Skip to main content
"ผมไม่กล้ามานอนแถวนี้อีกเลย"
ได้ยินเสียงคนขับรถคุยกับผู้โดยสารบางคน บนเส้นทางระหว่างบ้านสุขสำราญ จังหวัดระนอง ถึงอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา


แม้สภาพปรักหักพังทั้งหมดจะไม่หลงเหลือให้เห็น แต่ร่องรอยซ่อมแซมบ้านเรือน รวมทั้งถนนสายยาว ยังคงบอกเล่าเรื่องราวในอดีต

ฉันเฝ้ามองอย่างตั้งใจประทับความทรงจำในท้องถิ่นที่เพิ่งมีโอกาสผ่านมาเห็นเป็นครั้งแรก ต้นไม้เรียงรายผ่านสายตาตามความเร็วของรถที่แล่นตะบึงไปข้างหน้า แต่ความคิดคำนึงของฉันกำลังเดินช้าๆ และถอยหลัง
.......

"บ้านฉันอยู่บางม่วง ขอเป็นน้องสาวของพี่นะคะ"
ถ้อยคำในจดหมายฉบับหนึ่ง ส่งมาถึงฉันเมื่อยี่สิบปีก่อน รอยหมึกบนตราไปรษณียากรบอกว่ามาจากตะกั่วป่า

เวลาเนิ่นนานจนฉันจำไม่ได้ว่าเรารู้จักกันได้อย่างไร อาจเป็นคอลัมน์หาเพื่อนใหม่ ในหนังสือวัยหวานสักเล่มหนึ่ง เธออายุน้อยกว่าฉันห้าปี

"ขอบคุณที่พี่ตอบจดหมาย ฉันดีใจที่สุดในโลก"
ทุกสัปดาห์จะมีจดหมายจากบางม่วง สอดมาในซองหลากสีที่พิมพ์ลายการ์ตูน ถ้อยคำของเธอตรงและซื่อ บางครั้งสดใส แต่บางครั้งก็แฝงความเศร้าบางอย่าง ฉันไม่อาจตัดสินความเป็นไปในครอบครัวของเธอ จึงได้แต่ปลอบโยนและให้กำลังใจ เราคุยกันอยู่นานนับปี เธอเขียนถึงฉันมากกว่าฉันเขียนถึงเธอ

วันหนึ่งเธอคร่ำครวญมาว่าต้องออกจากโรงเรียน
"ไม่มีใครอยากส่งฉันเรียนหนังสือ ไม่มีใครถามว่าฉันอยากทำอะไร"
"ก็แล้วน้องอยากทำอะไรเล่า" ฉันถามกลับไป
"ไม่รู้สิ ฉันแค่อยากมีความสุข" เธอตอบ
ในเวลานั้น เรายังไม่รู้จักอินเตอร์เน็ต ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีวิทยุติดตามตัว ถ้อยสนทนาระหว่างเรา ใช้เวลาอย่างเร็วที่สุด 7 วันในการเดินทางถึงกัน แต่บางครั้งก็นานนับเดือน

"พี่ทำไมหายเงียบไป รู้ไหมฉันใจคอไม่ดี ฉันรอจดหมายพี่ทุกวัน"
ฉันเลือกที่จะไม่ใส่ใจถ้อยคำตัดพ้อ เพราะกำลังวุ่นวายกับการเรียนปีสุดท้ายในมหาวิทยาลัย และตื่นเต้นกับเรื่องใหม่ๆ ในชีวิต ที่ดูเหมือนจะสำคัญกว่าการเฝ้ารออ่านและเขียนจดหมายถึงคนที่ยังไม่เคยพบหน้า

หนังสือเล่มหนึ่งเขียนว่า จงยิ้มให้คนอื่นเสมอ เพราะนั่นอาจเป็นยิ้มแรกและยิ้มเดียวที่ใครบางคนได้รับ แต่ในครั้งนั้น ฉันยังไม่ตระหนักกับความหมายของมัน

เธอหายไปนานหลายเดือน ก่อนจะส่งข่าวมาพร้อมรอยประทับตราไปรษณีย์ที่เปลี่ยนไป
"ตอนนี้ฉันมาสมัครทำงานเป็นแม่บ้านที่โรงแรม... แถวๆ หาดป่าตอง ต้องปูที่นอนเก็บที่นอนทุกวัน แขกบางคนสกปรกมากเลยพี่ แต่ก็ต้องทน ฉันจะไม่กลับบ้านอีกแล้ว"

เธอทำงานหนักอยู่นานปี เหน็ดเหนื่อยและเจ็บปวดกับความฝันหลายๆ อย่างที่ไม่เป็นจริง  
"ฉันมีข่าวจะบอก ฉันแต่งงานแล้วนะ ไม่มีพิธีอะไร แค่ผูกข้อมือ ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันรักเขาไหม แต่เขาบอกว่ารักฉันมาก ฉันควรพอใจใช่ไหมพี่"

"อยากให้พี่มาหาจังเลย วันไหนเจอหน้าพี่ ฉันคงตื่นเต้นจนคุยอะไรไม่ออก"
ฉันกำลังทุ่มเทให้กับการทำงานอาสาพัฒนาในชนบทอีสาน เกาะภูเก็ตช่างอยู่ไกลแสนไกลในความรู้สึก อีกทั้งค่าเดินทางยังเป็นตัวเลขที่น่าตกใจสำหรับฉัน(ในตอนนั้น)

"เมื่อไหร่พี่ถึงจะมาเยี่ยมฉันล่ะคะ พี่คงไม่ได้รังเกียจฉันใช่ไหม"
เรื่องราวมากมายในชีวิตช่วงหนึ่ง ทำให้ฉันห่างเหินการคุยทางจดหมาย เธอยังส่งข่าวมาสม่ำเสมอ บางฉบับมีความน้อยใจเจือปนมาด้วย ฉันได้แต่ผัดวันประกันพรุ่งกับตัวเองด้วยเหตุผลว่า "ไม่ค่อยมีเวลา" แต่เมื่อคิดทบทวนภายหลัง ก็เห็นว่าเป็นแค่ข้ออ้างให้กับเรื่องที่เราไม่ให้ความสำคัญ

"ลูกฉันไม่สบายอีกแล้ว ฉันปวดหัวจนทำอะไรไม่ถูก ถ้ามีพี่อยู่ใกล้ๆ ฉันคงสบายใจกว่านี้"
วันหนึ่งเธอหอบลูกย้ายกลับมาอยู่ที่ตะกั่วป่า ไม่มีถ้อยคำใดกล่าวถึงพ่อของลูก และฉันก็ไม่ได้ถาม เธอเลิกพูดถึงตัวเอง จดหมายทุกฉบับมีแต่เรื่องของลูก ฉันคิดว่าพังงาก็ยังใกล้กว่าภูเก็ต สักวันฉันคงมีโอกาสไปหาเธอ ไปเยี่ยมลูกของเธอ ไปขอโทษที่ปล่อยให้เธอรอนาน แต่จนแล้วจนรอด ฉันก็ยังไม่ได้ไป มีอะไรที่ฉันเห็นว่าสำคัญกว่าในตอนนั้น ฉันเองก็ลืมไปแล้ว

ปลายปี 2547 คลื่นยักษ์สาดซัดเข้ามาใน 6 จังหวัดภาคใต้ หมู่บ้านของเธอเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เสียหายรุนแรงที่สุด ทั้งบ้านเรือนและชีวิตผู้คน

ฉันลุกขึ้นมาค้นหาเธออย่างตื่นตระหนก ไล่ตามดูหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ไม่มีชื่อและนามสกุลของเธอ พยายามคิดว่าเธอคงปลอดภัยอยู่ที่ไหนสักแห่ง 

เวลาผ่านไป ฉันพยายามหัดใช้อินเตอร์เน็ตค้นหาเธอ เมื่อไม่พบ ก็ค้นเฉพาะนามสกุล ฉันโทรศัพท์ไปยังหมายเลขของคนที่มีนามสกุลพ้องกัน แต่ก็คว้าน้ำเหลว ส่งจดหมายไปตามที่อยู่ครั้งสุดท้าย แต่ไม่มีคำตอบกลับ เธอหายไปเหมือนไม่มีตัวตน เหมือนผู้สูญหายอีกนับพันคนที่ยังค้นหาไม่พบ

ตู้ไปรษณีย์สีขาวที่รั้วบ้านเก่าผุไปตามเวลา ฉันไม่ได้เปลี่ยนตู้ใหม่ และยังคงเฝ้ารออย่างใจจดจ่อ แต่จนถึงวันนี้ไม่มีจดหมายจากบางม่วงอีกเลย

"ในโลกนี้ พี่เป็นพี่สาวคนเดียวของฉัน"
ประโยคนี้ในความทรงจำ ทำให้ฉันมีน้ำตาทุกครั้ง

วันเวลาเหมือนสายน้ำที่ไม่ไหลกลับ หลายเรื่องราวเราไม่มีโอกาสแก้ไขใหม่ บทเรียนนี้บอกฉันว่า อย่าลังเลหรือรีรอที่จะลงมือทำในสิ่งที่อยากทำ หรือสิ่งที่คิดว่าควรจะทำ

เพราะเพียงเราหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของตัวเอง กว่าจะรู้สึก เราอาจทำคนสำคัญบางคนหล่นหายไปจากชีวิต

บล็อกของ มูน

มูน
เพื่อนคนหนึ่งของฉันเพิ่งจากไปในเช้าวันนี้แสงแดดเจิดจ้าของเดือนเมษายนแตะแต้มกลีบบางของดอกดาวกระจายสีชมพู ใกล้ๆ กันเป็นกระถางของเดซี่น้อย ที่กำลังแย้มยิ้มอย่างไร้เดียงสา อวดเกสรสีเหลืองแจ่มใสกับกลีบเล็กสีขาวที่กระจายอยู่รายรอบ“ชอบดอกไม้ไหมจ๊ะ ขนดอกไม้ไปปลูกกันเถอะ” นึกถึงเสียงใสของเธอเมื่อสองเดือนก่อน ตามด้วยคำหยอกเย้าเคล้าเสียงหัวเราะ “หรือชอบเลี้ยงแต่แมวๆ หมาๆ”เธอยิ้มแย้มอยู่ในกระโปรงยาวกรุยกราย เข้ากับผ้าคลุมไหล่สีสวยมีดอกไม้มากมายถูกทิ้งไว้หลังการจัดงานนิทรรศการแห่งหนึ่ง บางส่วนอยู่ในกระถาง บางส่วนอยู่ในถุงดำ คนงานกำลังรื้อถอนส่วนต่างๆ ของงาน บรรดาดอกไม้ประดับถูกขนมากองสุมไว้ด้านนอก“…
มูน
  ไม่สบายกายและใจอยู่หลายวัน พอเรี่ยวแรงคืนมา ฉันก็คว้าจักรยานยนต์คันเก่า ขี่โกรกเกรกกึงกังไปตลาดใหญ่ที่ไกลจากบ้านราวสิบกิโลเมตร รู้สึกสังขารตัวเองใกล้เคียงกับรถ คือมีอะไรสักอย่าง (หรือหลายอย่าง) ที่ไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางนักพอพ้นจากทางดินเป็นถนนลาดยาง รถก็แล่นฉิว ลมพัดพรูจนผมปลิวกระจาย (นึกไปเองว่า) คล้ายๆ โฆษณาแชมพูสระผม ฝนที่ตกหนักไปเมื่อคืนวานทำให้อากาศสดแจ่ม ฟ้าใสกระจ่าง แซงแซวหางปลาเกาะอยู่บนกิ่งประดู่ข้างทาง ในทุ่งที่น้ำเจิ่งนองมีนกกระยางเดินท่องน้ำจ๋อมๆ อยู่หลายตัวลมพัดเสื้อคลุมสะบัดพึ่บพั่บ ชายเสื้อปลิวอยู่ด้านหลัง รู้สึกเริงรื่นจนต้องร้องเพลงดังๆ ตามจังหวะกึงกังของรถ "…
มูน
ฉันกำลังแบกเป้เดินทางรับจ้างทำงานอยู่แถวภาคเหนือ ในช่วงเวลาที่บรรยากาศเริงรื่นยังคงรวยรินแม้จะเลยปีใหม่ไปแล้วหลายวัน คนที่ไม่มีงานประจำ แต่มีรายจ่ายเรียงรายรอคอยอยู่ทุกเดือนอย่างฉัน ไม่มีเวลานั่งอยู่เฉย (ถึงแม้จะอยากนั่ง) ใครจ้างมา ฉันก็ไป เหมือนมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ไม่เกี่ยงระยะทางและผู้โดยสารใกล้เที่ยงคืนที่วางเป้ลงอย่างอ่อนแรงในห้องพักเล็กๆ ควักสมุดบันทึกขึ้นมาคำนวณรายจ่ายและแผนการเดินทางในวันถัดไป ใจคิดล่วงหน้าถึงวันกลับบ้าน ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังแผ่วๆ มาจากกระเป๋าข้างเตียง ............นานหลายปีมาแล้วที่ฉันรู้สึกว่าเทศกาลปีใหม่ไม่ใช่เวลาของความบันเทิงใจ ปีใหม่ในวัยเยาว์ครั้งหนึ่ง…
มูน
สายหมอกสีขาวนุ่มห่มคลุมยอดดอย ในเช้าที่ฉันนั่งรถเข้าหมู่บ้าน ไร่ยาสูบและไร่ข้าวโพดสองข้างทางดูเลือนลางอยู่ในแสงสลัวของดวงตะวัน ที่พยายามแทรกผ่านลมหนาวอย่างสุดความสามารถ“หนาวไหม หนาวเนาะ” พ่อเฒ่าสวมหมวกไหมพรมสีแดงทักถาม ฉันกอดอกแน่น ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก เพราะหนาวจนพูดไม่ออก ควันกรุ่นสีขาวพรูออกทางจมูกเหมือนลมหายใจมังกรไฟในนิทาน คนที่เคยชวนฉันมาเมืองพร้าวไม่เคยเล่าว่าบ้านเกิดของเธอหนาวขนาดนี้สำหรับบางคน ความทรงจำอาจอบอุ่นตลอดกาล แมวลายสามตัวที่นอนอาบแดดกลางลานบ้านวิ่งกันกระจายเมื่อเห็นคนแปลกหน้า เหลือแมวอ้วนสีส้มหมอบอยู่บนอานรถเครื่องคันเก่า “ขอถ่ายรูปหน่อย อยู่นิ่งๆ นะ มือใหม่หัดถ่ายนะ…
มูน
สีสันสดใสในเทศกาลส่งท้ายปี เป็นสัญญาณของการสิ้นสุดและเริ่มต้นใหม่ เพื่อนบ้านคนหนึ่งติดกระดาษริ้วสีทอง เขียนว่า HAPPY NEW YEAR 2008 ไว้เหนือประตูบ้าน อีกหลังติดไฟกระพริบ สลับกันวิบวับตรงนั้นตรงนี้ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งยื่นเค้กช็อคโกแลตให้ แล้วบอกว่า สวัสดีปีใหม่ คิดอะไรขอให้สมปรารถนาฉันยิ้มกับคำอวยพร ถามตัวเองเล่นๆ ในใจว่าปรารถนาอะไรบ้าง โอ้ ช่างมากมายจนน่าอายตัวเอง หนึ่งในความปรารถนาที่ฉันคิดเสมอมาเมื่อถึงวันปีใหม่ คือขอให้ยายได้พบกับป่องหยอด................ความจริงยายไม่ได้เป็นแค่ยาย ยายเคยเป็นแม่ แต่เมื่อลูกสาวคนเดียวของยายตายไป และยายไม่มีญาติที่ไหนอีก…
มูน
เสียงรถมาจอดหน้าบ้าน โต๋เต๋ชันคอขึ้นเป็นครั้งแรกของวัน มันลุกพรวดพราดไปดู สักพักก็เดินหูลู่หางตก กลับมานอนหมอบเป็นรูปปั้นหมาตรงที่เดิม ท่าทางหมกมุ่นหงอยเหงาราวกับคนอมทุกข์ฉันไม่รู้จะช่วยมันได้อย่างไร บางทีก็ไม่อาจมีใครแทนใครได้นึกย้อนไปถึงค่ำวันหนึ่งที่ฉันลงรถประจำทางใกล้แยกบางใหญ่ กำลังสำรวจสภาพกระดูกกระเดี้ยวที่ถูกเบียดเสียดบนรถมานานนับชั่วโมง หางตาก็เห็นอะไรแวบๆ จุดดำๆ เคลื่อนมาตามแนวถนน รถยนต์ก็ไม่ใช่ มอเตอร์ไซค์ก็ไม่เชิง ใกล้เข้ามาถึงเห็นเป็นหมาสีเข้มๆ ตัวหนึ่งกำลังวิ่งสุดฝีเท้าแทบจะแข่งกับรถที่แล่นอยู่บนถนนฉันพยายามมองว่ามันวิ่งตามอะไร เพราะวิ่งแบบนี้ไม่ใช่วิ่งเล่นแน่ๆ…
มูน
แสงแดดอ่อนๆ ในฤดูหนาว ที่ส่องเข้ามาอาบขนนุ่มละเอียดของแมวข้างหน้าต่าง ทำให้ฉันคิดถึงเด็กคนหนึ่งและความสุขที่ยังคงอุ่นอยู่ในใจเสมอมาหลังเรียนจบ ฉันทำงานพัฒนาชนบทอยู่ที่เมืองโคราช และได้พบกับจ่อย เด็กน้อยวัยสี่ขวบในศูนย์บริบาลเด็กขาดสารอาหารของโรงพยาบาลประจำอำเภอ จ่อยเคยเป็นเด็กขาดอาหารระดับรุนแรง หลังจากรับการรักษาฟื้นฟูจึงเริ่มเดินได้เมื่ออายุราวสามขวบ และเป็นเด็กที่ช่างจดจำอย่างน่าอัศจรรย์ สามารถเรียกชื่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุกคนที่รู้จักได้ไม่พลาด ขอแค่ได้ฟังเสียง หรือใช้มือป้อมๆ ลูบคิ้วคางปากจมูกของคนนั้น หลังโรงพยาบาลเป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ…
มูน
“ชีวิตดังตัวคนเดียว ท่ามกลางทะเลเปลี่ยว ต้องลอยคว้างกลางลมคลื่นหลับใหลไม่เคยเต็มตื่น ข้าวกลืนไม่เคยอิ่ม โอ้ รอยยิ้มไม่เคยได้” เสียงเพลง “ชีวิตคนเศร้า” ของทูล ทองใจ ทำให้ฉันนึกถึงพ่อ และท่อนหนึ่งของเพลงที่พ่อมักร้องซ้ำไปซ้ำมาไม่เคยจบสักทีพ่อหิ้วกระเป๋าออกจากบ้านปู่ตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบ ทิ้งผืนนาไปตามหาความฝันของวัยหนุ่ม แต่ดูเหมือนว่าพ่อใช้เวลาตามหาตลอดชีวิต และพบเพียงความฝันที่แหว่งวิ่น ความทรงจำของฉันเกี่ยวกับพ่อ เหมือนชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจาย แต่ทุกชิ้นชัดเจน และไม่เคยสักครั้งที่ฉันคิดจะลืมตอนที่ฉันอายุราวๆ ห้าหกขวบ พ่อพาไปดูหนังอินเดียเรื่อง “โชเล่ย์” ที่โรงหนังประชาบดี…
มูน
ใกล้บ้านเช่าหลังเก่าของฉันที่ขอนแก่น มีวัดป่าแห่งหนึ่งร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ฉันชอบไปเดินเล่นดูโบสถ์เก่าแก่คร่ำคร่าเต็มไปด้วยรอยตะไคร่ ไปนั่งฟังเสียงลมพัดใบไม้ และนั่งเล่นริมบึงกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยปลา เป็นวัดที่ให้บรรยากาศสงบงามสมกับเป็นสถานที่สำหรับ "หนีร้อนมาพึ่งเย็น" จริงๆ แต่ฉันไม่เคยเห็นวัดไหนเต็มไปด้วยไก่เท่าวัดนี้ ไก่หลากสีหลายขนาดเดินกันขวักไขว่ นับคร่าวๆ ได้สักหกหรือเจ็ดสิบตัว หลายตัวบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งเตี้ยๆ ของต้นก้ามปูใหญ่ เจ้าอาวาสบอกว่า คนแถบนี้นิยมปล่อยไก่เป็นการสะเดาะเคราะห์อย่างหนึ่ง"สมัยก่อนเขาต้องตัดหางด้วยนะ ที่เรียกว่าตัดหางปล่อยวัดไงล่ะ" ฉันถามถึงจำนวนไก่…
มูน
ลมหนาวพัดฟางหลังเก็บเกี่ยวปลิวว่อนกลางทุ่ง หลายบ้านเตรียมโกยฟางมัดเป็นท่อนเก็บไว้ให้วัวควายในหน้าแล้ง นึกเล่นๆ ว่าถ้าคนเรากินแค่หญ้าก็คงจะดี ไม่ต้องมีกิเลสอยากกินนั่นนี่ให้เดือดร้อนไปถึงพืชและสัตว์อีกมากมาย ที่ต้องถูกไล่ล่าบ้าง ถูกบังคับให้โตผิดธรรมชาติบ้าง ถูกเปลี่ยนนั่นแปลงนี่ให้ถูกใจคนจนวุ่นวายไปทั้งโลก เข้าทำนองเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว (ว่าเข้าไปนั่น)คิดจนหิว จึงหันไปเปิดตู้กับข้าว อะไรกันนี่ ช่างโล่งดีแท้ๆ มีแต่ถ้วยน้ำปลาพริกขี้หนู อ้อ มีปลาทู(แย่งแมวมา)หนึ่งตัว ทำปลาทูต้มน้ำปลาดีกว่า ทำง้ายง่าย แล้วก็อร้อย อร่อย ตั้งน้ำให้เดือดพลั่กๆ ใส่ปลาทู เหยาะน้ำปลาพริกขี้หนู บีบมะนาว…
มูน
หมาขนฟูสีขาวในรถยนต์คันใหญ่ที่จอดติดไฟแดงอยู่ตรงสี่แยกนั้น ทำให้ฉันคิดถึงลัคกี้สมัยที่ฉันยังรับจ้างทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่ง สำนักงานเราเป็นบ้านเช่าที่อยู่ติดกับรั้วด้านหลังของบ้านสวนกว้างใหญ่ เจ้าของบ้านสวนก็คือเจ้าของบ้านเช่า รวมทั้งหอพักปากซอย ร้านค้าและตึกแถวใหญ่ในตลาด แถมที่ดินจัดสรรอีกหลายแห่งคุณนายเจ้าของบ้านเช่ามีลูกสาวทำงานอยู่ต่างประเทศ ครั้งหนึ่งลูกสาวกลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมกับซื้อลัคกี้มาฝากแม่  เราเห็นหมาตัวโตขนยาวขาวสะอาดนั่งชูคอในรถยนต์ไปไหนๆ กับคุณนาย ที่ชอบใจนักเวลามีคนชมความสวยสง่าของลัคกี้ แล้วเธอก็จะคุยให้ใครๆ ฟังถึงลูกสาวคนเก่ง ลัคกี้ร่าเริงและชอบอยู่ใกล้ๆ คน…
มูน
จับเจ่ารอรถอยู่ที่สถานีขนส่งเมืองอุบลฯ ลมปลายเดือนตุลาคมพัดมาในช่วงค่ำทำให้ต้องนั่งกอดอก กำลังเกือบสัปหงกเมื่อรู้สึกเหมือนมีใครบางคนมายืนเกือบชิดหัวเข่าโงหัวขึ้นเจอกับดวงตากลมใสคู่หนึ่ง กำลังจ้องมองฉันอยู่อย่างคาดหวังเรามองตากันอยู่เงียบๆ ฉันพินิจลักษณะของเธอแล้วเดาว่า น่าจะกำลังเป็นแม่ลูกอ่อน ด้วยว่าเต้านมที่หย่อนยานนั้นดูอวบเต่ง แต่รูปร่างที่ผอมเกร็งก็บอกว่า อาการการกินคงไม่บริบูรณ์เท่าไร อาจจะถึงขั้นขาดแคลนเสียด้วยซ้ำ “หิวเหรอจ๊ะ” ฉันถามเบาๆ ไม่มีเสียงจากเธอ แต่มีคำตอบอยู่ในแววตาละห้อยคู่นั้นฉันเหลียวซ้ายแลขวาไปทั่วท่ารถที่ค่อนข้างเงียบเหงา รถโดยสารที่แล่นระหว่างอำเภอหมดไปนานแล้ว…