Skip to main content
.คืนวันในภาพถ่าย

 

พ.ศ.๒๕๐๔ นางสงกรานต์ชื่อ กิริณีเทวี ทัดดอกมณฑา หัตถ์ขวาถือพระขรรค์ หัตถ์ซ้ายถือปืน เสด็จประทับเหนือคชสาร

แม่บอกว่าไม่ได้สวยกว่าใครเขาหรอก แต่คงเพราะเป็นลูกสาวผู้พัน ใครๆ จึงพร้อมใจกันส่งแม่เป็นนางสงกรานต์ตัวแทนค่ายทหารในจังหวัด

"ทหารเขาตกแต่งรถเป็นช้าง เมื้อนเหมือน" แม่เล่า "เขาคงกลัวยุ่งยากมั้งถึงใช้ช้างปลอม แม่เลยอดนั่งช้างจริงๆ"

 

แม่นั่งพินิจภาพถ่ายเก่าๆ ในวันที่อากาศชื้นเย็น ภาพถ่ายอายุกว่า ๕๐ ปีมีเรื่องราวมากมายที่รอการบอกเล่าและรำลึก

 

 

.ฝนกลางฤดูร้อน

 

ฝนตกหนักตั้งแต่บ่ายจนค่ำ อากาศชื้นเย็นจนเกือบจะหนาว หลังฝนซา ฝูงแมลงเม่านับหมื่นตัวบินฮือขึ้นมาจากดินจนแทบไม่มีที่ว่างในอากาศ หลายตัวบินชนหน้าฉันจนเจ็บ

 

บรรดาหมาๆ แตกตื่นในกิริยาอาการต่างๆ กัน น้อยหน่าส่งเสียงโหยหวนแล้ววิ่งมุดเข้าไปหลบใต้โต๊ะ ขนุนกระโดดขึ้นๆ ลงๆ อย่างตื่นเต้น ปุยปุยยืนตัวแข็งครางหงิงๆ อยู่บนเก้าอี้ ข้าวตูยืนสะบัดหัวหูอย่างงุนงง โต๋เต๋หมอบบนแคร่ ซุกหัวอยู่กับสองเท้าหน้า เต้าหู้ตั้งหน้าตั้งตาเห่า ในขณะที่เต้าส่วนกระโดดงับแมลงเม่าอย่างเอาเป็นเอาตาย

 

บรรดาแมวก็พลุ่งพล่าน วิ่งไล่ตะครุบแมลงเม่าใส่ปากจนนับจำนวนไม่ทัน บางตัวกระโดดตัวลอยเพื่อตะปบแมลงเล่น ผิวน้ำในอ่างแน่นไปด้วยแมลงเม่าที่ตกลงไป เงาปีกว่อนผ่านหลอดไฟจนตาลาย

 

ค่อนคืน พายุแมลงเม่าจึงเบาบางลง พวกมันต่างสลัดปีกลงเดินกับพื้นต่อกันเป็นคู่ๆ ตามวงจรธรรมชาติ ฉันกวาดปีกกองพูนเป็นภูเขา รู้สึกหวั่นใจเมื่อเห็นคู่แต่งงานมากมายเต็มพื้นดิน

 

ถัดจากคืนนั้นไม่นาน บ้านสี่ขาก็ถูกโจมตีด้วยกองทัพปลวก เสียงกัดกินสิ่งต่างๆ ดังกรือๆ ได้ยินทั่ว รั้วไม้ไผ่เริ่มโยกคลอน ลังหนังสือยุบตัวอย่างรวดเร็ว แม่กับฉันลุกขึ้นรื้อของอย่างตื่นตกใจ หลังจากไม่มีเวลารื้อมาสามปีนับตั้งแต่เราย้ายมาอยู่ด้วยกัน

 

อัลบั้มภาพถ่ายในลังของแม่ถูกปลวกกินไปครึ่งหนึ่ง แม่หยิบภาพถ่ายเก่าๆ ที่เหลืออยู่มาเช็ดอย่างแสนเสียดาย

 

"อุ๊ย รูปนี้ไม่เคยเห็น" ฉันหยิบขึ้นมา เป็นภาพคุณตาคุณยายกับลูกสาวเล็กๆ สี่คน ตอนนั้นน้าคนสุดท้องคงยังไม่เกิด

"ว้า ใครมาขีดเขียนเต็มรูปเลยเนี่ย มือบอนจริงๆ"

"ก็เราน่ะแหละ" แม่พูดเสียงดัง "จำไม่ได้ละสิ ซนจะตายไป วาดเล่นจนเต็มฝาบ้านไปหมด เลอะบ้านเราไม่พอ ลามไปบ้านอื่นด้วย"

 

.ข้างหลังภาพ

 

ข้างบ้านเก่าของเรา เคยมีจิตรกรหนุ่มคนหนึ่งย้ายมาเช่าอยู่เงียบๆ ตอนนั้นฉันอายุราวๆ สองขวบเศษ จิตรกรหนุ่มมักมาขออนุญาตอุ้มฉันไปเล่นที่บ้าน ท่ามกลางกองสีและผืนผ้าใบ

 

แม่เคยแอบเห็นเขากอดฉันแล้วร้องไห้ จึงคาดเดาว่าเขาอาจจะเคยมีลูกสาวเล็กๆ แต่คงมีเรื่องเศร้าบางอย่างเกิดขึ้น

"เราน่ะไปละเลงรูปวาดดีๆ ของเขาหมดเลย บีบสีทั่วบ้าน แม่กลัวเขาโกรธจะแย่ แต่เขาก็ไม่ยักโกรธ"

บ้านเราเคยมีภาพวาดสีน้ำมันขนาดใหญ่ ๒ ภาพ ฉันรู้เมื่ออยู่ชั้นประถมว่าเป็นภาพที่เขาบรรจงวาดไว้ให้ฉันก่อนย้ายจากไป น่าเสียดายที่เมื่อครอบครัวกระจัดกระจาย ภาพเหล่านั้นก็หายไปไหนไม่รู้

 

แม่หยิบอีกภาพหนึ่งขึ้นมาให้ฉันดู สาววัยรุ่นสองคนนุ่งซิ่นนั่งยิ้มเคียงกันอยู่บนชานเรือน

"ป้าเขาสวยมากเลย" แม่เล่าอย่างชื่นชม "สงกรานต์ปีนั้นป้าเขาไปเรียนครูแล้ว ไม่อย่างนั้นแม่ไม่ได้เป็นนางสงกรานต์หรอก"

"ไม่เห็นจะต่าง" ฉันพูดตามสิ่งที่เห็น เพ่งมอบภาพถ่ายสาวน้อยที่มีใบหน้า เสื้อผ้าและทรงผมเดียวกัน

"ต่างสิ แม่มาทีหลังตั้งสองนาที" แม่หยิบภาพอื่นๆ มาวางเรียงราย "ป้าเขาสวยและเรียบร้อย เรียนก็เก่ง สอบครูก็ติด ส่วนแม่ก็เอาแต่เล่น สมองก็ทื่อ เรียนไม่เอาไหน สอบตกอีกด้วยนะคิดดู ใครๆ ก็ว่าเป็นฝาแฝดกันได้ยังไง"

 

แม่หยิบภาพงานแต่งงานของป้าขึ้นมาดู ป้าสวมชุดราตรีสวยงามสมฐานะและตระกูลเจ้าบ่าว ส่วนภาพแต่งงานของแม่ แม่นุ่งผ้าซิ่นและเสื้อแขนกระบอกธรรมดา เป็นงานง่ายๆ ที่บ้านท่ามกลางความไม่พอใจของญาติพี่น้อง

 

ฉันนึกถึงลุงเขยผู้ใจดีและกว้างขวางในตำแหน่งรองอธิบดีกระทรวงหนึ่ง ในขณะที่พ่อเป็น "ข้าราชการบ้านนอกต๊อกต๋อย" ตามสำนวนคุณยาย

"ไม่มีชีวิตใครที่เหมือนกันหรอก" แม่พูดเรียบๆ ไม่มีวี่แววน้อยเนื้อต่ำใจ

 

.ขอบคุณแมลงเม่า

 

 

นางกิริณีนั่งยิ้มบนหลังช้างขณะที่ขบวนแห่นางสงกรานต์ปี ๒๕๐๔ เคลื่อนไปในตลาดปากน้ำโพ

 

 

แม่สอบครูไม่ติด จึงไปสมัครเรียนพิมพ์ดีด

"ดูแม่เต๊ะท่า" แม่หยิบรูปนี้ให้ดูพลางหัวเราะ ตอนนั้นแม่เพิ่งเรียนพิมพ์ดีดจบได้ประกาศนียบัตร ครูที่สอนเอ็นดูแม่มาก จึงถ่ายรูปให้แม่ก่อนจาก แม่คงตั้งใจเรียนจริงๆ เพราะตั้งแต่เล็กจนโตที่ฉันนั่งดูแม่ทำงาน แม่พิมพ์ดีดสัมผัสเก่งมาก ทั้งเร็วและไม่มีคำผิด

 

 

ภาพเก่าที่มีรอยดินสอฝีมือฉัน(พยายามลบไปบ้างแล้ว แต่ลบไม่ค่อยออก) แม่เล่าขำๆ ว่าคุณยายอุตส่าห์ไปหารองเท้าที่ไหนมาใส่ให้แม่ก็ไม่ทราบ (อาจเป็นเพราะแม่นั่งหน้าสุด) ส่วนป้าๆ ไม่มีใครได้ใส่รองเท้า

 

ช่างโชคดีที่ปลวกกัดกินได้เพียงภาพถ่าย ไม่อาจทำลายความทรงจำ ขอบคุณฝูงแมลงเม่าที่ให้แม่ได้นั่งรำลึกคืนวันอันแสนงามและฉันมีโอกาสได้ดื่มด่ำไปกับมัน

 

บล็อกของ มูน

มูน
เพื่อนคนหนึ่งของฉันเพิ่งจากไปในเช้าวันนี้แสงแดดเจิดจ้าของเดือนเมษายนแตะแต้มกลีบบางของดอกดาวกระจายสีชมพู ใกล้ๆ กันเป็นกระถางของเดซี่น้อย ที่กำลังแย้มยิ้มอย่างไร้เดียงสา อวดเกสรสีเหลืองแจ่มใสกับกลีบเล็กสีขาวที่กระจายอยู่รายรอบ“ชอบดอกไม้ไหมจ๊ะ ขนดอกไม้ไปปลูกกันเถอะ” นึกถึงเสียงใสของเธอเมื่อสองเดือนก่อน ตามด้วยคำหยอกเย้าเคล้าเสียงหัวเราะ “หรือชอบเลี้ยงแต่แมวๆ หมาๆ”เธอยิ้มแย้มอยู่ในกระโปรงยาวกรุยกราย เข้ากับผ้าคลุมไหล่สีสวยมีดอกไม้มากมายถูกทิ้งไว้หลังการจัดงานนิทรรศการแห่งหนึ่ง บางส่วนอยู่ในกระถาง บางส่วนอยู่ในถุงดำ คนงานกำลังรื้อถอนส่วนต่างๆ ของงาน บรรดาดอกไม้ประดับถูกขนมากองสุมไว้ด้านนอก“…
มูน
  ไม่สบายกายและใจอยู่หลายวัน พอเรี่ยวแรงคืนมา ฉันก็คว้าจักรยานยนต์คันเก่า ขี่โกรกเกรกกึงกังไปตลาดใหญ่ที่ไกลจากบ้านราวสิบกิโลเมตร รู้สึกสังขารตัวเองใกล้เคียงกับรถ คือมีอะไรสักอย่าง (หรือหลายอย่าง) ที่ไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางนักพอพ้นจากทางดินเป็นถนนลาดยาง รถก็แล่นฉิว ลมพัดพรูจนผมปลิวกระจาย (นึกไปเองว่า) คล้ายๆ โฆษณาแชมพูสระผม ฝนที่ตกหนักไปเมื่อคืนวานทำให้อากาศสดแจ่ม ฟ้าใสกระจ่าง แซงแซวหางปลาเกาะอยู่บนกิ่งประดู่ข้างทาง ในทุ่งที่น้ำเจิ่งนองมีนกกระยางเดินท่องน้ำจ๋อมๆ อยู่หลายตัวลมพัดเสื้อคลุมสะบัดพึ่บพั่บ ชายเสื้อปลิวอยู่ด้านหลัง รู้สึกเริงรื่นจนต้องร้องเพลงดังๆ ตามจังหวะกึงกังของรถ "…
มูน
ฉันกำลังแบกเป้เดินทางรับจ้างทำงานอยู่แถวภาคเหนือ ในช่วงเวลาที่บรรยากาศเริงรื่นยังคงรวยรินแม้จะเลยปีใหม่ไปแล้วหลายวัน คนที่ไม่มีงานประจำ แต่มีรายจ่ายเรียงรายรอคอยอยู่ทุกเดือนอย่างฉัน ไม่มีเวลานั่งอยู่เฉย (ถึงแม้จะอยากนั่ง) ใครจ้างมา ฉันก็ไป เหมือนมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ไม่เกี่ยงระยะทางและผู้โดยสารใกล้เที่ยงคืนที่วางเป้ลงอย่างอ่อนแรงในห้องพักเล็กๆ ควักสมุดบันทึกขึ้นมาคำนวณรายจ่ายและแผนการเดินทางในวันถัดไป ใจคิดล่วงหน้าถึงวันกลับบ้าน ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังแผ่วๆ มาจากกระเป๋าข้างเตียง ............นานหลายปีมาแล้วที่ฉันรู้สึกว่าเทศกาลปีใหม่ไม่ใช่เวลาของความบันเทิงใจ ปีใหม่ในวัยเยาว์ครั้งหนึ่ง…
มูน
สายหมอกสีขาวนุ่มห่มคลุมยอดดอย ในเช้าที่ฉันนั่งรถเข้าหมู่บ้าน ไร่ยาสูบและไร่ข้าวโพดสองข้างทางดูเลือนลางอยู่ในแสงสลัวของดวงตะวัน ที่พยายามแทรกผ่านลมหนาวอย่างสุดความสามารถ“หนาวไหม หนาวเนาะ” พ่อเฒ่าสวมหมวกไหมพรมสีแดงทักถาม ฉันกอดอกแน่น ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก เพราะหนาวจนพูดไม่ออก ควันกรุ่นสีขาวพรูออกทางจมูกเหมือนลมหายใจมังกรไฟในนิทาน คนที่เคยชวนฉันมาเมืองพร้าวไม่เคยเล่าว่าบ้านเกิดของเธอหนาวขนาดนี้สำหรับบางคน ความทรงจำอาจอบอุ่นตลอดกาล แมวลายสามตัวที่นอนอาบแดดกลางลานบ้านวิ่งกันกระจายเมื่อเห็นคนแปลกหน้า เหลือแมวอ้วนสีส้มหมอบอยู่บนอานรถเครื่องคันเก่า “ขอถ่ายรูปหน่อย อยู่นิ่งๆ นะ มือใหม่หัดถ่ายนะ…
มูน
สีสันสดใสในเทศกาลส่งท้ายปี เป็นสัญญาณของการสิ้นสุดและเริ่มต้นใหม่ เพื่อนบ้านคนหนึ่งติดกระดาษริ้วสีทอง เขียนว่า HAPPY NEW YEAR 2008 ไว้เหนือประตูบ้าน อีกหลังติดไฟกระพริบ สลับกันวิบวับตรงนั้นตรงนี้ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งยื่นเค้กช็อคโกแลตให้ แล้วบอกว่า สวัสดีปีใหม่ คิดอะไรขอให้สมปรารถนาฉันยิ้มกับคำอวยพร ถามตัวเองเล่นๆ ในใจว่าปรารถนาอะไรบ้าง โอ้ ช่างมากมายจนน่าอายตัวเอง หนึ่งในความปรารถนาที่ฉันคิดเสมอมาเมื่อถึงวันปีใหม่ คือขอให้ยายได้พบกับป่องหยอด................ความจริงยายไม่ได้เป็นแค่ยาย ยายเคยเป็นแม่ แต่เมื่อลูกสาวคนเดียวของยายตายไป และยายไม่มีญาติที่ไหนอีก…
มูน
เสียงรถมาจอดหน้าบ้าน โต๋เต๋ชันคอขึ้นเป็นครั้งแรกของวัน มันลุกพรวดพราดไปดู สักพักก็เดินหูลู่หางตก กลับมานอนหมอบเป็นรูปปั้นหมาตรงที่เดิม ท่าทางหมกมุ่นหงอยเหงาราวกับคนอมทุกข์ฉันไม่รู้จะช่วยมันได้อย่างไร บางทีก็ไม่อาจมีใครแทนใครได้นึกย้อนไปถึงค่ำวันหนึ่งที่ฉันลงรถประจำทางใกล้แยกบางใหญ่ กำลังสำรวจสภาพกระดูกกระเดี้ยวที่ถูกเบียดเสียดบนรถมานานนับชั่วโมง หางตาก็เห็นอะไรแวบๆ จุดดำๆ เคลื่อนมาตามแนวถนน รถยนต์ก็ไม่ใช่ มอเตอร์ไซค์ก็ไม่เชิง ใกล้เข้ามาถึงเห็นเป็นหมาสีเข้มๆ ตัวหนึ่งกำลังวิ่งสุดฝีเท้าแทบจะแข่งกับรถที่แล่นอยู่บนถนนฉันพยายามมองว่ามันวิ่งตามอะไร เพราะวิ่งแบบนี้ไม่ใช่วิ่งเล่นแน่ๆ…
มูน
แสงแดดอ่อนๆ ในฤดูหนาว ที่ส่องเข้ามาอาบขนนุ่มละเอียดของแมวข้างหน้าต่าง ทำให้ฉันคิดถึงเด็กคนหนึ่งและความสุขที่ยังคงอุ่นอยู่ในใจเสมอมาหลังเรียนจบ ฉันทำงานพัฒนาชนบทอยู่ที่เมืองโคราช และได้พบกับจ่อย เด็กน้อยวัยสี่ขวบในศูนย์บริบาลเด็กขาดสารอาหารของโรงพยาบาลประจำอำเภอ จ่อยเคยเป็นเด็กขาดอาหารระดับรุนแรง หลังจากรับการรักษาฟื้นฟูจึงเริ่มเดินได้เมื่ออายุราวสามขวบ และเป็นเด็กที่ช่างจดจำอย่างน่าอัศจรรย์ สามารถเรียกชื่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุกคนที่รู้จักได้ไม่พลาด ขอแค่ได้ฟังเสียง หรือใช้มือป้อมๆ ลูบคิ้วคางปากจมูกของคนนั้น หลังโรงพยาบาลเป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ…
มูน
“ชีวิตดังตัวคนเดียว ท่ามกลางทะเลเปลี่ยว ต้องลอยคว้างกลางลมคลื่นหลับใหลไม่เคยเต็มตื่น ข้าวกลืนไม่เคยอิ่ม โอ้ รอยยิ้มไม่เคยได้” เสียงเพลง “ชีวิตคนเศร้า” ของทูล ทองใจ ทำให้ฉันนึกถึงพ่อ และท่อนหนึ่งของเพลงที่พ่อมักร้องซ้ำไปซ้ำมาไม่เคยจบสักทีพ่อหิ้วกระเป๋าออกจากบ้านปู่ตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบ ทิ้งผืนนาไปตามหาความฝันของวัยหนุ่ม แต่ดูเหมือนว่าพ่อใช้เวลาตามหาตลอดชีวิต และพบเพียงความฝันที่แหว่งวิ่น ความทรงจำของฉันเกี่ยวกับพ่อ เหมือนชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจาย แต่ทุกชิ้นชัดเจน และไม่เคยสักครั้งที่ฉันคิดจะลืมตอนที่ฉันอายุราวๆ ห้าหกขวบ พ่อพาไปดูหนังอินเดียเรื่อง “โชเล่ย์” ที่โรงหนังประชาบดี…
มูน
ใกล้บ้านเช่าหลังเก่าของฉันที่ขอนแก่น มีวัดป่าแห่งหนึ่งร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ฉันชอบไปเดินเล่นดูโบสถ์เก่าแก่คร่ำคร่าเต็มไปด้วยรอยตะไคร่ ไปนั่งฟังเสียงลมพัดใบไม้ และนั่งเล่นริมบึงกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยปลา เป็นวัดที่ให้บรรยากาศสงบงามสมกับเป็นสถานที่สำหรับ "หนีร้อนมาพึ่งเย็น" จริงๆ แต่ฉันไม่เคยเห็นวัดไหนเต็มไปด้วยไก่เท่าวัดนี้ ไก่หลากสีหลายขนาดเดินกันขวักไขว่ นับคร่าวๆ ได้สักหกหรือเจ็ดสิบตัว หลายตัวบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งเตี้ยๆ ของต้นก้ามปูใหญ่ เจ้าอาวาสบอกว่า คนแถบนี้นิยมปล่อยไก่เป็นการสะเดาะเคราะห์อย่างหนึ่ง"สมัยก่อนเขาต้องตัดหางด้วยนะ ที่เรียกว่าตัดหางปล่อยวัดไงล่ะ" ฉันถามถึงจำนวนไก่…
มูน
ลมหนาวพัดฟางหลังเก็บเกี่ยวปลิวว่อนกลางทุ่ง หลายบ้านเตรียมโกยฟางมัดเป็นท่อนเก็บไว้ให้วัวควายในหน้าแล้ง นึกเล่นๆ ว่าถ้าคนเรากินแค่หญ้าก็คงจะดี ไม่ต้องมีกิเลสอยากกินนั่นนี่ให้เดือดร้อนไปถึงพืชและสัตว์อีกมากมาย ที่ต้องถูกไล่ล่าบ้าง ถูกบังคับให้โตผิดธรรมชาติบ้าง ถูกเปลี่ยนนั่นแปลงนี่ให้ถูกใจคนจนวุ่นวายไปทั้งโลก เข้าทำนองเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว (ว่าเข้าไปนั่น)คิดจนหิว จึงหันไปเปิดตู้กับข้าว อะไรกันนี่ ช่างโล่งดีแท้ๆ มีแต่ถ้วยน้ำปลาพริกขี้หนู อ้อ มีปลาทู(แย่งแมวมา)หนึ่งตัว ทำปลาทูต้มน้ำปลาดีกว่า ทำง้ายง่าย แล้วก็อร้อย อร่อย ตั้งน้ำให้เดือดพลั่กๆ ใส่ปลาทู เหยาะน้ำปลาพริกขี้หนู บีบมะนาว…
มูน
หมาขนฟูสีขาวในรถยนต์คันใหญ่ที่จอดติดไฟแดงอยู่ตรงสี่แยกนั้น ทำให้ฉันคิดถึงลัคกี้สมัยที่ฉันยังรับจ้างทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่ง สำนักงานเราเป็นบ้านเช่าที่อยู่ติดกับรั้วด้านหลังของบ้านสวนกว้างใหญ่ เจ้าของบ้านสวนก็คือเจ้าของบ้านเช่า รวมทั้งหอพักปากซอย ร้านค้าและตึกแถวใหญ่ในตลาด แถมที่ดินจัดสรรอีกหลายแห่งคุณนายเจ้าของบ้านเช่ามีลูกสาวทำงานอยู่ต่างประเทศ ครั้งหนึ่งลูกสาวกลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมกับซื้อลัคกี้มาฝากแม่  เราเห็นหมาตัวโตขนยาวขาวสะอาดนั่งชูคอในรถยนต์ไปไหนๆ กับคุณนาย ที่ชอบใจนักเวลามีคนชมความสวยสง่าของลัคกี้ แล้วเธอก็จะคุยให้ใครๆ ฟังถึงลูกสาวคนเก่ง ลัคกี้ร่าเริงและชอบอยู่ใกล้ๆ คน…
มูน
จับเจ่ารอรถอยู่ที่สถานีขนส่งเมืองอุบลฯ ลมปลายเดือนตุลาคมพัดมาในช่วงค่ำทำให้ต้องนั่งกอดอก กำลังเกือบสัปหงกเมื่อรู้สึกเหมือนมีใครบางคนมายืนเกือบชิดหัวเข่าโงหัวขึ้นเจอกับดวงตากลมใสคู่หนึ่ง กำลังจ้องมองฉันอยู่อย่างคาดหวังเรามองตากันอยู่เงียบๆ ฉันพินิจลักษณะของเธอแล้วเดาว่า น่าจะกำลังเป็นแม่ลูกอ่อน ด้วยว่าเต้านมที่หย่อนยานนั้นดูอวบเต่ง แต่รูปร่างที่ผอมเกร็งก็บอกว่า อาการการกินคงไม่บริบูรณ์เท่าไร อาจจะถึงขั้นขาดแคลนเสียด้วยซ้ำ “หิวเหรอจ๊ะ” ฉันถามเบาๆ ไม่มีเสียงจากเธอ แต่มีคำตอบอยู่ในแววตาละห้อยคู่นั้นฉันเหลียวซ้ายแลขวาไปทั่วท่ารถที่ค่อนข้างเงียบเหงา รถโดยสารที่แล่นระหว่างอำเภอหมดไปนานแล้ว…