว รอยฉีกขาดกลางลำตัวเพราะคมเขี้ยวหมา ยังทำให้เห็นงูตัวน้อยๆ จำนวนมาก ฉันรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก


แม่งูเอ๋ย กินน้ำบ่อไหน กินน้ำบ่อหิน บินไปก็บินมา


ปี หนึ่งเกิดน้ำท่วมใหญ่ทั้งจังหวัด บ้านใต้ถุนสูงหลังเก่าของเราน้ำท่วมจนปริ่มพื้นไม้กระดาน ฉันกับน้องๆ สนุกกับการนั่งพับกระดาษเป็นเรือลอยรอบบ้าน โรงเรียนปิดยาวนานจนรู้สึกคิดถึง


หลังน้ำลดจนแห้งสนิท ฉันพบลูกงูสีดำตัวกระจ้อยร่อยนอนขดอยู่ในรองเท้านักเรียน


จาก นั้น เราก็ได้รู้ว่ามีรังงูเห่าอยู่ในโพรงดินใต้บันไดบ้าน พวกผู้ใหญ่แบกจอบเสียมและมีดพร้ามากันหลายคน เด็กๆ ถูกกันไว้ห่างๆ ได้ยินแค่ว่ามีแม่งูและลูกมากมายอยู่ในรังนั้น


แม่ ฉันหน้าซีดเหมือนจะเป็นลมเมื่อคิดว่าเราก้าวขึ้นลงข้ามรังงูทุกวัน แต่ฉันกลับรู้สึกเศร้าใจเมื่อได้ยินว่าแม่และลูกเหล่านั้นถูกฆ่าตายเกือบหมด ลุงคนหนึ่งบ่นเสียดายที่มีลูกงูบางตัวหนีไป


น่าสงสาร มันไม่มีแม่แล้วมันจะอยู่ยังไงคะ” ฉันเอ่ยถาม แต่ไม่มีใครตอบ

พิลึก เด็กคนนี้ สงสารงูเข้าไปได้” บางคนพูด


ด้วยความเป็นเด็ก ฉันจึงเสียใจกับเรื่องนี้อยู่นานทีเดียว ถ้าเพียงแต่ฉันไม่บอกใครเรื่องลูกงูในรองเท้า พวกมันคงไม่ตาย


แม่งูเอ๋ย กินน้ำบ่อไหน กินน้ำบ่อทราย ย้ายไปก็ย้ายมา


นอก จากถนนดินสายเล็กๆ ที่ทอดไปยังไร่อ้อยแล้ว ด้านหลังทั้งหมดของบ้านสี่ขาก็เป็นป่ารกที่มีทั้งต้นไม้น้อยใหญ่ ดงหญ้าคาสูงท่วมเอว และพงหนามของพืชเถาหลายชนิด แม้แต่คนเลี้ยงวัวควายก็ไม่ค่อยอยากต้อนพวกมันเข้าไปกินหญ้า


ชาวบ้านบอกว่าในป่านั้นมีแต่งู และถ้ามันคิดจะออกมาเปิดหูเปิดตาข้างนอก (บ้าง) ชุมชนแห่งแรกที่ใกล้ที่สุดคือบ้านของฉัน


จำนวน งูที่ออกมาเปิดหูเปิดตามีมากกว่าที่คิด ที่เห็นบ่อยที่สุดคืองูเห่าขี้เรื้อน นอกนั้นคืองูเห่าธรรมดา งูสิง งูเขียว ครั้งเดียวเท่านั้นที่เป็นงูเหลือม ส่วนงูแมวเซาที่เคยเลื้อยเข้าไปถึงที่นอนของเพื่อนบ้านนั้น ฉันยังไม่เคยเจอ (และไม่อยากเจอ)


นี่คือหน้าตาและลวดลายของงูเห่าขี้เรื้อนขาประจำ



อีก ชื่อหนึ่งของมันคือ งูเห่าด่างพ่นพิษ ตำราบอกว่าเป็นชนิดที่ดุกว่างูเห่าธรรมดา พ่นพิษได้ไกลเกือบสองเมตร พ่นหมดสต๊อกยังสามารถผลิตพิษชุดใหม่ได้ภายใน ๒๐ นาที เรียกว่าคุณภาพการผลิตสูงมาก สมควรได้รับ ISO 2008


ครั้งที่ฉันเขียนนิทานจากบ้านสี่ขาตอน ‘ฟ้าใส ฝนดอกประดู่ และงูโชคร้าย’ เพื่อนคนหนึ่งส่งเสียงกรีดกราดมาตามสายทันทีที่ได้อ่าน

ยายบ้า เธอคิดยังไงถึงย้ายบ้านไปอยู่ใกล้ๆ งูเห่า”

ไม่ทันคิด” ฉันตอบ


ใครๆ แนะนำให้ปลูกมะนาวรอบบ้านเพื่อกันงู บางคนบอกว่าเพราะมะนาวเปรี้ยว งูเห็นแล้วเข็ดเขี้ยวเข็ดฟัน บางคนก็ว่าเพราะมะนาวมีหนาม (กุหลาบก็มีหนาม ทำไมงูไม่กลัว) ฉันยังค้นหลักฐานอ้างอิงไม่ได้ว่าทำไมต้องมะนาว


แล้วจะ ต้องปลูกมะนาวสักเท่าไรจึงจะรอบพื้นที่สองร้อยตารางวา ปัญหาสำคัญอยู่ที่ดินบ้านสี่ขา นอกจากหญ้าแล้ว อะไรๆ ก็ปลูกแทบไม่ขึ้น ถ้ามันไม่เต็มใจขึ้นเองเสียอย่างก็บังคับมันไม่ได้ ฉันหว่านเมล็ดมะนาวไว้สามปีแล้ว ไม่มีวี่แววจะงอก เคยซื้อต้นมะนาวเป็นกระถางมาปลูก ก็พร้อมใจตายจากกันไปหมด


เหตุผลที่ฉันพยายามปลูกมะนาว ก็เพื่อกันไม่ให้งูเข้ามาเจอมะพร้าว เพราะระหว่างมะนาวกับมะพร้าว ฉันคิดว่า(สำหรับงูแล้ว) มะพร้าวน่ากลัวกว่า


มะพร้าว เข้ามาเป็นสมาชิกบ้านสี่ขาเมื่อโตเต็มที่แล้ว เนื่องจากย่านเดิมที่มันเคยเร่ร่อนอยู่นั้นมีการวางยาเบื่อหมา มันได้รับการช่วยเหลือจนรอดตายอย่างหวุดหวิด จึงตั้งหน้าตั้งตาตอบแทนบุญคุณด้วยการทำหน้าที่เป็นรปภ.ประจำบ้าน และงานถนัดของมะพร้าวคือการปราบงู


มะพร้าว ฝึกทักษะนี้มาจากไหน ฉันนึกสงสัยอยู่เสมอ เพราะมันเป็นหมาที่เกิดและโตกลางกรุง แต่มันสามารถมองเห็นหรือได้กลิ่นงูที่เลื้อยอยู่ห่างออกไปนับร้อยเมตร บางทีมันลุกพรวดพราดขึ้นกลางดึก วิ่งหายไปในความมืด ได้ยินเสียงโครมครามอยู่ข้างรั้วสังกะสี แล้วเราก็จะได้เห็นซากงูตัวใหญ่ในตอนเช้า


อาการ ฝักใฝ่ในหน้าที่ของมะพร้าวเข้าขั้นหมกมุ่น ในขณะที่หมู่หมาแมวพากันนอนหลับอุตุตอนกลางวัน มะพร้าวจะเดินอยู่รอบบ้าน ซุกจมูกไปตามพงหญ้า ดมไปตามซอกรั้วสังกะสี หรือไม่ก็นั่งเฝ้าอยู่ริมบ่อน้ำ บางครั้งอยู่ๆ มันก็กระโดดตูมลงไป ก่อนจะตะกายกลับขึ้นมาด้วยตัวเปียกโชกพร้อมกับคาบงูติดปากมาด้วย!


สาม สิบห้าตัว คือจำนวนผลงานของมะพร้าวในเกือบสามปีที่มาอยู่บ้านสี่ขา นับเฉพาะที่มีเศษซากหลักฐาน ที่พิสูจน์วัตถุพยานไม่ได้น่าจะมีอีกมาก เกือบทั้งหมดเป็นงูเห่า


เป็นตัวเลขที่น่าเศร้ามากกว่าน่ายินดี


แม่งูเอ๋ย กินน้ำบ่อไหน กินน้ำบ่อโศก โยกไปก็โยกมา


เพื่อน บ้านสันนิษฐานว่า งูเลื้อยเข้าบ้านสี่ขาเพื่อหาน้ำกิน หลายคนบอกว่าฉันโชคดีที่มีหมาเก่ง ในจำนวนหมาแมวถูกทิ้งกว่า ๘๐ ตัวที่อุปการะไว้ มีมะพร้าวตัวเดียวเท่านั้นที่มีคนเอ่ยขอ และแม่ของฉันก็รีบปฏิเสธ


ถ้าไม่มีมัน แม่คงไม่มีวันนอนหลับสนิท” แม่บอกด้วยอาการขนลุกขนพองอย่างคนที่ทั้งเกลียดและกลัวงู


เท่า ที่รู้มา ปกติงูจะไม่ทำร้ายใคร ยกเว้นเพราะตื่นตกใจหรือเพื่อป้องกันตนเอง แต่ฉันไม่รู้จะทำอย่างไร มะพร้าวจึงจะไม่ยุ่งกับงู พอๆ กับไม่รู้จะหาวิธีไหนห้ามงูไม่ให้เข้าบ้าน นึกถึงหลายวันก่อนที่เฉาก๊วยกับเต้าส่วนตาบวมจนปิดเพราะพิษงูเขียวหางไหม้ ไม่นับเต้าหู้กับดวงดีที่เคยรอดหวุดหวิดเพราะทันฉีดเซรุ่มแก้พิษงู


ไม่ว่าหมาหรืองูเป็นฝ่ายถูกทำร้าย ฉันไม่ยินดีทั้งสิ้น

เห็นซากงูเคราะห์ร้ายแต่ละครั้ง ฉันจึงมีทั้งความความโล่งใจและเสียใจ


หน้าตาของมะพร้าวไม่ค่อยสอดคล้องกับภารกิจพิชิตงูสักเท่าไร


นั่งเฝ้าข้างบ่อตามเคย


กับงูสิงที่น่าสงสารอีกตัวหนึ่ง


บล็อกของ มูน

มูน
เพื่อนคนหนึ่งของฉันเพิ่งจากไปในเช้าวันนี้แสงแดดเจิดจ้าของเดือนเมษายนแตะแต้มกลีบบางของดอกดาวกระจายสีชมพู ใกล้ๆ กันเป็นกระถางของเดซี่น้อย ที่กำลังแย้มยิ้มอย่างไร้เดียงสา อวดเกสรสีเหลืองแจ่มใสกับกลีบเล็กสีขาวที่กระจายอยู่รายรอบ“ชอบดอกไม้ไหมจ๊ะ ขนดอกไม้ไปปลูกกันเถอะ” นึกถึงเสียงใสของเธอเมื่อสองเดือนก่อน ตามด้วยคำหยอกเย้าเคล้าเสียงหัวเราะ “หรือชอบเลี้ยงแต่แมวๆ หมาๆ”เธอยิ้มแย้มอยู่ในกระโปรงยาวกรุยกราย เข้ากับผ้าคลุมไหล่สีสวยมีดอกไม้มากมายถูกทิ้งไว้หลังการจัดงานนิทรรศการแห่งหนึ่ง บางส่วนอยู่ในกระถาง บางส่วนอยู่ในถุงดำ คนงานกำลังรื้อถอนส่วนต่างๆ ของงาน บรรดาดอกไม้ประดับถูกขนมากองสุมไว้ด้านนอก“…
มูน
  ไม่สบายกายและใจอยู่หลายวัน พอเรี่ยวแรงคืนมา ฉันก็คว้าจักรยานยนต์คันเก่า ขี่โกรกเกรกกึงกังไปตลาดใหญ่ที่ไกลจากบ้านราวสิบกิโลเมตร รู้สึกสังขารตัวเองใกล้เคียงกับรถ คือมีอะไรสักอย่าง (หรือหลายอย่าง) ที่ไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางนักพอพ้นจากทางดินเป็นถนนลาดยาง รถก็แล่นฉิว ลมพัดพรูจนผมปลิวกระจาย (นึกไปเองว่า) คล้ายๆ โฆษณาแชมพูสระผม ฝนที่ตกหนักไปเมื่อคืนวานทำให้อากาศสดแจ่ม ฟ้าใสกระจ่าง แซงแซวหางปลาเกาะอยู่บนกิ่งประดู่ข้างทาง ในทุ่งที่น้ำเจิ่งนองมีนกกระยางเดินท่องน้ำจ๋อมๆ อยู่หลายตัวลมพัดเสื้อคลุมสะบัดพึ่บพั่บ ชายเสื้อปลิวอยู่ด้านหลัง รู้สึกเริงรื่นจนต้องร้องเพลงดังๆ ตามจังหวะกึงกังของรถ "…
มูน
ฉันกำลังแบกเป้เดินทางรับจ้างทำงานอยู่แถวภาคเหนือ ในช่วงเวลาที่บรรยากาศเริงรื่นยังคงรวยรินแม้จะเลยปีใหม่ไปแล้วหลายวัน คนที่ไม่มีงานประจำ แต่มีรายจ่ายเรียงรายรอคอยอยู่ทุกเดือนอย่างฉัน ไม่มีเวลานั่งอยู่เฉย (ถึงแม้จะอยากนั่ง) ใครจ้างมา ฉันก็ไป เหมือนมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ไม่เกี่ยงระยะทางและผู้โดยสารใกล้เที่ยงคืนที่วางเป้ลงอย่างอ่อนแรงในห้องพักเล็กๆ ควักสมุดบันทึกขึ้นมาคำนวณรายจ่ายและแผนการเดินทางในวันถัดไป ใจคิดล่วงหน้าถึงวันกลับบ้าน ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังแผ่วๆ มาจากกระเป๋าข้างเตียง ............นานหลายปีมาแล้วที่ฉันรู้สึกว่าเทศกาลปีใหม่ไม่ใช่เวลาของความบันเทิงใจ ปีใหม่ในวัยเยาว์ครั้งหนึ่ง…
มูน
สายหมอกสีขาวนุ่มห่มคลุมยอดดอย ในเช้าที่ฉันนั่งรถเข้าหมู่บ้าน ไร่ยาสูบและไร่ข้าวโพดสองข้างทางดูเลือนลางอยู่ในแสงสลัวของดวงตะวัน ที่พยายามแทรกผ่านลมหนาวอย่างสุดความสามารถ“หนาวไหม หนาวเนาะ” พ่อเฒ่าสวมหมวกไหมพรมสีแดงทักถาม ฉันกอดอกแน่น ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก เพราะหนาวจนพูดไม่ออก ควันกรุ่นสีขาวพรูออกทางจมูกเหมือนลมหายใจมังกรไฟในนิทาน คนที่เคยชวนฉันมาเมืองพร้าวไม่เคยเล่าว่าบ้านเกิดของเธอหนาวขนาดนี้สำหรับบางคน ความทรงจำอาจอบอุ่นตลอดกาล แมวลายสามตัวที่นอนอาบแดดกลางลานบ้านวิ่งกันกระจายเมื่อเห็นคนแปลกหน้า เหลือแมวอ้วนสีส้มหมอบอยู่บนอานรถเครื่องคันเก่า “ขอถ่ายรูปหน่อย อยู่นิ่งๆ นะ มือใหม่หัดถ่ายนะ…
มูน
สีสันสดใสในเทศกาลส่งท้ายปี เป็นสัญญาณของการสิ้นสุดและเริ่มต้นใหม่ เพื่อนบ้านคนหนึ่งติดกระดาษริ้วสีทอง เขียนว่า HAPPY NEW YEAR 2008 ไว้เหนือประตูบ้าน อีกหลังติดไฟกระพริบ สลับกันวิบวับตรงนั้นตรงนี้ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งยื่นเค้กช็อคโกแลตให้ แล้วบอกว่า สวัสดีปีใหม่ คิดอะไรขอให้สมปรารถนาฉันยิ้มกับคำอวยพร ถามตัวเองเล่นๆ ในใจว่าปรารถนาอะไรบ้าง โอ้ ช่างมากมายจนน่าอายตัวเอง หนึ่งในความปรารถนาที่ฉันคิดเสมอมาเมื่อถึงวันปีใหม่ คือขอให้ยายได้พบกับป่องหยอด................ความจริงยายไม่ได้เป็นแค่ยาย ยายเคยเป็นแม่ แต่เมื่อลูกสาวคนเดียวของยายตายไป และยายไม่มีญาติที่ไหนอีก…
มูน
เสียงรถมาจอดหน้าบ้าน โต๋เต๋ชันคอขึ้นเป็นครั้งแรกของวัน มันลุกพรวดพราดไปดู สักพักก็เดินหูลู่หางตก กลับมานอนหมอบเป็นรูปปั้นหมาตรงที่เดิม ท่าทางหมกมุ่นหงอยเหงาราวกับคนอมทุกข์ฉันไม่รู้จะช่วยมันได้อย่างไร บางทีก็ไม่อาจมีใครแทนใครได้นึกย้อนไปถึงค่ำวันหนึ่งที่ฉันลงรถประจำทางใกล้แยกบางใหญ่ กำลังสำรวจสภาพกระดูกกระเดี้ยวที่ถูกเบียดเสียดบนรถมานานนับชั่วโมง หางตาก็เห็นอะไรแวบๆ จุดดำๆ เคลื่อนมาตามแนวถนน รถยนต์ก็ไม่ใช่ มอเตอร์ไซค์ก็ไม่เชิง ใกล้เข้ามาถึงเห็นเป็นหมาสีเข้มๆ ตัวหนึ่งกำลังวิ่งสุดฝีเท้าแทบจะแข่งกับรถที่แล่นอยู่บนถนนฉันพยายามมองว่ามันวิ่งตามอะไร เพราะวิ่งแบบนี้ไม่ใช่วิ่งเล่นแน่ๆ…
มูน
แสงแดดอ่อนๆ ในฤดูหนาว ที่ส่องเข้ามาอาบขนนุ่มละเอียดของแมวข้างหน้าต่าง ทำให้ฉันคิดถึงเด็กคนหนึ่งและความสุขที่ยังคงอุ่นอยู่ในใจเสมอมาหลังเรียนจบ ฉันทำงานพัฒนาชนบทอยู่ที่เมืองโคราช และได้พบกับจ่อย เด็กน้อยวัยสี่ขวบในศูนย์บริบาลเด็กขาดสารอาหารของโรงพยาบาลประจำอำเภอ จ่อยเคยเป็นเด็กขาดอาหารระดับรุนแรง หลังจากรับการรักษาฟื้นฟูจึงเริ่มเดินได้เมื่ออายุราวสามขวบ และเป็นเด็กที่ช่างจดจำอย่างน่าอัศจรรย์ สามารถเรียกชื่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุกคนที่รู้จักได้ไม่พลาด ขอแค่ได้ฟังเสียง หรือใช้มือป้อมๆ ลูบคิ้วคางปากจมูกของคนนั้น หลังโรงพยาบาลเป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ…
มูน
“ชีวิตดังตัวคนเดียว ท่ามกลางทะเลเปลี่ยว ต้องลอยคว้างกลางลมคลื่นหลับใหลไม่เคยเต็มตื่น ข้าวกลืนไม่เคยอิ่ม โอ้ รอยยิ้มไม่เคยได้” เสียงเพลง “ชีวิตคนเศร้า” ของทูล ทองใจ ทำให้ฉันนึกถึงพ่อ และท่อนหนึ่งของเพลงที่พ่อมักร้องซ้ำไปซ้ำมาไม่เคยจบสักทีพ่อหิ้วกระเป๋าออกจากบ้านปู่ตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบ ทิ้งผืนนาไปตามหาความฝันของวัยหนุ่ม แต่ดูเหมือนว่าพ่อใช้เวลาตามหาตลอดชีวิต และพบเพียงความฝันที่แหว่งวิ่น ความทรงจำของฉันเกี่ยวกับพ่อ เหมือนชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจาย แต่ทุกชิ้นชัดเจน และไม่เคยสักครั้งที่ฉันคิดจะลืมตอนที่ฉันอายุราวๆ ห้าหกขวบ พ่อพาไปดูหนังอินเดียเรื่อง “โชเล่ย์” ที่โรงหนังประชาบดี…
มูน
ใกล้บ้านเช่าหลังเก่าของฉันที่ขอนแก่น มีวัดป่าแห่งหนึ่งร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ฉันชอบไปเดินเล่นดูโบสถ์เก่าแก่คร่ำคร่าเต็มไปด้วยรอยตะไคร่ ไปนั่งฟังเสียงลมพัดใบไม้ และนั่งเล่นริมบึงกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยปลา เป็นวัดที่ให้บรรยากาศสงบงามสมกับเป็นสถานที่สำหรับ "หนีร้อนมาพึ่งเย็น" จริงๆ แต่ฉันไม่เคยเห็นวัดไหนเต็มไปด้วยไก่เท่าวัดนี้ ไก่หลากสีหลายขนาดเดินกันขวักไขว่ นับคร่าวๆ ได้สักหกหรือเจ็ดสิบตัว หลายตัวบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งเตี้ยๆ ของต้นก้ามปูใหญ่ เจ้าอาวาสบอกว่า คนแถบนี้นิยมปล่อยไก่เป็นการสะเดาะเคราะห์อย่างหนึ่ง"สมัยก่อนเขาต้องตัดหางด้วยนะ ที่เรียกว่าตัดหางปล่อยวัดไงล่ะ" ฉันถามถึงจำนวนไก่…
มูน
ลมหนาวพัดฟางหลังเก็บเกี่ยวปลิวว่อนกลางทุ่ง หลายบ้านเตรียมโกยฟางมัดเป็นท่อนเก็บไว้ให้วัวควายในหน้าแล้ง นึกเล่นๆ ว่าถ้าคนเรากินแค่หญ้าก็คงจะดี ไม่ต้องมีกิเลสอยากกินนั่นนี่ให้เดือดร้อนไปถึงพืชและสัตว์อีกมากมาย ที่ต้องถูกไล่ล่าบ้าง ถูกบังคับให้โตผิดธรรมชาติบ้าง ถูกเปลี่ยนนั่นแปลงนี่ให้ถูกใจคนจนวุ่นวายไปทั้งโลก เข้าทำนองเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว (ว่าเข้าไปนั่น)คิดจนหิว จึงหันไปเปิดตู้กับข้าว อะไรกันนี่ ช่างโล่งดีแท้ๆ มีแต่ถ้วยน้ำปลาพริกขี้หนู อ้อ มีปลาทู(แย่งแมวมา)หนึ่งตัว ทำปลาทูต้มน้ำปลาดีกว่า ทำง้ายง่าย แล้วก็อร้อย อร่อย ตั้งน้ำให้เดือดพลั่กๆ ใส่ปลาทู เหยาะน้ำปลาพริกขี้หนู บีบมะนาว…
มูน
หมาขนฟูสีขาวในรถยนต์คันใหญ่ที่จอดติดไฟแดงอยู่ตรงสี่แยกนั้น ทำให้ฉันคิดถึงลัคกี้สมัยที่ฉันยังรับจ้างทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่ง สำนักงานเราเป็นบ้านเช่าที่อยู่ติดกับรั้วด้านหลังของบ้านสวนกว้างใหญ่ เจ้าของบ้านสวนก็คือเจ้าของบ้านเช่า รวมทั้งหอพักปากซอย ร้านค้าและตึกแถวใหญ่ในตลาด แถมที่ดินจัดสรรอีกหลายแห่งคุณนายเจ้าของบ้านเช่ามีลูกสาวทำงานอยู่ต่างประเทศ ครั้งหนึ่งลูกสาวกลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมกับซื้อลัคกี้มาฝากแม่  เราเห็นหมาตัวโตขนยาวขาวสะอาดนั่งชูคอในรถยนต์ไปไหนๆ กับคุณนาย ที่ชอบใจนักเวลามีคนชมความสวยสง่าของลัคกี้ แล้วเธอก็จะคุยให้ใครๆ ฟังถึงลูกสาวคนเก่ง ลัคกี้ร่าเริงและชอบอยู่ใกล้ๆ คน…
มูน
จับเจ่ารอรถอยู่ที่สถานีขนส่งเมืองอุบลฯ ลมปลายเดือนตุลาคมพัดมาในช่วงค่ำทำให้ต้องนั่งกอดอก กำลังเกือบสัปหงกเมื่อรู้สึกเหมือนมีใครบางคนมายืนเกือบชิดหัวเข่าโงหัวขึ้นเจอกับดวงตากลมใสคู่หนึ่ง กำลังจ้องมองฉันอยู่อย่างคาดหวังเรามองตากันอยู่เงียบๆ ฉันพินิจลักษณะของเธอแล้วเดาว่า น่าจะกำลังเป็นแม่ลูกอ่อน ด้วยว่าเต้านมที่หย่อนยานนั้นดูอวบเต่ง แต่รูปร่างที่ผอมเกร็งก็บอกว่า อาการการกินคงไม่บริบูรณ์เท่าไร อาจจะถึงขั้นขาดแคลนเสียด้วยซ้ำ “หิวเหรอจ๊ะ” ฉันถามเบาๆ ไม่มีเสียงจากเธอ แต่มีคำตอบอยู่ในแววตาละห้อยคู่นั้นฉันเหลียวซ้ายแลขวาไปทั่วท่ารถที่ค่อนข้างเงียบเหงา รถโดยสารที่แล่นระหว่างอำเภอหมดไปนานแล้ว…