Skip to main content

"ระหว่างแมวกับหมา เธอรักอะไรมากกว่ากัน"
อยู่ๆ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งก็ตั้งคำถามกับฉัน
"ถามทำไม งานวิจัยชิ้นใหม่เหรอ" ฉันแกล้งย้อน
"ก็อยากรู้อ้ะ เห็นเลี้ยงแมวหมาเต็มบ้าน น่ารักรึก็ไม่น่ารักสักกะตัว ขี้เรื้อนอีกต่างหาก"
"ขาดแมวก็เหงา ขาดหมาเราคงเสียใจ ไม่อยากจะเลือกใคร อยากเก็บเอาไว้ทั้งสองตัว" ฉันตอบเป็นเพลงทาทายัง
"แต่ฉันว่าเธอน่าจะรักแมวมากกว่า" เธอสรุป "เพราะเธอขยันเก็บแมวมากกว่าเก็บหมา"

ฉันบอกเธอว่า จำนวนหมาสามสิบกว่า กับแมวสี่สิบกว่าๆ ไม่ได้หมายความว่าฉันรักอะไรมากกว่าอะไร
"อยู่ที่ว่าช่วงไหนฉันมีโอกาสช่วยอะไรมากกว่าต่างหาก"
"ถ้างั้นแสดงว่า มีคนเกลียดแมวมากกว่าหมา" คราวนี้เธอหันไปตั้งท่าวิจัยคนอื่น "ถึงมีแมวถูกทิ้งมาให้เธอช่วยมากกว่าหมา จริงมั้ย"
ฉันขำปนอ่อนใจในความไร้เดียงสาของเพื่อน
"แล้วทำไมเธอไม่คิดว่า บางทีหมาอาจจะถูกทิ้งมากกว่าแมว แต่เผอิญหมาอาจจะป่วยตาย อดตาย หรือถูกรถชนตายไปมากกว่าแมวบ้างเล่า"

เธออึ้งไปสามวินาที แล้วตั้งหลักใหม่
"งั้นเอางี้ ระหว่างแมวกับคน เธอชอบอะไรมากกว่ากัน"
"นี่เธอจ๊ะ" ฉันยกมือเท้าเอวเพื่อที่จะได้ไม่เผลอเขกหัวเพื่อนรุ่นน้องผู้สนิทพอจะด่ากันได้โดยไม่โกรธ "โลกนี้ไม่ได้มีแค่รักกับเกลียดนะ ไม่ได้มีแค่สองสี แต่เอาเถอะ เพื่อไม่ให้เธอคาใจ ถ้าฉันบอกว่าฉันชอบแมวมากกว่าคน เธอจะสรุปผลการวิจัยได้หรือยัง เพราะตอนนี้ฉันชักจะเริ่มรำคาญคนแล้วละ"
..............

ฉันเป็นคนสองบ้าน บ้านหลังหนึ่ง(บางทีฉันเรียกโกดัง) อยู่ริมทุ่งนาที่บ้านนอก เอาไว้เป็นบ้านพักแมวๆ หมาๆ ที่อกหักไปจากเมืองใหญ่ ส่วนอีกหลัง เป็นบ้านหลังจ้อยชานเมืองกรุง มีไว้สำหรับซุกหัวนอนในเวลาทำงาน

ใครๆ มักพูดว่าฉันเป็นคนรักหมารักแมว แต่บางครั้งฉันกลับไม่แน่ใจ รักน่ะใช่ แต่ก็บอกไม่ได้ว่า เพราะมีโอกาสได้ช่วยเหลือใกล้ชิดสนิทสนมกับพวกมัน จึงรู้จักและรัก หรือว่า ที่ฉันตั้งหน้าตั้งตาช่วยเหลือพวกมัน เพราะฉันรักมันอยู่แล้วกันแน่  

แต่วันดีคืนดี ฉันก็คิดว่าถ้าเกลียดแมวได้ เรื่องคงจะง่ายกว่านี้ เช่นวันที่มีสุภาพสตรีวัยป้าคนหนึ่ง (ซึ่งฉันไม่เคยรู้จัก) มายืนเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าประตูรั้วบ้านชานเมือง แล้วสั่งว่า
"หนูไปช่วยเอาแมวมาทีสิ"
หน้าตาฉันคงจะเอ๋อเอามากๆ คุณป้าจึงพูดประโยคเดิมซ้ำ แล้วย้ำด้วยคำถามว่า
"ได้ข่าวว่ารักแมวไม่ใช่เหรอ"
อยากรู้จริงว่าข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับไหน ฉันนึกในใจแบบขวางๆ พลางตั้งสติพยายามอธิบายว่า ฉันไม่ได้รับอุปการะแมวหมาทั่วราชอาณาจักร

คุณป้า (ซึ่งดูท่าจะไม่สนใจคำอธิบายของฉันเลย) บอกว่าสัปดาห์ก่อนไม่รู้ใครเอาแมวท้องแก่มาทิ้งหน้าบ้าน เธออุตส่าห์ไล่ตีจนมันหนีไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับอุตริมาออกลูกที่หลังช่องแอร์บ้านเธอจนได้ ตอนแรกเธอจะกวาดพวกมันทิ้งถังขยะ แต่มีคนบอกว่าบาปและแนะนำให้เรียกฉัน
"หมายความว่าถ้าให้คนอื่นเอาไปแล้วจะไม่บาปใช่ไหมคะ" ฉันพยายามจะไม่ประชด แต่อดไม่ได้ (นิสัยฉันแย่มาก)  

คุณป้าทำหน้างอ แล้วบอกว่า ไม่รู้ละยังไงๆ ถ้าไม่อยากให้เอามันทิ้งถังขยะละก็ ไปเอามันมา ฉันรู้สึกเหมือนถูกต้อนเข้ามุม ได้แต่เดินตามคุณป้าไปบ้านใหญ่หลังสวยที่อยู่ถัดไปอีก ๓ ซอย เพื่อควักเอาแม่กับลูกที่ยังไม่ลืมตาสามตัวออกมาจากหลังเครื่องแอร์ของเธอ

แม่แมวสีน้ำตาล หน้าตาโรยๆ มีลูกตัวผอมๆ ที่ดูเหี่ยวซีดเพราะเพิ่งออกพ้นท้องแม่ไม่นาน คุณป้ายื่นตะกร้าใบหนึ่งให้ เพราะฉันบอกว่าอุ้มไปได้ไม่หมด

คุณสามีวัยใกล้ชราที่นอนอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ริมสวนเลิกคิ้วมองลอดแว่นมาที่ฉัน คุณภรรยาก็อรรถาธิบายทันใดว่า เขาอยากมาเอาแมว
แน่ะ ฉันไปบอกว่าอยากตอนไหนไม่ทราบคะคุณป้า นึกในใจเท่านั้นแหละ เพราะว่าพูดไม่ออก

นึกถึงสมาชิกทั้งหลายในบ้านสี่ขา รวมทั้งบ้านอื่นๆ ที่อุปการะแมวหมาไร้ที่พึ่ง เคยสงสัยว่าทำไมพวกมันจึงถูกทิ้ง ความสวยงาม สายพันธุ์ ราคา ล้วนไม่ใช่ประเด็น เพราะฉันพบว่าหมาพันธุ์ดีราคาแพงจำนวนมากก็ถูกทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์สวยอย่างโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ ดัลเมเชี่ยน อัลเซเชี่ยน หรือพันธุ์น่ารักน่าเอ็นดูอย่างชิสุห์ พุดเดิ้ล หรือบีเกิ้ล

ภาพหมาพุดเดิ้ลขนหยิกน่ารักที่ถูกนำมาทิ้งที่วัดใกล้บ้าน เพียงเพราะมันป่วยเป็นอัมพาต เจ้าลาบราดอร์สีดำที่ถูกเห็บกินจนผอมโกรกถูกทิ้งให้นอนรอความตายอยู่ข้างถนน กับหมาร็อตไวเลอร์แก่ๆ ที่ถูก(แอบ)ทิ้งไว้หน้าร้านหมอที่ฉันรู้จัก บอกให้รู้ว่า ความรักของคนช่างเต็มไปด้วยเงื่อนไข

เพราะคน (บางคน) ไร้หัวใจ หมาแมวหลายตัวจึงต้องไร้บ้าน
................

"ไม่อยากเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนสักตัวหรือคะ" ฉันลองถามด้วยความหวังเล็กๆ น้อยๆ
"โอ๊ย เลี้ยงทำไมให้เปลือง หาประโยชน์อะไรก็ไม่ได้" คุณป้าพูดเสียงสูงขณะเปิดประตูให้ฉันออกมา "เอาไปไหนก็เอาไปให้หมดเถอะ ชอบเลี้ยงก็ดีแล้วนี่ ได้บุญด้วย"
"ไม่ได้เลี้ยงเพราะอยากได้บุญค่ะ" ฉันสวนเหมือนคนไร้มารยาท "เลี้ยงเพราะสงสารที่มันถูกทิ้ง แต่สงสารมากๆ ก็แย่ค่ะ เฉพาะแมวตอนนี้สี่สิบกว่าตัวแล้ว คนก็ไม่เลิกทิ้ง"
"แหม เลี้ยงมาได้ตั้งสี่สิบกว่าตัว อีกแค่สี่ตัวจะเป็นไรไป เคยเห็นในทีวีมีป้าอะไรนะเลี้ยงตั้งหลายร้อยตัว เขายังเลี้ยงได้เลย" ถ้อยประโยคท้ายคล้ายให้กำลังใจ แต่กลับทำให้ฉันหมดคำพูด ได้แต่หันหลังกลับ
"แล้วอย่าลืมเอาตะกร้ามาคืนด้วยนะหนู" เสียงตะโกนไล่หลังมา เร่งให้ฉันเดินเร็วขึ้น

จ้ำกลับมาถึงบ้านด้วยความเศร้าใจที่อธิบายไม่ถูก ไม่ได้ยินดีที่ได้แมวมาเลี้ยงเพิ่มอีกสี่ตัว แต่ก็ทนเฉยไม่ได้โดยไม่ช่วยพวกมัน ถ้าฉันเกลียดแมว เรื่องอาจจะง่ายกว่านี้

ก้มมองในตะกร้า ลูกแมวกระจ้อยร่อยสามตัวนอนซุกท้องแม่ที่แหงนหน้าขึ้นสบตาฉัน มันร้องเหมียวเบาๆ แล้วก้มลงไปเลียลูกๆ ฉันสงสัยว่า มันถูกทิ้งมากี่ทอดแล้ว มีใครบ้างที่สนใจว่าพวกมันไปนอนตายอยู่ในถังขยะที่ไหนสักแห่ง แมวสี่ตัวอาจไม่มีความหมายอะไรในโลกใบนี้

นาทีนั้น ฉันจึงได้ตระหนักว่า ฉันไม่เคยอยากเกลียดแมว ที่ฉันอยากเกลียดคือสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง ที่ (ว่ากันว่า) มีสมอง มีความคิด และมีจิตสำนึกสูงกว่าสัตว์สี่ขาอย่างแมวต่างหาก

 

 

บล็อกของ มูน

มูน
เพื่อนคนหนึ่งของฉันเพิ่งจากไปในเช้าวันนี้แสงแดดเจิดจ้าของเดือนเมษายนแตะแต้มกลีบบางของดอกดาวกระจายสีชมพู ใกล้ๆ กันเป็นกระถางของเดซี่น้อย ที่กำลังแย้มยิ้มอย่างไร้เดียงสา อวดเกสรสีเหลืองแจ่มใสกับกลีบเล็กสีขาวที่กระจายอยู่รายรอบ“ชอบดอกไม้ไหมจ๊ะ ขนดอกไม้ไปปลูกกันเถอะ” นึกถึงเสียงใสของเธอเมื่อสองเดือนก่อน ตามด้วยคำหยอกเย้าเคล้าเสียงหัวเราะ “หรือชอบเลี้ยงแต่แมวๆ หมาๆ”เธอยิ้มแย้มอยู่ในกระโปรงยาวกรุยกราย เข้ากับผ้าคลุมไหล่สีสวยมีดอกไม้มากมายถูกทิ้งไว้หลังการจัดงานนิทรรศการแห่งหนึ่ง บางส่วนอยู่ในกระถาง บางส่วนอยู่ในถุงดำ คนงานกำลังรื้อถอนส่วนต่างๆ ของงาน บรรดาดอกไม้ประดับถูกขนมากองสุมไว้ด้านนอก“…
มูน
  ไม่สบายกายและใจอยู่หลายวัน พอเรี่ยวแรงคืนมา ฉันก็คว้าจักรยานยนต์คันเก่า ขี่โกรกเกรกกึงกังไปตลาดใหญ่ที่ไกลจากบ้านราวสิบกิโลเมตร รู้สึกสังขารตัวเองใกล้เคียงกับรถ คือมีอะไรสักอย่าง (หรือหลายอย่าง) ที่ไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางนักพอพ้นจากทางดินเป็นถนนลาดยาง รถก็แล่นฉิว ลมพัดพรูจนผมปลิวกระจาย (นึกไปเองว่า) คล้ายๆ โฆษณาแชมพูสระผม ฝนที่ตกหนักไปเมื่อคืนวานทำให้อากาศสดแจ่ม ฟ้าใสกระจ่าง แซงแซวหางปลาเกาะอยู่บนกิ่งประดู่ข้างทาง ในทุ่งที่น้ำเจิ่งนองมีนกกระยางเดินท่องน้ำจ๋อมๆ อยู่หลายตัวลมพัดเสื้อคลุมสะบัดพึ่บพั่บ ชายเสื้อปลิวอยู่ด้านหลัง รู้สึกเริงรื่นจนต้องร้องเพลงดังๆ ตามจังหวะกึงกังของรถ "…
มูน
ฉันกำลังแบกเป้เดินทางรับจ้างทำงานอยู่แถวภาคเหนือ ในช่วงเวลาที่บรรยากาศเริงรื่นยังคงรวยรินแม้จะเลยปีใหม่ไปแล้วหลายวัน คนที่ไม่มีงานประจำ แต่มีรายจ่ายเรียงรายรอคอยอยู่ทุกเดือนอย่างฉัน ไม่มีเวลานั่งอยู่เฉย (ถึงแม้จะอยากนั่ง) ใครจ้างมา ฉันก็ไป เหมือนมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ไม่เกี่ยงระยะทางและผู้โดยสารใกล้เที่ยงคืนที่วางเป้ลงอย่างอ่อนแรงในห้องพักเล็กๆ ควักสมุดบันทึกขึ้นมาคำนวณรายจ่ายและแผนการเดินทางในวันถัดไป ใจคิดล่วงหน้าถึงวันกลับบ้าน ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังแผ่วๆ มาจากกระเป๋าข้างเตียง ............นานหลายปีมาแล้วที่ฉันรู้สึกว่าเทศกาลปีใหม่ไม่ใช่เวลาของความบันเทิงใจ ปีใหม่ในวัยเยาว์ครั้งหนึ่ง…
มูน
สายหมอกสีขาวนุ่มห่มคลุมยอดดอย ในเช้าที่ฉันนั่งรถเข้าหมู่บ้าน ไร่ยาสูบและไร่ข้าวโพดสองข้างทางดูเลือนลางอยู่ในแสงสลัวของดวงตะวัน ที่พยายามแทรกผ่านลมหนาวอย่างสุดความสามารถ“หนาวไหม หนาวเนาะ” พ่อเฒ่าสวมหมวกไหมพรมสีแดงทักถาม ฉันกอดอกแน่น ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก เพราะหนาวจนพูดไม่ออก ควันกรุ่นสีขาวพรูออกทางจมูกเหมือนลมหายใจมังกรไฟในนิทาน คนที่เคยชวนฉันมาเมืองพร้าวไม่เคยเล่าว่าบ้านเกิดของเธอหนาวขนาดนี้สำหรับบางคน ความทรงจำอาจอบอุ่นตลอดกาล แมวลายสามตัวที่นอนอาบแดดกลางลานบ้านวิ่งกันกระจายเมื่อเห็นคนแปลกหน้า เหลือแมวอ้วนสีส้มหมอบอยู่บนอานรถเครื่องคันเก่า “ขอถ่ายรูปหน่อย อยู่นิ่งๆ นะ มือใหม่หัดถ่ายนะ…
มูน
สีสันสดใสในเทศกาลส่งท้ายปี เป็นสัญญาณของการสิ้นสุดและเริ่มต้นใหม่ เพื่อนบ้านคนหนึ่งติดกระดาษริ้วสีทอง เขียนว่า HAPPY NEW YEAR 2008 ไว้เหนือประตูบ้าน อีกหลังติดไฟกระพริบ สลับกันวิบวับตรงนั้นตรงนี้ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งยื่นเค้กช็อคโกแลตให้ แล้วบอกว่า สวัสดีปีใหม่ คิดอะไรขอให้สมปรารถนาฉันยิ้มกับคำอวยพร ถามตัวเองเล่นๆ ในใจว่าปรารถนาอะไรบ้าง โอ้ ช่างมากมายจนน่าอายตัวเอง หนึ่งในความปรารถนาที่ฉันคิดเสมอมาเมื่อถึงวันปีใหม่ คือขอให้ยายได้พบกับป่องหยอด................ความจริงยายไม่ได้เป็นแค่ยาย ยายเคยเป็นแม่ แต่เมื่อลูกสาวคนเดียวของยายตายไป และยายไม่มีญาติที่ไหนอีก…
มูน
เสียงรถมาจอดหน้าบ้าน โต๋เต๋ชันคอขึ้นเป็นครั้งแรกของวัน มันลุกพรวดพราดไปดู สักพักก็เดินหูลู่หางตก กลับมานอนหมอบเป็นรูปปั้นหมาตรงที่เดิม ท่าทางหมกมุ่นหงอยเหงาราวกับคนอมทุกข์ฉันไม่รู้จะช่วยมันได้อย่างไร บางทีก็ไม่อาจมีใครแทนใครได้นึกย้อนไปถึงค่ำวันหนึ่งที่ฉันลงรถประจำทางใกล้แยกบางใหญ่ กำลังสำรวจสภาพกระดูกกระเดี้ยวที่ถูกเบียดเสียดบนรถมานานนับชั่วโมง หางตาก็เห็นอะไรแวบๆ จุดดำๆ เคลื่อนมาตามแนวถนน รถยนต์ก็ไม่ใช่ มอเตอร์ไซค์ก็ไม่เชิง ใกล้เข้ามาถึงเห็นเป็นหมาสีเข้มๆ ตัวหนึ่งกำลังวิ่งสุดฝีเท้าแทบจะแข่งกับรถที่แล่นอยู่บนถนนฉันพยายามมองว่ามันวิ่งตามอะไร เพราะวิ่งแบบนี้ไม่ใช่วิ่งเล่นแน่ๆ…
มูน
แสงแดดอ่อนๆ ในฤดูหนาว ที่ส่องเข้ามาอาบขนนุ่มละเอียดของแมวข้างหน้าต่าง ทำให้ฉันคิดถึงเด็กคนหนึ่งและความสุขที่ยังคงอุ่นอยู่ในใจเสมอมาหลังเรียนจบ ฉันทำงานพัฒนาชนบทอยู่ที่เมืองโคราช และได้พบกับจ่อย เด็กน้อยวัยสี่ขวบในศูนย์บริบาลเด็กขาดสารอาหารของโรงพยาบาลประจำอำเภอ จ่อยเคยเป็นเด็กขาดอาหารระดับรุนแรง หลังจากรับการรักษาฟื้นฟูจึงเริ่มเดินได้เมื่ออายุราวสามขวบ และเป็นเด็กที่ช่างจดจำอย่างน่าอัศจรรย์ สามารถเรียกชื่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุกคนที่รู้จักได้ไม่พลาด ขอแค่ได้ฟังเสียง หรือใช้มือป้อมๆ ลูบคิ้วคางปากจมูกของคนนั้น หลังโรงพยาบาลเป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ…
มูน
“ชีวิตดังตัวคนเดียว ท่ามกลางทะเลเปลี่ยว ต้องลอยคว้างกลางลมคลื่นหลับใหลไม่เคยเต็มตื่น ข้าวกลืนไม่เคยอิ่ม โอ้ รอยยิ้มไม่เคยได้” เสียงเพลง “ชีวิตคนเศร้า” ของทูล ทองใจ ทำให้ฉันนึกถึงพ่อ และท่อนหนึ่งของเพลงที่พ่อมักร้องซ้ำไปซ้ำมาไม่เคยจบสักทีพ่อหิ้วกระเป๋าออกจากบ้านปู่ตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบ ทิ้งผืนนาไปตามหาความฝันของวัยหนุ่ม แต่ดูเหมือนว่าพ่อใช้เวลาตามหาตลอดชีวิต และพบเพียงความฝันที่แหว่งวิ่น ความทรงจำของฉันเกี่ยวกับพ่อ เหมือนชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจาย แต่ทุกชิ้นชัดเจน และไม่เคยสักครั้งที่ฉันคิดจะลืมตอนที่ฉันอายุราวๆ ห้าหกขวบ พ่อพาไปดูหนังอินเดียเรื่อง “โชเล่ย์” ที่โรงหนังประชาบดี…
มูน
ใกล้บ้านเช่าหลังเก่าของฉันที่ขอนแก่น มีวัดป่าแห่งหนึ่งร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ฉันชอบไปเดินเล่นดูโบสถ์เก่าแก่คร่ำคร่าเต็มไปด้วยรอยตะไคร่ ไปนั่งฟังเสียงลมพัดใบไม้ และนั่งเล่นริมบึงกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยปลา เป็นวัดที่ให้บรรยากาศสงบงามสมกับเป็นสถานที่สำหรับ "หนีร้อนมาพึ่งเย็น" จริงๆ แต่ฉันไม่เคยเห็นวัดไหนเต็มไปด้วยไก่เท่าวัดนี้ ไก่หลากสีหลายขนาดเดินกันขวักไขว่ นับคร่าวๆ ได้สักหกหรือเจ็ดสิบตัว หลายตัวบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งเตี้ยๆ ของต้นก้ามปูใหญ่ เจ้าอาวาสบอกว่า คนแถบนี้นิยมปล่อยไก่เป็นการสะเดาะเคราะห์อย่างหนึ่ง"สมัยก่อนเขาต้องตัดหางด้วยนะ ที่เรียกว่าตัดหางปล่อยวัดไงล่ะ" ฉันถามถึงจำนวนไก่…
มูน
ลมหนาวพัดฟางหลังเก็บเกี่ยวปลิวว่อนกลางทุ่ง หลายบ้านเตรียมโกยฟางมัดเป็นท่อนเก็บไว้ให้วัวควายในหน้าแล้ง นึกเล่นๆ ว่าถ้าคนเรากินแค่หญ้าก็คงจะดี ไม่ต้องมีกิเลสอยากกินนั่นนี่ให้เดือดร้อนไปถึงพืชและสัตว์อีกมากมาย ที่ต้องถูกไล่ล่าบ้าง ถูกบังคับให้โตผิดธรรมชาติบ้าง ถูกเปลี่ยนนั่นแปลงนี่ให้ถูกใจคนจนวุ่นวายไปทั้งโลก เข้าทำนองเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว (ว่าเข้าไปนั่น)คิดจนหิว จึงหันไปเปิดตู้กับข้าว อะไรกันนี่ ช่างโล่งดีแท้ๆ มีแต่ถ้วยน้ำปลาพริกขี้หนู อ้อ มีปลาทู(แย่งแมวมา)หนึ่งตัว ทำปลาทูต้มน้ำปลาดีกว่า ทำง้ายง่าย แล้วก็อร้อย อร่อย ตั้งน้ำให้เดือดพลั่กๆ ใส่ปลาทู เหยาะน้ำปลาพริกขี้หนู บีบมะนาว…
มูน
หมาขนฟูสีขาวในรถยนต์คันใหญ่ที่จอดติดไฟแดงอยู่ตรงสี่แยกนั้น ทำให้ฉันคิดถึงลัคกี้สมัยที่ฉันยังรับจ้างทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่ง สำนักงานเราเป็นบ้านเช่าที่อยู่ติดกับรั้วด้านหลังของบ้านสวนกว้างใหญ่ เจ้าของบ้านสวนก็คือเจ้าของบ้านเช่า รวมทั้งหอพักปากซอย ร้านค้าและตึกแถวใหญ่ในตลาด แถมที่ดินจัดสรรอีกหลายแห่งคุณนายเจ้าของบ้านเช่ามีลูกสาวทำงานอยู่ต่างประเทศ ครั้งหนึ่งลูกสาวกลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมกับซื้อลัคกี้มาฝากแม่  เราเห็นหมาตัวโตขนยาวขาวสะอาดนั่งชูคอในรถยนต์ไปไหนๆ กับคุณนาย ที่ชอบใจนักเวลามีคนชมความสวยสง่าของลัคกี้ แล้วเธอก็จะคุยให้ใครๆ ฟังถึงลูกสาวคนเก่ง ลัคกี้ร่าเริงและชอบอยู่ใกล้ๆ คน…
มูน
จับเจ่ารอรถอยู่ที่สถานีขนส่งเมืองอุบลฯ ลมปลายเดือนตุลาคมพัดมาในช่วงค่ำทำให้ต้องนั่งกอดอก กำลังเกือบสัปหงกเมื่อรู้สึกเหมือนมีใครบางคนมายืนเกือบชิดหัวเข่าโงหัวขึ้นเจอกับดวงตากลมใสคู่หนึ่ง กำลังจ้องมองฉันอยู่อย่างคาดหวังเรามองตากันอยู่เงียบๆ ฉันพินิจลักษณะของเธอแล้วเดาว่า น่าจะกำลังเป็นแม่ลูกอ่อน ด้วยว่าเต้านมที่หย่อนยานนั้นดูอวบเต่ง แต่รูปร่างที่ผอมเกร็งก็บอกว่า อาการการกินคงไม่บริบูรณ์เท่าไร อาจจะถึงขั้นขาดแคลนเสียด้วยซ้ำ “หิวเหรอจ๊ะ” ฉันถามเบาๆ ไม่มีเสียงจากเธอ แต่มีคำตอบอยู่ในแววตาละห้อยคู่นั้นฉันเหลียวซ้ายแลขวาไปทั่วท่ารถที่ค่อนข้างเงียบเหงา รถโดยสารที่แล่นระหว่างอำเภอหมดไปนานแล้ว…