Skip to main content
 

เป็นโชคที่ไม่รู้จะจัดว่าร้ายหรือดี ที่ฉันมีโอกาสเข้าสนามม้าตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบขวบ

 

ภาพสนามหญ้ากว้างใหญ่ไพศาลผุดขึ้นในความทรงจำ รั้วไม้สีขาวเป็นแนวยาว ขนานไปกับเส้นทางเรียบโค้งเป็นวงกลมใหญ่ เหนือสนามขึ้นไป เป็นอัฒจรรย์ที่เต็มไปด้วยเก้าอี้มากมายนับไม่ถ้วน

 

ในวันเวลานั้น แม่ของฉันทำงานหนักเพื่อหารายได้เพิ่มเติมสำหรับการเลี้ยงลูกเล็กๆ สามคน นอกจากเงินเดือนข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง แม่ยังรับจ้างพิมพ์ดีดในวันเสาร์ และทำงานเป็นคนขายตั๋วแทงม้าในวันอาทิตย์

แม่ไม่ชอบสนามม้า แต่คิดว่าเมื่อโชคดีมีงานพิเศษเข้ามาก็ควรจะคว้าไว้ เพื่อให้เรามีค่ากับข้าวเพิ่มขึ้น

.....................


คุณตาของฉันเป็นทหารม้า แม่เล่าว่าคุณตาเคยมีม้าเทศสีขาวหม่นตัวหนึ่ง ชื่อ เงินดีแท้ และแม่ก็เคยขี่มันด้วย แต่ตอนที่ฉันโตพอจำความได้ บ้านคุณตาเหลือแต่หมา แมว และไก่ในเล้า

 

คุณตาเคยพาฉันเข้าไปที่กองเสบียงสัตว์ในค่าย แล้วชี้ให้ดูโรงม้า กับโรงเก็บหญ้า วันหนึ่งโชคดีได้เห็นทหารจูงม้าออกมาเดินอยู่ไกลๆ ฉันชะเง้อมองเจ้าสี่ขาตัวสูงใหญ่ด้วยความทึ่ง

 

ครั้งหนึ่งในโอกาสพิเศษอะไรสักอย่าง โรงเรียนพาเด็กๆ ไปชมภาพยนตร์ เป็นครั้งแรกที่ฉันดูหนังในโรง

หนังเรื่องนั้นชื่อ Black Beauty เล่าถึงม้าสีดำตัวหนึ่งที่ถูกเปลี่ยนเจ้าของคนแล้วคนเล่า ผ่านความลำบากและทารุณสารพัด


ฉันจำรายละเอียดของเรื่องทั้งหมดไม่ได้ นอกจากความรู้สึกว่า สัตว์ก็มีหัวใจ และความเมตตากรุณาเกิดขึ้นที่ไหน ที่นั่นจะมีแต่ความสุขสงบและร่มเย็น

 

ภาพที่จำได้ติดตา คือความงดงามของเจ้าสี่ขาที่วิ่งฉิวอย่างสง่า มองเห็นแผงคอพลิ้วไสวในสายลม

......................


สนามม้าอยู่บนเส้นทางที่มุ่งไปสถานีรถไฟประจำจังหวัด นับว่าไกลเอาเรื่องถ้านับจากบ้านฉัน ต้องต่อรถสองแถวถึงสองสาย บางครั้งแม่จึงพาลูกสาวตัวเล็กๆ ไปเป็นเพื่อน


ฉันไม่ชอบที่ที่เต็มไปด้วยคนแปลกหน้า แต่อยากไปกับแม่


ครอบครัวเราไม่เคยมีโอกาสไปเที่ยวไหน ฉันเป็นเด็กที่ไม่รู้จักการเที่ยวนอกบ้านในวันหยุด ได้แต่ฟังเพื่อนที่โรงเรียนแลกกันเล่าถึงการไปเที่ยวทะเล เที่ยวน้ำตก เที่ยวสวนสัตว์ หรือแม้แต่เที่ยวตลาด


การไปทำงานกับแม่นับว่าฉันได้ไปเที่ยวเหมือนกัน แม้จะรู้สึกภายหลังว่า สถานที่นั้นไม่มีวันเป็นที่สำหรับการไปเที่ยวก็ตามที

......................


ในความทรงจำของฉัน สนามม้าไม่ใช่สถานที่แห่งความรื่นรมย์ น่าแปลกที่ผู้คนจำนวนนับหมื่น หลั่งไหลมาชุมนุมกัน แออัด เบียดเสียด เคร่งเครียด และ(บางคน)บ้าคลั่ง


เมื่อเสียงปืนดังขึ้น และม้าทุกตัวถูกปล่อยพุ่งทะยานออกจากซองราวกับลูกธนู ผู้คนในสนามก็เหมือนถูกราดด้วยน้ำร้อน ไม่มีใครอยู่นิ่ง บ้างร้องตะโกน บ้างกระโดดโลดเต้น ชูมือเร่าๆ สารพัดเสียงอื้ออึงแทบฟังไม่ได้ศัพท์

 

คุณตาบอกว่า ม้าเป็นสัตว์ที่มีคุณค่ามาตั้งแต่โบราณ ทั้งในการทหาร การกีฬา การงาน และการเดินทาง ม้าจึงงามสง่าเสมอในความรู้สึกของเด็กคนหนึ่ง


แต่ฉันไม่เคยเข้าใจความสนุกในการพนันแข่งม้า สิ่งที่จำได้มีเพียงม้าหลากสีที่ควบสุดฝีเท้าอยู่บนลู่ กับแส้ที่จ๊อกกี้หวดลงบนตัวมันเพื่อเร่งความเร็ว


ฉันได้แต่ภาวนาให้การแข่งขันสิ้นสุด เพื่อที่พวกมันจะได้เจ็บน้อยลง

.....................


บางคราวมีผู้ใหญ่นึกสนุก อุ้มฉันขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์ ให้คอยส่งเงินทอนให้คนที่เบียดเสียดอยู่หน้าช่องขายตั๋ว บางคนบอกให้ฉันเลือกเบอร์ม้าให้ เขาว่าเด็กๆ อาจจะให้โชค ฉันได้แต่ทำหน้าเหรอหรา

 

เคยมีคนซื้อขนมมาให้ฉันถุงใหญ่ คนที่ขายตั๋วอยู่กับแม่บอกว่า เขาตบรางวัลที่ฉันบอกเบอร์ม้าให้เขา แล้วม้าตัวนั้นบังเอิญเข้าวิน ฉันจำอะไรไม่ได้เลย อาจพูดไปเรื่อยเปื่อยตามประสาเด็ก

 

แม่ห้ามไม่ให้ฉันบอกหรือตอบอะไรใครอีก

"ถ้าเขาโชคดีก็ดีไป แต่ถ้าเขาโชคร้ายขึ้นมา เราอาจจะโชคร้ายไปด้วย"


เมื่อเกิดความผิดพลาด บางคนถนัดที่จะโทษคนอื่นมากกว่าพิจารณาตัวเอง

 

ครั้งหนึ่ง ขณะชะเง้อมองผู้คนที่เบียดเสียดแย่งกันซื้อตั๋ว ฉันมองเห็นใบหน้าที่คุ้นตา เขาเป็นพ่อของเพื่อนที่โรงเรียน


ใบหน้านั้นแดงก่ำคร่ำเครียด ฉันเห็นเขาฉีกตั๋วเป็นชิ้นๆ แล้วตะโกนอะไรสักอย่างเมื่อการแข่งขันเสร็จสิ้น ท่าทางนั้นทำให้ฉันกลัว การพนันทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงเพียงนี้


นึกถึงเพลงกราวกีฬาที่ครูสอน "กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ แก้กองกิเลส ทำคนให้เป็นคน"

แต่เมื่อกีฬากลายเป็นการพนัน ยาวิเศษนั้นก็กลายเป็นยาพิษ

..........................

 

"ม้าแข่งมันเกิดมาเพื่อที่จะวิ่งแข่ง ถ้าไม่ได้แข่งมันจะเฉาตาย" ใครบางคนเคยพูด แต่ฉันไม่เชื่อ

เหมือนที่ไม่เชื่อว่า ไก่ชนเกิดมาเพื่อจะชนกัน หรือปลากัดเกิดมาเพื่อจะกัดกัน


สัตว์ทุกชนิดในโลกมีวิถีทางของมัน ไก่คงไม่ได้ตั้งใจจะเดินเข้าไปแลกเดือยกับอีกตัวหนึ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยที่ไม่ได้มีแรงจูงใจตามธรรมชาติของสัตว์ เช่นการแย่งคู่ การหาอาหาร หรือการป้องกันอาณาเขต


ปลากัดคงไม่ได้ตั้งใจจะลงไปอยู่ในขวด รอที่จะกัดกับตัวที่อยู่ในอีกขวดหนึ่ง


คนต่างหากที่กำหนดความเป็นไปให้สัตว์ อาศัยสัญชาตญาณของสัตว์ เพื่อสร้างความรื่นรมย์ส่วนตน หรือเพื่อตอบสนองความต้องการบางอย่างของตน

 

เมื่อตะวันใกล้จะตกดิน ทั้งสนามก็เงียบสงบ เห็นแต่เศษกระดาษและขยะนานาชนิดปลิวเรี่ยตามพื้น ฉันเคยเห็นบางคนนั่งคอตกอยู่ริมถนนเหมือนไม่อยากกลับบ้าน

 

คนเลี้ยงม้าแข่งจูงเจ้าสี่ขาตัวสูงเดินกุบกับผ่านหน้าไป เจ้าม้าจะรู้ไหม ว่ามันเป็นทั้งความหวังอันยิ่งใหญ่ และอาจทำให้ผู้คนมากมายฝันสลายในไม่กี่นาที

........................


เมื่อคุณตาคุณยายทราบว่าแม่ขายตั๋วแทงม้า ก็สั่งให้ลาออก และส่งหลานๆ ไปอยู่กับท่านในวันหยุดเรียนและทุกๆ ปิดเทอม เสียงอื้ออึงที่ฉันได้ยินในทุกวันอาทิตย์จึงค่อยๆ เลือนหายไป

 

ทุกวันนี้ไม่มีสนามม้าแห่งนั้นแล้ว หลายปีผ่านมาที่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิด จึงเห็นว่าสนามหญ้ากว้างใหญ่ส่วนหนึ่งกลายเป็นที่ตั้งของโรงเรียน ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าม้าแข่งเหล่านั้นไปอยู่ที่ไหน และมันจะเฉาตายจริงหรือเปล่า


ฉันภาวนาให้พวกมันมีโอกาสวิ่งเล่นอย่างมีความสุขในทุ่งกว้างๆ ได้ใช้สัญชาตญาณที่ธรรมชาติให้มา ตามประสาสัตว์ที่มีอิสระ ไม่มีการแข่งขัน ไม่มีความกดดัน ไม่มีแส้โบยตี

 

ท่ามกลางความทรงจำสีหม่นในสนามม้า ภาพที่ยังคงสดใสเสมอมา คือเจ้าสี่ขาที่วิ่งฉิวอย่างงามสง่า ขนแผงคอพลิ้วไสวอยู่ในสายลม

 

 

 

บล็อกของ มูน

มูน
เพื่อนคนหนึ่งของฉันเพิ่งจากไปในเช้าวันนี้แสงแดดเจิดจ้าของเดือนเมษายนแตะแต้มกลีบบางของดอกดาวกระจายสีชมพู ใกล้ๆ กันเป็นกระถางของเดซี่น้อย ที่กำลังแย้มยิ้มอย่างไร้เดียงสา อวดเกสรสีเหลืองแจ่มใสกับกลีบเล็กสีขาวที่กระจายอยู่รายรอบ“ชอบดอกไม้ไหมจ๊ะ ขนดอกไม้ไปปลูกกันเถอะ” นึกถึงเสียงใสของเธอเมื่อสองเดือนก่อน ตามด้วยคำหยอกเย้าเคล้าเสียงหัวเราะ “หรือชอบเลี้ยงแต่แมวๆ หมาๆ”เธอยิ้มแย้มอยู่ในกระโปรงยาวกรุยกราย เข้ากับผ้าคลุมไหล่สีสวยมีดอกไม้มากมายถูกทิ้งไว้หลังการจัดงานนิทรรศการแห่งหนึ่ง บางส่วนอยู่ในกระถาง บางส่วนอยู่ในถุงดำ คนงานกำลังรื้อถอนส่วนต่างๆ ของงาน บรรดาดอกไม้ประดับถูกขนมากองสุมไว้ด้านนอก“…
มูน
  ไม่สบายกายและใจอยู่หลายวัน พอเรี่ยวแรงคืนมา ฉันก็คว้าจักรยานยนต์คันเก่า ขี่โกรกเกรกกึงกังไปตลาดใหญ่ที่ไกลจากบ้านราวสิบกิโลเมตร รู้สึกสังขารตัวเองใกล้เคียงกับรถ คือมีอะไรสักอย่าง (หรือหลายอย่าง) ที่ไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางนักพอพ้นจากทางดินเป็นถนนลาดยาง รถก็แล่นฉิว ลมพัดพรูจนผมปลิวกระจาย (นึกไปเองว่า) คล้ายๆ โฆษณาแชมพูสระผม ฝนที่ตกหนักไปเมื่อคืนวานทำให้อากาศสดแจ่ม ฟ้าใสกระจ่าง แซงแซวหางปลาเกาะอยู่บนกิ่งประดู่ข้างทาง ในทุ่งที่น้ำเจิ่งนองมีนกกระยางเดินท่องน้ำจ๋อมๆ อยู่หลายตัวลมพัดเสื้อคลุมสะบัดพึ่บพั่บ ชายเสื้อปลิวอยู่ด้านหลัง รู้สึกเริงรื่นจนต้องร้องเพลงดังๆ ตามจังหวะกึงกังของรถ "…
มูน
ฉันกำลังแบกเป้เดินทางรับจ้างทำงานอยู่แถวภาคเหนือ ในช่วงเวลาที่บรรยากาศเริงรื่นยังคงรวยรินแม้จะเลยปีใหม่ไปแล้วหลายวัน คนที่ไม่มีงานประจำ แต่มีรายจ่ายเรียงรายรอคอยอยู่ทุกเดือนอย่างฉัน ไม่มีเวลานั่งอยู่เฉย (ถึงแม้จะอยากนั่ง) ใครจ้างมา ฉันก็ไป เหมือนมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ไม่เกี่ยงระยะทางและผู้โดยสารใกล้เที่ยงคืนที่วางเป้ลงอย่างอ่อนแรงในห้องพักเล็กๆ ควักสมุดบันทึกขึ้นมาคำนวณรายจ่ายและแผนการเดินทางในวันถัดไป ใจคิดล่วงหน้าถึงวันกลับบ้าน ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังแผ่วๆ มาจากกระเป๋าข้างเตียง ............นานหลายปีมาแล้วที่ฉันรู้สึกว่าเทศกาลปีใหม่ไม่ใช่เวลาของความบันเทิงใจ ปีใหม่ในวัยเยาว์ครั้งหนึ่ง…
มูน
สายหมอกสีขาวนุ่มห่มคลุมยอดดอย ในเช้าที่ฉันนั่งรถเข้าหมู่บ้าน ไร่ยาสูบและไร่ข้าวโพดสองข้างทางดูเลือนลางอยู่ในแสงสลัวของดวงตะวัน ที่พยายามแทรกผ่านลมหนาวอย่างสุดความสามารถ“หนาวไหม หนาวเนาะ” พ่อเฒ่าสวมหมวกไหมพรมสีแดงทักถาม ฉันกอดอกแน่น ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก เพราะหนาวจนพูดไม่ออก ควันกรุ่นสีขาวพรูออกทางจมูกเหมือนลมหายใจมังกรไฟในนิทาน คนที่เคยชวนฉันมาเมืองพร้าวไม่เคยเล่าว่าบ้านเกิดของเธอหนาวขนาดนี้สำหรับบางคน ความทรงจำอาจอบอุ่นตลอดกาล แมวลายสามตัวที่นอนอาบแดดกลางลานบ้านวิ่งกันกระจายเมื่อเห็นคนแปลกหน้า เหลือแมวอ้วนสีส้มหมอบอยู่บนอานรถเครื่องคันเก่า “ขอถ่ายรูปหน่อย อยู่นิ่งๆ นะ มือใหม่หัดถ่ายนะ…
มูน
สีสันสดใสในเทศกาลส่งท้ายปี เป็นสัญญาณของการสิ้นสุดและเริ่มต้นใหม่ เพื่อนบ้านคนหนึ่งติดกระดาษริ้วสีทอง เขียนว่า HAPPY NEW YEAR 2008 ไว้เหนือประตูบ้าน อีกหลังติดไฟกระพริบ สลับกันวิบวับตรงนั้นตรงนี้ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งยื่นเค้กช็อคโกแลตให้ แล้วบอกว่า สวัสดีปีใหม่ คิดอะไรขอให้สมปรารถนาฉันยิ้มกับคำอวยพร ถามตัวเองเล่นๆ ในใจว่าปรารถนาอะไรบ้าง โอ้ ช่างมากมายจนน่าอายตัวเอง หนึ่งในความปรารถนาที่ฉันคิดเสมอมาเมื่อถึงวันปีใหม่ คือขอให้ยายได้พบกับป่องหยอด................ความจริงยายไม่ได้เป็นแค่ยาย ยายเคยเป็นแม่ แต่เมื่อลูกสาวคนเดียวของยายตายไป และยายไม่มีญาติที่ไหนอีก…
มูน
เสียงรถมาจอดหน้าบ้าน โต๋เต๋ชันคอขึ้นเป็นครั้งแรกของวัน มันลุกพรวดพราดไปดู สักพักก็เดินหูลู่หางตก กลับมานอนหมอบเป็นรูปปั้นหมาตรงที่เดิม ท่าทางหมกมุ่นหงอยเหงาราวกับคนอมทุกข์ฉันไม่รู้จะช่วยมันได้อย่างไร บางทีก็ไม่อาจมีใครแทนใครได้นึกย้อนไปถึงค่ำวันหนึ่งที่ฉันลงรถประจำทางใกล้แยกบางใหญ่ กำลังสำรวจสภาพกระดูกกระเดี้ยวที่ถูกเบียดเสียดบนรถมานานนับชั่วโมง หางตาก็เห็นอะไรแวบๆ จุดดำๆ เคลื่อนมาตามแนวถนน รถยนต์ก็ไม่ใช่ มอเตอร์ไซค์ก็ไม่เชิง ใกล้เข้ามาถึงเห็นเป็นหมาสีเข้มๆ ตัวหนึ่งกำลังวิ่งสุดฝีเท้าแทบจะแข่งกับรถที่แล่นอยู่บนถนนฉันพยายามมองว่ามันวิ่งตามอะไร เพราะวิ่งแบบนี้ไม่ใช่วิ่งเล่นแน่ๆ…
มูน
แสงแดดอ่อนๆ ในฤดูหนาว ที่ส่องเข้ามาอาบขนนุ่มละเอียดของแมวข้างหน้าต่าง ทำให้ฉันคิดถึงเด็กคนหนึ่งและความสุขที่ยังคงอุ่นอยู่ในใจเสมอมาหลังเรียนจบ ฉันทำงานพัฒนาชนบทอยู่ที่เมืองโคราช และได้พบกับจ่อย เด็กน้อยวัยสี่ขวบในศูนย์บริบาลเด็กขาดสารอาหารของโรงพยาบาลประจำอำเภอ จ่อยเคยเป็นเด็กขาดอาหารระดับรุนแรง หลังจากรับการรักษาฟื้นฟูจึงเริ่มเดินได้เมื่ออายุราวสามขวบ และเป็นเด็กที่ช่างจดจำอย่างน่าอัศจรรย์ สามารถเรียกชื่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุกคนที่รู้จักได้ไม่พลาด ขอแค่ได้ฟังเสียง หรือใช้มือป้อมๆ ลูบคิ้วคางปากจมูกของคนนั้น หลังโรงพยาบาลเป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ…
มูน
“ชีวิตดังตัวคนเดียว ท่ามกลางทะเลเปลี่ยว ต้องลอยคว้างกลางลมคลื่นหลับใหลไม่เคยเต็มตื่น ข้าวกลืนไม่เคยอิ่ม โอ้ รอยยิ้มไม่เคยได้” เสียงเพลง “ชีวิตคนเศร้า” ของทูล ทองใจ ทำให้ฉันนึกถึงพ่อ และท่อนหนึ่งของเพลงที่พ่อมักร้องซ้ำไปซ้ำมาไม่เคยจบสักทีพ่อหิ้วกระเป๋าออกจากบ้านปู่ตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบ ทิ้งผืนนาไปตามหาความฝันของวัยหนุ่ม แต่ดูเหมือนว่าพ่อใช้เวลาตามหาตลอดชีวิต และพบเพียงความฝันที่แหว่งวิ่น ความทรงจำของฉันเกี่ยวกับพ่อ เหมือนชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจาย แต่ทุกชิ้นชัดเจน และไม่เคยสักครั้งที่ฉันคิดจะลืมตอนที่ฉันอายุราวๆ ห้าหกขวบ พ่อพาไปดูหนังอินเดียเรื่อง “โชเล่ย์” ที่โรงหนังประชาบดี…
มูน
ใกล้บ้านเช่าหลังเก่าของฉันที่ขอนแก่น มีวัดป่าแห่งหนึ่งร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ฉันชอบไปเดินเล่นดูโบสถ์เก่าแก่คร่ำคร่าเต็มไปด้วยรอยตะไคร่ ไปนั่งฟังเสียงลมพัดใบไม้ และนั่งเล่นริมบึงกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยปลา เป็นวัดที่ให้บรรยากาศสงบงามสมกับเป็นสถานที่สำหรับ "หนีร้อนมาพึ่งเย็น" จริงๆ แต่ฉันไม่เคยเห็นวัดไหนเต็มไปด้วยไก่เท่าวัดนี้ ไก่หลากสีหลายขนาดเดินกันขวักไขว่ นับคร่าวๆ ได้สักหกหรือเจ็ดสิบตัว หลายตัวบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งเตี้ยๆ ของต้นก้ามปูใหญ่ เจ้าอาวาสบอกว่า คนแถบนี้นิยมปล่อยไก่เป็นการสะเดาะเคราะห์อย่างหนึ่ง"สมัยก่อนเขาต้องตัดหางด้วยนะ ที่เรียกว่าตัดหางปล่อยวัดไงล่ะ" ฉันถามถึงจำนวนไก่…
มูน
ลมหนาวพัดฟางหลังเก็บเกี่ยวปลิวว่อนกลางทุ่ง หลายบ้านเตรียมโกยฟางมัดเป็นท่อนเก็บไว้ให้วัวควายในหน้าแล้ง นึกเล่นๆ ว่าถ้าคนเรากินแค่หญ้าก็คงจะดี ไม่ต้องมีกิเลสอยากกินนั่นนี่ให้เดือดร้อนไปถึงพืชและสัตว์อีกมากมาย ที่ต้องถูกไล่ล่าบ้าง ถูกบังคับให้โตผิดธรรมชาติบ้าง ถูกเปลี่ยนนั่นแปลงนี่ให้ถูกใจคนจนวุ่นวายไปทั้งโลก เข้าทำนองเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว (ว่าเข้าไปนั่น)คิดจนหิว จึงหันไปเปิดตู้กับข้าว อะไรกันนี่ ช่างโล่งดีแท้ๆ มีแต่ถ้วยน้ำปลาพริกขี้หนู อ้อ มีปลาทู(แย่งแมวมา)หนึ่งตัว ทำปลาทูต้มน้ำปลาดีกว่า ทำง้ายง่าย แล้วก็อร้อย อร่อย ตั้งน้ำให้เดือดพลั่กๆ ใส่ปลาทู เหยาะน้ำปลาพริกขี้หนู บีบมะนาว…
มูน
หมาขนฟูสีขาวในรถยนต์คันใหญ่ที่จอดติดไฟแดงอยู่ตรงสี่แยกนั้น ทำให้ฉันคิดถึงลัคกี้สมัยที่ฉันยังรับจ้างทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่ง สำนักงานเราเป็นบ้านเช่าที่อยู่ติดกับรั้วด้านหลังของบ้านสวนกว้างใหญ่ เจ้าของบ้านสวนก็คือเจ้าของบ้านเช่า รวมทั้งหอพักปากซอย ร้านค้าและตึกแถวใหญ่ในตลาด แถมที่ดินจัดสรรอีกหลายแห่งคุณนายเจ้าของบ้านเช่ามีลูกสาวทำงานอยู่ต่างประเทศ ครั้งหนึ่งลูกสาวกลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมกับซื้อลัคกี้มาฝากแม่  เราเห็นหมาตัวโตขนยาวขาวสะอาดนั่งชูคอในรถยนต์ไปไหนๆ กับคุณนาย ที่ชอบใจนักเวลามีคนชมความสวยสง่าของลัคกี้ แล้วเธอก็จะคุยให้ใครๆ ฟังถึงลูกสาวคนเก่ง ลัคกี้ร่าเริงและชอบอยู่ใกล้ๆ คน…
มูน
จับเจ่ารอรถอยู่ที่สถานีขนส่งเมืองอุบลฯ ลมปลายเดือนตุลาคมพัดมาในช่วงค่ำทำให้ต้องนั่งกอดอก กำลังเกือบสัปหงกเมื่อรู้สึกเหมือนมีใครบางคนมายืนเกือบชิดหัวเข่าโงหัวขึ้นเจอกับดวงตากลมใสคู่หนึ่ง กำลังจ้องมองฉันอยู่อย่างคาดหวังเรามองตากันอยู่เงียบๆ ฉันพินิจลักษณะของเธอแล้วเดาว่า น่าจะกำลังเป็นแม่ลูกอ่อน ด้วยว่าเต้านมที่หย่อนยานนั้นดูอวบเต่ง แต่รูปร่างที่ผอมเกร็งก็บอกว่า อาการการกินคงไม่บริบูรณ์เท่าไร อาจจะถึงขั้นขาดแคลนเสียด้วยซ้ำ “หิวเหรอจ๊ะ” ฉันถามเบาๆ ไม่มีเสียงจากเธอ แต่มีคำตอบอยู่ในแววตาละห้อยคู่นั้นฉันเหลียวซ้ายแลขวาไปทั่วท่ารถที่ค่อนข้างเงียบเหงา รถโดยสารที่แล่นระหว่างอำเภอหมดไปนานแล้ว…