Skip to main content

บางครั้ง ฉันคิดว่าตัวเองกำลังจะเหมือนพวกป้าๆ ในหนังสือเรื่อง Island of the Aunts ที่เขียนโดย Eva Ibbotson

 

 

ป้าสามคนพี่น้อง อาศัยอยู่บนเกาะกลางทะเลที่ไม่ปรากฏในแผนที่โลก โชคดีที่ไม่มีคนรู้จักเกาะนี้ นอกจากเหล่าแมวน้ำ เงือก นกนางนวล และนานาสัตว์ป่วยจากทวีปต่างๆ ที่พากันเดินทางข้ามมหาสมุทรมายังเกาะที่แสนบริสุทธิ์ เพื่อให้ป้าทั้งสามปลอบโยนและเยียวยาบาดแผลทั้งกายและใจ

งานของป้ามีสารพัด เป็นต้นว่า ป้อนนมแมวน้ำกำพร้า ล้างคราบน้ำมันออกจากตัวนางเงือก หาอาหารให้นกบูบรีที่กำลังจะออกไข่ ส่งแมงกะพรุนกลับบ้าน รักษาปลาหมึกตาเจ็บ เก็บขยะที่คลื่นซัดมาบนหาด

บางวัน โทรทัศน์เสนอข่าวป่าฝนเขตร้อนถูกคนใจร้ายตัดไม้และจุดไฟเผา ป้าร้องไห้เมื่อเห็นภาพลิงและเสือกระเสือกกระสนหนีตาย พวกเธอเชื่อว่าถ้ามนุษย์อ่อนโยนกว่านี้ โลกคงถูกทำร้ายน้อยลง

ป้าๆ ไม่ใช่ผู้วิเศษ พวกเธอกำลังจะแก่ และจะตายไปในที่สุด ใครจะมารับช่วงต่อ ในการที่จะคอยรักและดูแลปลอบโยนสัตว์ที่น่าสงสาร ในวันเวลาที่ป่าน้อยลงเรื่อยๆ ทะเลปนเปื้อนมากขึ้น และผู้คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น

ป้าอยากได้ผู้ช่วย แต่พวกผู้ใหญ่ไว้ใจไม่ได้ ป้าๆ จึงคิดว่าจะต้องขโมยเด็กสักคนหนึ่ง
เด็กที่ฉลาด แข็งแรง มีหัวใจอ่อนโยนที่พร้อมจะทะนุถนอมชีวิตอื่นๆ

 

 

บางครั้ง ฉันคิดว่าตัวเองกำลังคล้ายป้าๆ เข้าไปทุกที นอกจากคล้ายตรงที่กำลังจะแก่ และต้องตายไปในวันหนึ่งแล้ว ก็ยังเคยสงสัยว่า ในวันข้างหน้า บ้านสี่ขาจะเป็นอย่างไร ใครจะยินดีรับช่วงดูแลสัตว์ที่ถูกทอดทิ้งหรือถูกทำร้าย (ฟังดูเป็นมรดกที่ไม่น่ารับสักเท่าไร)

 

แล้วฉันก็คิดถึงเด็กคนหนึ่ง

 

เราพบกันครั้งแรกที่มหาสารคาม เธอเป็นเด็กหญิงตัวกลมผมม้า หางตาเฉียงๆ แต่ลูกตากลมเหมือนเม็ดกระดุมสีดำ

ตอนนั้น พ่อของเธอกำลังจัดอบรมครูชนบท เธอพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมจนวิทยากรขาดสมาธิ ฉันจึงต้องเป็นพี่เลี้ยงอาสา ดึงเธอออกมานอกวง

 

วาดรูปสารพัดจนหมดกระดาษไปหลายสิบแผ่น อ่านหนังสือนิทานกว่าสิบรอบจนเสียงแห้ง มื้อเที่ยงกินข้าวคลุกไข่พะโล้ด้วยกัน กับชวนกันไปเล่นดินเล่นทรายที่แหล่งก่อสร้างข้างโรงเรียน พอถึงบ่ายสี่โมงเย็น ผู้หญิงวัยสามสิบกับเด็กหญิงสามขวบก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน

 

เธอชอบมากตอนที่ฉันชวนร้องเพลง....ลึกและกว้าง ลึกและกว้าง ความรักของเรานั้นลึกและกว้าง...พร้อมกับทำท่าทางประกอบไปด้วย

พอร้องเพลงจบ ฉันก็บอกเธอว่า มาเร้ว กางแขนให้กว้างที่สุด แล้วก็กอดกันแน่นที่สุดเลยนะ! แล้วเราก็กอดกัน หมุนตัวไปรอบๆ แล้วหัวเราะ

จากนั้น เมื่อเจอหน้ากัน เราจะ “กางแขนกว้างๆ แล้วกอดกันแน่นๆ” ทุกครั้งไป

 

กิจกรรมที่เราทำด้วยกันมากที่สุดคืออ่านหนังสือนิทาน (ฉันอ่านให้เธอฟัง) แล้วก็คุย คุย และคุย

เรื่องที่เธอสนใจเป็นอย่างยิ่ง คือเรื่องหมาๆ แต่ละตัวในบ้านฉัน (บ้านเช่าฉันอยู่ใกล้บ้านเธอ)

ทำไมเท่ถึงมีตาข้างเดียว” (เท่ถูกตีลูกตาหลุด)

ทำไมหนังของย่นถึงย่น ขนก็ไม่มี” (ย่นเป็นขี้เรื้อน)

โมเมเป็นอะไรจ๊ะ ทำไมหน้ามันถึงเบี้ยว” (โมเมถูกรถชนกรามหัก)

วันนี้น้ามูนทำกับข้าวอะไรให้หมา หอมจัง ขอชิมได้ไหม”

น้ามูนเล่าเรื่องหมาในวิทยุมั่งสิ นะเล่านะ น้องเฟินจะคอยฟัง”

ตอนนั้นฉันเป็นนักจัดรายการวิทยุ น่าเสียดายที่ไม่ใช่รายการเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง เด็กที่นั่งเฝ้าวิทยุอยู่ทุกวันจึงต้องคอยเก้อ

 

ตลอดห้าปีที่อยู่ภาคอีสาน เธอช่วยฉันเพิ่มจำนวนสมาชิกบ้านสี่ขาอย่างแข็งขัน (โดยที่ฉันไม่ได้ขอร้อง)

น้ามูนจ๋า กองขยะปากซอยโน้นมีคนเอาหมามาทิ้ง น้ามูนไปช่วยมันที”

น้ามูน ที่หน้าโรงเรียนน้องเฟินมีหมาพ้อมผอม น่าสงสารจังเลย น้ามูนไปดูหน่อย”

น้องเฟินเจอลูกหมาหลงอยู่ข้างถนนละ เลยเก็บมาให้น้ามูน” (อุ้มร่องแร่งมาให้ถึงมือกันเลยทีเดียว)

 

เธอเป็นเด็กคนแรก (และอาจจะคนเดียว) ที่บอกฉันว่า

น้องเฟินอยากเป็นหมาของน้ามูนจังเลย”

 

เธอเคยทดลองคลานสี่ขาอยู่ครึ่งค่อนวัน ฉันแกล้งเรียกเธอว่าหมาน้อย เธอชอบมาก แถมยังคลานมาให้ฉันลูบหัวบ่อยๆ เสียด้วย จากวันนั้น เวลาฉันเรียกชื่อเธอ เธอมักบอกว่า “ไม่เอา เรียกหมาน้อยสิจ๊ะ”

เรื่องนี้เป็นความลับของเราสองคน คงไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้ลูกกลายเป็นหมา (หรือได้ยินใครเรียกลูกตัวเองว่าหมา)

 

เวลาอยากอ้อนให้ทำอะไร เธอจะเข้ามากอดเอว แหงนหน้าบอกว่า “น้ามูนทำให้หมาน้อยหน่อยนะจ๊ะ นะจ๊ะ”

 

เธออายุแปดขวบเศษตอนที่ฉันย้ายบ้านสี่ขาครั้งใหญ่ เราบอกลากันเหมือนเวลาพบกัน นั่นคือ กางแขนกว้างๆ และกอดกันแน่นๆ

น้ามูนอย่าลืมหมาน้อยนะ” เธอกระซิบ

 

ปลายปี 2551 ฉันบังเอิญพบพ่อของเธอที่สนามบินสุวรรณภูมิ เขาบินมาร่วมงานสัมมนาใหญ่ที่กรุงเทพมหานคร ไม่ได้พบกันนานเกือบหกปี เขากลายเป็นวิทยากรมืออาชีพไปแล้ว

ฉันได้รู้ว่าเธอกลายเป็นสาวน้อยวัยรุ่นที่คร่ำเคร่งเรียนภาษาจีน และกำลังฝึกเล่นเปียโนอย่างขะมักเขม้น (พ่อเธอเพิ่งซื้อเปียโนหลังใหญ่ให้) เธอฝันจะเป็นนักเปียโนเก่งๆ และเดินทางไปทั่วโลก

 

ฉันสงสัยว่า เธอจำช่วงเวลาที่เคยเป็นหมาน้อยได้ไหม และยังชอบฟังนิทานอยู่หรือเปล่า

แต่ถ้ามีโอกาสได้พบกัน นอกจาก “กางแขนกว้างๆ และกอดกันแน่นๆ” แล้ว ฉันจะเล่าเรื่องเกาะแสนวิเศษที่มีป้าสามคน กับเรื่องหมาและแมวแปดสิบกว่าตัวในบ้านสี่ขาริมทุ่งนาเมืองสุพรรณบุรีให้เธอฟัง

 

แล้วจะบอกว่า ถ้าฉันเป็นป้าที่อยากจะขโมยเด็กสักคนหนึ่ง ฉันจะขโมยเธอ

 

 

 

บล็อกของ มูน

มูน
เพื่อนคนหนึ่งของฉันเพิ่งจากไปในเช้าวันนี้แสงแดดเจิดจ้าของเดือนเมษายนแตะแต้มกลีบบางของดอกดาวกระจายสีชมพู ใกล้ๆ กันเป็นกระถางของเดซี่น้อย ที่กำลังแย้มยิ้มอย่างไร้เดียงสา อวดเกสรสีเหลืองแจ่มใสกับกลีบเล็กสีขาวที่กระจายอยู่รายรอบ“ชอบดอกไม้ไหมจ๊ะ ขนดอกไม้ไปปลูกกันเถอะ” นึกถึงเสียงใสของเธอเมื่อสองเดือนก่อน ตามด้วยคำหยอกเย้าเคล้าเสียงหัวเราะ “หรือชอบเลี้ยงแต่แมวๆ หมาๆ”เธอยิ้มแย้มอยู่ในกระโปรงยาวกรุยกราย เข้ากับผ้าคลุมไหล่สีสวยมีดอกไม้มากมายถูกทิ้งไว้หลังการจัดงานนิทรรศการแห่งหนึ่ง บางส่วนอยู่ในกระถาง บางส่วนอยู่ในถุงดำ คนงานกำลังรื้อถอนส่วนต่างๆ ของงาน บรรดาดอกไม้ประดับถูกขนมากองสุมไว้ด้านนอก“…
มูน
  ไม่สบายกายและใจอยู่หลายวัน พอเรี่ยวแรงคืนมา ฉันก็คว้าจักรยานยนต์คันเก่า ขี่โกรกเกรกกึงกังไปตลาดใหญ่ที่ไกลจากบ้านราวสิบกิโลเมตร รู้สึกสังขารตัวเองใกล้เคียงกับรถ คือมีอะไรสักอย่าง (หรือหลายอย่าง) ที่ไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางนักพอพ้นจากทางดินเป็นถนนลาดยาง รถก็แล่นฉิว ลมพัดพรูจนผมปลิวกระจาย (นึกไปเองว่า) คล้ายๆ โฆษณาแชมพูสระผม ฝนที่ตกหนักไปเมื่อคืนวานทำให้อากาศสดแจ่ม ฟ้าใสกระจ่าง แซงแซวหางปลาเกาะอยู่บนกิ่งประดู่ข้างทาง ในทุ่งที่น้ำเจิ่งนองมีนกกระยางเดินท่องน้ำจ๋อมๆ อยู่หลายตัวลมพัดเสื้อคลุมสะบัดพึ่บพั่บ ชายเสื้อปลิวอยู่ด้านหลัง รู้สึกเริงรื่นจนต้องร้องเพลงดังๆ ตามจังหวะกึงกังของรถ "…
มูน
ฉันกำลังแบกเป้เดินทางรับจ้างทำงานอยู่แถวภาคเหนือ ในช่วงเวลาที่บรรยากาศเริงรื่นยังคงรวยรินแม้จะเลยปีใหม่ไปแล้วหลายวัน คนที่ไม่มีงานประจำ แต่มีรายจ่ายเรียงรายรอคอยอยู่ทุกเดือนอย่างฉัน ไม่มีเวลานั่งอยู่เฉย (ถึงแม้จะอยากนั่ง) ใครจ้างมา ฉันก็ไป เหมือนมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ไม่เกี่ยงระยะทางและผู้โดยสารใกล้เที่ยงคืนที่วางเป้ลงอย่างอ่อนแรงในห้องพักเล็กๆ ควักสมุดบันทึกขึ้นมาคำนวณรายจ่ายและแผนการเดินทางในวันถัดไป ใจคิดล่วงหน้าถึงวันกลับบ้าน ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังแผ่วๆ มาจากกระเป๋าข้างเตียง ............นานหลายปีมาแล้วที่ฉันรู้สึกว่าเทศกาลปีใหม่ไม่ใช่เวลาของความบันเทิงใจ ปีใหม่ในวัยเยาว์ครั้งหนึ่ง…
มูน
สายหมอกสีขาวนุ่มห่มคลุมยอดดอย ในเช้าที่ฉันนั่งรถเข้าหมู่บ้าน ไร่ยาสูบและไร่ข้าวโพดสองข้างทางดูเลือนลางอยู่ในแสงสลัวของดวงตะวัน ที่พยายามแทรกผ่านลมหนาวอย่างสุดความสามารถ“หนาวไหม หนาวเนาะ” พ่อเฒ่าสวมหมวกไหมพรมสีแดงทักถาม ฉันกอดอกแน่น ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก เพราะหนาวจนพูดไม่ออก ควันกรุ่นสีขาวพรูออกทางจมูกเหมือนลมหายใจมังกรไฟในนิทาน คนที่เคยชวนฉันมาเมืองพร้าวไม่เคยเล่าว่าบ้านเกิดของเธอหนาวขนาดนี้สำหรับบางคน ความทรงจำอาจอบอุ่นตลอดกาล แมวลายสามตัวที่นอนอาบแดดกลางลานบ้านวิ่งกันกระจายเมื่อเห็นคนแปลกหน้า เหลือแมวอ้วนสีส้มหมอบอยู่บนอานรถเครื่องคันเก่า “ขอถ่ายรูปหน่อย อยู่นิ่งๆ นะ มือใหม่หัดถ่ายนะ…
มูน
สีสันสดใสในเทศกาลส่งท้ายปี เป็นสัญญาณของการสิ้นสุดและเริ่มต้นใหม่ เพื่อนบ้านคนหนึ่งติดกระดาษริ้วสีทอง เขียนว่า HAPPY NEW YEAR 2008 ไว้เหนือประตูบ้าน อีกหลังติดไฟกระพริบ สลับกันวิบวับตรงนั้นตรงนี้ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งยื่นเค้กช็อคโกแลตให้ แล้วบอกว่า สวัสดีปีใหม่ คิดอะไรขอให้สมปรารถนาฉันยิ้มกับคำอวยพร ถามตัวเองเล่นๆ ในใจว่าปรารถนาอะไรบ้าง โอ้ ช่างมากมายจนน่าอายตัวเอง หนึ่งในความปรารถนาที่ฉันคิดเสมอมาเมื่อถึงวันปีใหม่ คือขอให้ยายได้พบกับป่องหยอด................ความจริงยายไม่ได้เป็นแค่ยาย ยายเคยเป็นแม่ แต่เมื่อลูกสาวคนเดียวของยายตายไป และยายไม่มีญาติที่ไหนอีก…
มูน
เสียงรถมาจอดหน้าบ้าน โต๋เต๋ชันคอขึ้นเป็นครั้งแรกของวัน มันลุกพรวดพราดไปดู สักพักก็เดินหูลู่หางตก กลับมานอนหมอบเป็นรูปปั้นหมาตรงที่เดิม ท่าทางหมกมุ่นหงอยเหงาราวกับคนอมทุกข์ฉันไม่รู้จะช่วยมันได้อย่างไร บางทีก็ไม่อาจมีใครแทนใครได้นึกย้อนไปถึงค่ำวันหนึ่งที่ฉันลงรถประจำทางใกล้แยกบางใหญ่ กำลังสำรวจสภาพกระดูกกระเดี้ยวที่ถูกเบียดเสียดบนรถมานานนับชั่วโมง หางตาก็เห็นอะไรแวบๆ จุดดำๆ เคลื่อนมาตามแนวถนน รถยนต์ก็ไม่ใช่ มอเตอร์ไซค์ก็ไม่เชิง ใกล้เข้ามาถึงเห็นเป็นหมาสีเข้มๆ ตัวหนึ่งกำลังวิ่งสุดฝีเท้าแทบจะแข่งกับรถที่แล่นอยู่บนถนนฉันพยายามมองว่ามันวิ่งตามอะไร เพราะวิ่งแบบนี้ไม่ใช่วิ่งเล่นแน่ๆ…
มูน
แสงแดดอ่อนๆ ในฤดูหนาว ที่ส่องเข้ามาอาบขนนุ่มละเอียดของแมวข้างหน้าต่าง ทำให้ฉันคิดถึงเด็กคนหนึ่งและความสุขที่ยังคงอุ่นอยู่ในใจเสมอมาหลังเรียนจบ ฉันทำงานพัฒนาชนบทอยู่ที่เมืองโคราช และได้พบกับจ่อย เด็กน้อยวัยสี่ขวบในศูนย์บริบาลเด็กขาดสารอาหารของโรงพยาบาลประจำอำเภอ จ่อยเคยเป็นเด็กขาดอาหารระดับรุนแรง หลังจากรับการรักษาฟื้นฟูจึงเริ่มเดินได้เมื่ออายุราวสามขวบ และเป็นเด็กที่ช่างจดจำอย่างน่าอัศจรรย์ สามารถเรียกชื่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุกคนที่รู้จักได้ไม่พลาด ขอแค่ได้ฟังเสียง หรือใช้มือป้อมๆ ลูบคิ้วคางปากจมูกของคนนั้น หลังโรงพยาบาลเป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ…
มูน
“ชีวิตดังตัวคนเดียว ท่ามกลางทะเลเปลี่ยว ต้องลอยคว้างกลางลมคลื่นหลับใหลไม่เคยเต็มตื่น ข้าวกลืนไม่เคยอิ่ม โอ้ รอยยิ้มไม่เคยได้” เสียงเพลง “ชีวิตคนเศร้า” ของทูล ทองใจ ทำให้ฉันนึกถึงพ่อ และท่อนหนึ่งของเพลงที่พ่อมักร้องซ้ำไปซ้ำมาไม่เคยจบสักทีพ่อหิ้วกระเป๋าออกจากบ้านปู่ตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบ ทิ้งผืนนาไปตามหาความฝันของวัยหนุ่ม แต่ดูเหมือนว่าพ่อใช้เวลาตามหาตลอดชีวิต และพบเพียงความฝันที่แหว่งวิ่น ความทรงจำของฉันเกี่ยวกับพ่อ เหมือนชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจาย แต่ทุกชิ้นชัดเจน และไม่เคยสักครั้งที่ฉันคิดจะลืมตอนที่ฉันอายุราวๆ ห้าหกขวบ พ่อพาไปดูหนังอินเดียเรื่อง “โชเล่ย์” ที่โรงหนังประชาบดี…
มูน
ใกล้บ้านเช่าหลังเก่าของฉันที่ขอนแก่น มีวัดป่าแห่งหนึ่งร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ฉันชอบไปเดินเล่นดูโบสถ์เก่าแก่คร่ำคร่าเต็มไปด้วยรอยตะไคร่ ไปนั่งฟังเสียงลมพัดใบไม้ และนั่งเล่นริมบึงกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยปลา เป็นวัดที่ให้บรรยากาศสงบงามสมกับเป็นสถานที่สำหรับ "หนีร้อนมาพึ่งเย็น" จริงๆ แต่ฉันไม่เคยเห็นวัดไหนเต็มไปด้วยไก่เท่าวัดนี้ ไก่หลากสีหลายขนาดเดินกันขวักไขว่ นับคร่าวๆ ได้สักหกหรือเจ็ดสิบตัว หลายตัวบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งเตี้ยๆ ของต้นก้ามปูใหญ่ เจ้าอาวาสบอกว่า คนแถบนี้นิยมปล่อยไก่เป็นการสะเดาะเคราะห์อย่างหนึ่ง"สมัยก่อนเขาต้องตัดหางด้วยนะ ที่เรียกว่าตัดหางปล่อยวัดไงล่ะ" ฉันถามถึงจำนวนไก่…
มูน
ลมหนาวพัดฟางหลังเก็บเกี่ยวปลิวว่อนกลางทุ่ง หลายบ้านเตรียมโกยฟางมัดเป็นท่อนเก็บไว้ให้วัวควายในหน้าแล้ง นึกเล่นๆ ว่าถ้าคนเรากินแค่หญ้าก็คงจะดี ไม่ต้องมีกิเลสอยากกินนั่นนี่ให้เดือดร้อนไปถึงพืชและสัตว์อีกมากมาย ที่ต้องถูกไล่ล่าบ้าง ถูกบังคับให้โตผิดธรรมชาติบ้าง ถูกเปลี่ยนนั่นแปลงนี่ให้ถูกใจคนจนวุ่นวายไปทั้งโลก เข้าทำนองเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว (ว่าเข้าไปนั่น)คิดจนหิว จึงหันไปเปิดตู้กับข้าว อะไรกันนี่ ช่างโล่งดีแท้ๆ มีแต่ถ้วยน้ำปลาพริกขี้หนู อ้อ มีปลาทู(แย่งแมวมา)หนึ่งตัว ทำปลาทูต้มน้ำปลาดีกว่า ทำง้ายง่าย แล้วก็อร้อย อร่อย ตั้งน้ำให้เดือดพลั่กๆ ใส่ปลาทู เหยาะน้ำปลาพริกขี้หนู บีบมะนาว…
มูน
หมาขนฟูสีขาวในรถยนต์คันใหญ่ที่จอดติดไฟแดงอยู่ตรงสี่แยกนั้น ทำให้ฉันคิดถึงลัคกี้สมัยที่ฉันยังรับจ้างทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่ง สำนักงานเราเป็นบ้านเช่าที่อยู่ติดกับรั้วด้านหลังของบ้านสวนกว้างใหญ่ เจ้าของบ้านสวนก็คือเจ้าของบ้านเช่า รวมทั้งหอพักปากซอย ร้านค้าและตึกแถวใหญ่ในตลาด แถมที่ดินจัดสรรอีกหลายแห่งคุณนายเจ้าของบ้านเช่ามีลูกสาวทำงานอยู่ต่างประเทศ ครั้งหนึ่งลูกสาวกลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมกับซื้อลัคกี้มาฝากแม่  เราเห็นหมาตัวโตขนยาวขาวสะอาดนั่งชูคอในรถยนต์ไปไหนๆ กับคุณนาย ที่ชอบใจนักเวลามีคนชมความสวยสง่าของลัคกี้ แล้วเธอก็จะคุยให้ใครๆ ฟังถึงลูกสาวคนเก่ง ลัคกี้ร่าเริงและชอบอยู่ใกล้ๆ คน…
มูน
จับเจ่ารอรถอยู่ที่สถานีขนส่งเมืองอุบลฯ ลมปลายเดือนตุลาคมพัดมาในช่วงค่ำทำให้ต้องนั่งกอดอก กำลังเกือบสัปหงกเมื่อรู้สึกเหมือนมีใครบางคนมายืนเกือบชิดหัวเข่าโงหัวขึ้นเจอกับดวงตากลมใสคู่หนึ่ง กำลังจ้องมองฉันอยู่อย่างคาดหวังเรามองตากันอยู่เงียบๆ ฉันพินิจลักษณะของเธอแล้วเดาว่า น่าจะกำลังเป็นแม่ลูกอ่อน ด้วยว่าเต้านมที่หย่อนยานนั้นดูอวบเต่ง แต่รูปร่างที่ผอมเกร็งก็บอกว่า อาการการกินคงไม่บริบูรณ์เท่าไร อาจจะถึงขั้นขาดแคลนเสียด้วยซ้ำ “หิวเหรอจ๊ะ” ฉันถามเบาๆ ไม่มีเสียงจากเธอ แต่มีคำตอบอยู่ในแววตาละห้อยคู่นั้นฉันเหลียวซ้ายแลขวาไปทั่วท่ารถที่ค่อนข้างเงียบเหงา รถโดยสารที่แล่นระหว่างอำเภอหมดไปนานแล้ว…