Skip to main content

วันหนึ่ง เปิดถังข้าวสารแล้วพบว่า เหลือข้าวหุงให้หมาอยู่ราวๆ ๒ กิโลกรัม

ฉันปิดฝาถัง มองเก้าอี้ตัวเล็กที่พลิกคว่ำด้วยการกระโจนของเจ้าแตงกวาหมาบ้าพลัง จับเก้าอี้ขึ้นตั้งให้ถูกด้าน แล้วนั่งลงยกมือกุมขมับ (ตอนแรกว่าจะไปนอนก่ายหน้าผาก แต่ขี้เกียจเดินไปนอนที่แคร่)


 

ข้าวสาร ๒ กิโล อย่าถามเลยว่าจะหุงได้อีกกี่วัน แค่มื้อเดียวยังไม่พอ

เฮ้อ...คิดแล้วกลุ้ม...กลุ้มใจ กลุ้มใจ

กลุ้มอยากมีเงินทอง กลุ้มอยากจองที่ดิน กลุ้มอยากมีทรัพย์สิน มีที่ดินซักห้าพันไร่

กลุ้มอยากมีรถเบ๊นซ์ กลุ้มอยากเป็นคนดัง กลุ้มอยากมีสตางค์ ชี้นิ้วนั่งได้เป็นคุณนาย.....

อุ๊ยตาย! เผลอถอนใจเป็นเพลง “คิดแล้วกลุ้ม” ของพุ่มพวง ดวงจันทร์

 

บ้านสี่ขาซื้อข้าวให้หมาเดือนละ ๓-๔ ท่อน(หมายถึงกระสอบ) ท่อนหนึ่งมี ๔๙ กิโล

ไม่นับกับข้าว (โถ คุณขา หมาก็มีหัวใจ จะให้กินข้าวเปล่าๆ อย่างไรได้คะ) กับอาหารเม็ดอีกเดือนละ ๕ ถุง (ถุงละ ๒๐ กิโล)

แล้วก็ยังไม่นับอาหารสำหรับแมวอีกกว่า ๕๐ ตัว

ภาวนาอยู่ทุกวันว่าอย่ามีตัวไหนเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ปรากฏว่ามีเกือบทุกวันจนอยากมีสัตวแพทย์ประจำบ้าน จะได้ไม่ต้องอุ้มบ้าง แบกบ้าง ทุลักทุเลไป ๓๐ กว่ากิโลเมตรกว่าจะถึงตัวจังหวัด

โหะโหะ! ทุกวันนี้ทำงานงกๆ หาเลี้ยงลูกหลานสี่ขาแท้ๆ ทีเดียว

 

จริงๆ ก็ไม่กระไรนักหรอก ยังพอมีแรงทำมาหากินด้วยความเต็มใจ แต่บางทีหาไม่ทันก็ได้นั่งกลุ้มใจเล่นบ้าง อย่างเช่นวันนี้เป็นต้น

ความจริงข้าวสารมีขายในตลาดหน้าอำเภอ อาเฮียก็ยินดีอย่างมากที่จะขาย ติดขัดอยู่แค่ฉันไม่มีเงินไปซื้อ (แถมยังต้องมีค่ารถรับจ้างไปแบกกลับมาด้วย เพราะแบกกระสอบข้าวพร้อมขี่จักรยานยนต์เองไม่ไหว)

 

แหม อยากขอร้องจริงๆ นะ คนที่ชอบทิ้งหมาทารุณแมว พอเสียทีเถิด หากไม่สามารถรับผิดชอบชีวิตใดๆได้ตลอดรอดฝั่ง หรือรู้ว่าตัวเองอดทนไม่พอกับอะไรๆ ที่ไม่ได้ดั่งใจ ก็อย่าได้คิดเลี้ยงสัตว์ชนิดใดเลย

เลี้ยงครึ่งๆกลางๆ แล้วเผลอ (หรือตั้งใจ?) ทิ้งขว้างซะงั้น

คิดดู๊...ถูกทิ้งมาทั้งที ยังให้เจอคนอุปการะที่หาเช้ากินค่ำ ไม่มีปัญญาซื้ออาหารดีๆ ให้กิน ไม่เคยซื้อของเล่นให้กัด แถมบ่อยครั้งยังเงินขาดมือซื้อข้าวสารไม่ทัน

น่าสงสารพวกมันจะตายไป!

 

แล้วฉันจะทำอย่างไรให้ข้าวสารที่เหลือ ๒ กิโลพอกินทั้งบ้าน พรุ่งนี้อีกล่ะ?

อะโห! ช่างเป็นปัญหาท้าทายยิ่งนัก พุทธศาสนสุภาษิตบอกว่า ปัญหามา ปัญญามี

แต่ตอนนี้ ปัญญายังไม่มี ก็เลยนั่งกุมขมับไปพลางๆ

 

อยู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่ง

อยากถามคุณค่ะว่า ถ้ามีเงินอยู่ ๗๐ บาท คุณจะทำอะไรได้บ้างคะ?

 

ช่วงหนึ่งในชีวิต ฉันทำงานเกี่ยวข้องกับโรงเรียนบนภูเขาลูกหนึ่งที่อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย

งานของฉันไม่ใช่ครู แต่เป็นการเก็บข้อมูลบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของเด็กๆ ในภาคอีสาน

โรงเรียนนี้เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ในพื้นที่รับผิดชอบและฉันก็มีโอกาสขึ้นไปเยี่ยมเยียนไม่บ่อยนัก เพราะเส้นทางลำบากแสนสาหัส

 

ในวันหนึ่งที่แสนวุ่นวาย มีจำนวนครูอาสาไม่พอสอนเด็ก บางคนวิ่งหลายห้อง

ราวๆ สิบโมงเช้า ฉันกำลังสำรวจเพิงที่สร้างหยาบๆ จากไม้ไผ่ให้เป็นโรงครัว พื้นเป็นดินแข็ง มีไม้ฟืนเหลือกองอยู่ไม่กี่ท่อน ก้นหม้อและกระทะดำปี๋ด้วยเขม่า

ครูสาวคนหนึ่งโผล่หน้ามันๆ มาบอกว่า

พี่อยู่ตรงนี้พอดีเลย ช่วยทำอาหารกลางวันให้หน่อย พวกหนูไม่มีเวลาทำ”

แล้วเธอก็ผลุบออกไป ไวปานกามนิตหนุ่ม

 

หน้าเพิงมีแม่ๆ ยืนอยู่ ๓-๔ คน ล้วนแต่ยังสาว ทุกคนเป็นชาวถิ่นกับชาวลัวะ และเป็นแม่ของเด็กในโรงเรียนที่ผู้ใหญ่บ้านให้ผลัดกันมาช่วยงานครู

คนหนึ่งอายุราว ๒๐ ปี มีลูกเล็กมัดผ้าขาวม้าไว้ข้างหลัง กำลังหลับคอพับคออ่อน

อีกคนวัยพอๆ กัน มีลูกอ่อนมัดไว้ข้างหน้า กำลังดูดนมแม่อยู่อย่างเอาจริงเอาจัง

ฉันมองหน้าเธอทั้งหลาย พวกเธอก็มองหน้าฉันอย่างซื่อๆ ท่าทางรอว่าฉันจะสั่งอะไร

ทำไงดีเนี่ย” ฉันเผลอรำพึงเสียงดัง

แม่คนหนึ่งชี้ไปที่ไม้กระดานแผ่นเล็กที่ตอกอยู่ในครัว เขียนด้วยชอล์กว่า “วันพุธ ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า”

แล้วฉันจึงเห็นว่าบนพื้นดินกลางครัว มีห่อใบตองใส่เส้นก๋วยเตี๋ยววางอยู่ราวๆ ๓ กิโล กับน้ำมันหมูเป็นถุงๆ และน้ำตาลทรายสีตุ่นๆ ถุงหนึ่ง

ข้างเพิงมีผักกองหนึ่ง เป็นพืชไร่ที่ชาวบ้านเก็บมาให้ เป็นความร่วมมือในการหาอาหารกลางวัน ใครมีอะไรก็เอามา ผักกองนั้นจึงมีทั้งกะหล่ำ มะเขือ ฟักเขียว บวบ แตงร้าน และผักป่าที่ฉันไม่รู้จักชื่ออีก ๒-๓ ชนิด

ทำเป็นกันไหมคะ ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า” ฉันถาม

ทุกคนส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียง!

 

อึ้งอยู่ครึ่งนาที จึงวิ่งไปตามหาครูอาสาคนที่มอบหมายงานอันทรงเกียรติให้ฉัน พบเธอกำลังจับปูใส่กระด้งอยู่ในชั้นเด็กเล็กที่จับรวมกับชั้นป.

ทำไมมีแค่นั้นล่ะคะ เด็กเกือบสองร้อยนะ” ฉันถามแบบยังไม่หายอึ้ง

ก็มีแค่นั้นแหละค่ะพี่” เธอเงยหัวฟูขึ้นมาตอบอย่างซื่อๆ

เหรอ..เออ..แล้วทำราดหน้ากับอะไรล่ะ ไม่เห็นมีเนื้อหมู” ฉันหลุดปากถามโง่ๆ ออกไป เธอก็อธิบายซื่อๆ อีกว่า

งบประมาณอาหารกลางวันหมดค่ะ เหลือแค่ ๗๐ บาท เงินเดือนครูพวกหนูก็ยังไม่ได้รับ ไม่มีจะซื้อหมูค่ะพี่ ลงไปหล่มเก่าซื้อมาได้แค่นั้น ยังดีมีเส้นก๋วยเตี๋ยว เด็กๆ ยังไม่เคยกินราดหน้าเลย ก็เลยอยากกินกัน”

 

..แสงเรืองๆ ที่ส่องประเทืองอยู่ทั่วเมืองไทย คือแม่พิมพ์อันน้อยใหญ่ โอ้ครูไทยในแดนแหลมทอง

เหนื่อยยากอย่างไรไม่เคยบ่นไปให้ใครเขามอง ครูนั้นยังลำพองในเกียรติของตนเสมอมา...

 

ฉันอยากตะโกนร้องเพลง “แม่พิมพ์ของชาติ” ของวงจันทร์ ไพโรจน์ เพื่อแสดงความชื่นชมครูอาสาตัวเล็กๆ ทั้งหลายที่ตั้งอกตั้งใจทำงานอย่างไม่ย่อท้อ แถมรับสภาพความจริงอย่างเป็นเรื่องธรรมดาอีกด้วย

 

แต่แหม..ไม่มีโปรตีนเลยนะ เสียดายอาหารไม่ครบ ๕ หมู่” ฉันอดบ่นงึมงัมไม่ได้

เออ โปรตีนก็มีเหมือนกันแหละพี่” เธอพยักหน้าไปอีกด้าน ฉันมองตามไป เจอหมาภูเขาผอมๆ หน้าตาซื่อๆ ๒-๓ ตัวนอนผึ่งแดดอยู่ใกล้เสาธงไม้ไผ่ เห็นแล้วคิดถึงบรรดาสี่ขาที่บ้าน

อืม จริงด้วย แต่อย่าไปรบกวนมันเลย พี่ว่ามันคงไม่เต็มใจมั้ง” ฉันรู้ใจหมา

หนูก็ว่างั้นแหละ” เธอหัวเราะ ฉันก็หัวเราะ

 

ใกล้เที่ยงแล้ว ฝากด้วยนะคะพี่” เธอมองหน้าฉันอย่างเชื่อมั่น (ยิ่งกว่าตัวฉันเองเสียอีก)

 

เอาละ(วะ) ปัญหามา ปัญญามี ฉันผงกหัวหงึกหงัก ถึงแม้ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าจะไม่ใช่บะหมี่ปรุงสำเร็จ ที่ปรุงเสร็จตั้งแต่ในซอง แต่ฉันผู้ถนัดทำกับข้าวให้หมา จะไม่มีปัญญาทำก๋วยเตี๋ยวราดหน้าให้คนกินก็ให้มันรู้ไป

 

เดินกลับไปโรงครัวอย่างมุ่งมั่นที่จะทำก๋วยเตี๋ยวราดหน้าราคา ๗๐ บาทให้เด็กดอยเกือบ ๒๐๐ คนได้อร่อย ถึงแม้จะยังนึกไม่ออกว่าจะใช้สูตรไหนก็เถอะ

โปรดติดตาม(พร้อมเอาใจช่วย) ในตอนต่อไป!

 


..ฝันเอาค่ะ ราดหน้าจานนี้

บล็อกของ มูน

มูน
เพื่อนคนหนึ่งของฉันเพิ่งจากไปในเช้าวันนี้แสงแดดเจิดจ้าของเดือนเมษายนแตะแต้มกลีบบางของดอกดาวกระจายสีชมพู ใกล้ๆ กันเป็นกระถางของเดซี่น้อย ที่กำลังแย้มยิ้มอย่างไร้เดียงสา อวดเกสรสีเหลืองแจ่มใสกับกลีบเล็กสีขาวที่กระจายอยู่รายรอบ“ชอบดอกไม้ไหมจ๊ะ ขนดอกไม้ไปปลูกกันเถอะ” นึกถึงเสียงใสของเธอเมื่อสองเดือนก่อน ตามด้วยคำหยอกเย้าเคล้าเสียงหัวเราะ “หรือชอบเลี้ยงแต่แมวๆ หมาๆ”เธอยิ้มแย้มอยู่ในกระโปรงยาวกรุยกราย เข้ากับผ้าคลุมไหล่สีสวยมีดอกไม้มากมายถูกทิ้งไว้หลังการจัดงานนิทรรศการแห่งหนึ่ง บางส่วนอยู่ในกระถาง บางส่วนอยู่ในถุงดำ คนงานกำลังรื้อถอนส่วนต่างๆ ของงาน บรรดาดอกไม้ประดับถูกขนมากองสุมไว้ด้านนอก“…
มูน
  ไม่สบายกายและใจอยู่หลายวัน พอเรี่ยวแรงคืนมา ฉันก็คว้าจักรยานยนต์คันเก่า ขี่โกรกเกรกกึงกังไปตลาดใหญ่ที่ไกลจากบ้านราวสิบกิโลเมตร รู้สึกสังขารตัวเองใกล้เคียงกับรถ คือมีอะไรสักอย่าง (หรือหลายอย่าง) ที่ไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางนักพอพ้นจากทางดินเป็นถนนลาดยาง รถก็แล่นฉิว ลมพัดพรูจนผมปลิวกระจาย (นึกไปเองว่า) คล้ายๆ โฆษณาแชมพูสระผม ฝนที่ตกหนักไปเมื่อคืนวานทำให้อากาศสดแจ่ม ฟ้าใสกระจ่าง แซงแซวหางปลาเกาะอยู่บนกิ่งประดู่ข้างทาง ในทุ่งที่น้ำเจิ่งนองมีนกกระยางเดินท่องน้ำจ๋อมๆ อยู่หลายตัวลมพัดเสื้อคลุมสะบัดพึ่บพั่บ ชายเสื้อปลิวอยู่ด้านหลัง รู้สึกเริงรื่นจนต้องร้องเพลงดังๆ ตามจังหวะกึงกังของรถ "…
มูน
ฉันกำลังแบกเป้เดินทางรับจ้างทำงานอยู่แถวภาคเหนือ ในช่วงเวลาที่บรรยากาศเริงรื่นยังคงรวยรินแม้จะเลยปีใหม่ไปแล้วหลายวัน คนที่ไม่มีงานประจำ แต่มีรายจ่ายเรียงรายรอคอยอยู่ทุกเดือนอย่างฉัน ไม่มีเวลานั่งอยู่เฉย (ถึงแม้จะอยากนั่ง) ใครจ้างมา ฉันก็ไป เหมือนมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ไม่เกี่ยงระยะทางและผู้โดยสารใกล้เที่ยงคืนที่วางเป้ลงอย่างอ่อนแรงในห้องพักเล็กๆ ควักสมุดบันทึกขึ้นมาคำนวณรายจ่ายและแผนการเดินทางในวันถัดไป ใจคิดล่วงหน้าถึงวันกลับบ้าน ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังแผ่วๆ มาจากกระเป๋าข้างเตียง ............นานหลายปีมาแล้วที่ฉันรู้สึกว่าเทศกาลปีใหม่ไม่ใช่เวลาของความบันเทิงใจ ปีใหม่ในวัยเยาว์ครั้งหนึ่ง…
มูน
สายหมอกสีขาวนุ่มห่มคลุมยอดดอย ในเช้าที่ฉันนั่งรถเข้าหมู่บ้าน ไร่ยาสูบและไร่ข้าวโพดสองข้างทางดูเลือนลางอยู่ในแสงสลัวของดวงตะวัน ที่พยายามแทรกผ่านลมหนาวอย่างสุดความสามารถ“หนาวไหม หนาวเนาะ” พ่อเฒ่าสวมหมวกไหมพรมสีแดงทักถาม ฉันกอดอกแน่น ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก เพราะหนาวจนพูดไม่ออก ควันกรุ่นสีขาวพรูออกทางจมูกเหมือนลมหายใจมังกรไฟในนิทาน คนที่เคยชวนฉันมาเมืองพร้าวไม่เคยเล่าว่าบ้านเกิดของเธอหนาวขนาดนี้สำหรับบางคน ความทรงจำอาจอบอุ่นตลอดกาล แมวลายสามตัวที่นอนอาบแดดกลางลานบ้านวิ่งกันกระจายเมื่อเห็นคนแปลกหน้า เหลือแมวอ้วนสีส้มหมอบอยู่บนอานรถเครื่องคันเก่า “ขอถ่ายรูปหน่อย อยู่นิ่งๆ นะ มือใหม่หัดถ่ายนะ…
มูน
สีสันสดใสในเทศกาลส่งท้ายปี เป็นสัญญาณของการสิ้นสุดและเริ่มต้นใหม่ เพื่อนบ้านคนหนึ่งติดกระดาษริ้วสีทอง เขียนว่า HAPPY NEW YEAR 2008 ไว้เหนือประตูบ้าน อีกหลังติดไฟกระพริบ สลับกันวิบวับตรงนั้นตรงนี้ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งยื่นเค้กช็อคโกแลตให้ แล้วบอกว่า สวัสดีปีใหม่ คิดอะไรขอให้สมปรารถนาฉันยิ้มกับคำอวยพร ถามตัวเองเล่นๆ ในใจว่าปรารถนาอะไรบ้าง โอ้ ช่างมากมายจนน่าอายตัวเอง หนึ่งในความปรารถนาที่ฉันคิดเสมอมาเมื่อถึงวันปีใหม่ คือขอให้ยายได้พบกับป่องหยอด................ความจริงยายไม่ได้เป็นแค่ยาย ยายเคยเป็นแม่ แต่เมื่อลูกสาวคนเดียวของยายตายไป และยายไม่มีญาติที่ไหนอีก…
มูน
เสียงรถมาจอดหน้าบ้าน โต๋เต๋ชันคอขึ้นเป็นครั้งแรกของวัน มันลุกพรวดพราดไปดู สักพักก็เดินหูลู่หางตก กลับมานอนหมอบเป็นรูปปั้นหมาตรงที่เดิม ท่าทางหมกมุ่นหงอยเหงาราวกับคนอมทุกข์ฉันไม่รู้จะช่วยมันได้อย่างไร บางทีก็ไม่อาจมีใครแทนใครได้นึกย้อนไปถึงค่ำวันหนึ่งที่ฉันลงรถประจำทางใกล้แยกบางใหญ่ กำลังสำรวจสภาพกระดูกกระเดี้ยวที่ถูกเบียดเสียดบนรถมานานนับชั่วโมง หางตาก็เห็นอะไรแวบๆ จุดดำๆ เคลื่อนมาตามแนวถนน รถยนต์ก็ไม่ใช่ มอเตอร์ไซค์ก็ไม่เชิง ใกล้เข้ามาถึงเห็นเป็นหมาสีเข้มๆ ตัวหนึ่งกำลังวิ่งสุดฝีเท้าแทบจะแข่งกับรถที่แล่นอยู่บนถนนฉันพยายามมองว่ามันวิ่งตามอะไร เพราะวิ่งแบบนี้ไม่ใช่วิ่งเล่นแน่ๆ…
มูน
แสงแดดอ่อนๆ ในฤดูหนาว ที่ส่องเข้ามาอาบขนนุ่มละเอียดของแมวข้างหน้าต่าง ทำให้ฉันคิดถึงเด็กคนหนึ่งและความสุขที่ยังคงอุ่นอยู่ในใจเสมอมาหลังเรียนจบ ฉันทำงานพัฒนาชนบทอยู่ที่เมืองโคราช และได้พบกับจ่อย เด็กน้อยวัยสี่ขวบในศูนย์บริบาลเด็กขาดสารอาหารของโรงพยาบาลประจำอำเภอ จ่อยเคยเป็นเด็กขาดอาหารระดับรุนแรง หลังจากรับการรักษาฟื้นฟูจึงเริ่มเดินได้เมื่ออายุราวสามขวบ และเป็นเด็กที่ช่างจดจำอย่างน่าอัศจรรย์ สามารถเรียกชื่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุกคนที่รู้จักได้ไม่พลาด ขอแค่ได้ฟังเสียง หรือใช้มือป้อมๆ ลูบคิ้วคางปากจมูกของคนนั้น หลังโรงพยาบาลเป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ…
มูน
“ชีวิตดังตัวคนเดียว ท่ามกลางทะเลเปลี่ยว ต้องลอยคว้างกลางลมคลื่นหลับใหลไม่เคยเต็มตื่น ข้าวกลืนไม่เคยอิ่ม โอ้ รอยยิ้มไม่เคยได้” เสียงเพลง “ชีวิตคนเศร้า” ของทูล ทองใจ ทำให้ฉันนึกถึงพ่อ และท่อนหนึ่งของเพลงที่พ่อมักร้องซ้ำไปซ้ำมาไม่เคยจบสักทีพ่อหิ้วกระเป๋าออกจากบ้านปู่ตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบ ทิ้งผืนนาไปตามหาความฝันของวัยหนุ่ม แต่ดูเหมือนว่าพ่อใช้เวลาตามหาตลอดชีวิต และพบเพียงความฝันที่แหว่งวิ่น ความทรงจำของฉันเกี่ยวกับพ่อ เหมือนชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจาย แต่ทุกชิ้นชัดเจน และไม่เคยสักครั้งที่ฉันคิดจะลืมตอนที่ฉันอายุราวๆ ห้าหกขวบ พ่อพาไปดูหนังอินเดียเรื่อง “โชเล่ย์” ที่โรงหนังประชาบดี…
มูน
ใกล้บ้านเช่าหลังเก่าของฉันที่ขอนแก่น มีวัดป่าแห่งหนึ่งร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ฉันชอบไปเดินเล่นดูโบสถ์เก่าแก่คร่ำคร่าเต็มไปด้วยรอยตะไคร่ ไปนั่งฟังเสียงลมพัดใบไม้ และนั่งเล่นริมบึงกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยปลา เป็นวัดที่ให้บรรยากาศสงบงามสมกับเป็นสถานที่สำหรับ "หนีร้อนมาพึ่งเย็น" จริงๆ แต่ฉันไม่เคยเห็นวัดไหนเต็มไปด้วยไก่เท่าวัดนี้ ไก่หลากสีหลายขนาดเดินกันขวักไขว่ นับคร่าวๆ ได้สักหกหรือเจ็ดสิบตัว หลายตัวบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งเตี้ยๆ ของต้นก้ามปูใหญ่ เจ้าอาวาสบอกว่า คนแถบนี้นิยมปล่อยไก่เป็นการสะเดาะเคราะห์อย่างหนึ่ง"สมัยก่อนเขาต้องตัดหางด้วยนะ ที่เรียกว่าตัดหางปล่อยวัดไงล่ะ" ฉันถามถึงจำนวนไก่…
มูน
ลมหนาวพัดฟางหลังเก็บเกี่ยวปลิวว่อนกลางทุ่ง หลายบ้านเตรียมโกยฟางมัดเป็นท่อนเก็บไว้ให้วัวควายในหน้าแล้ง นึกเล่นๆ ว่าถ้าคนเรากินแค่หญ้าก็คงจะดี ไม่ต้องมีกิเลสอยากกินนั่นนี่ให้เดือดร้อนไปถึงพืชและสัตว์อีกมากมาย ที่ต้องถูกไล่ล่าบ้าง ถูกบังคับให้โตผิดธรรมชาติบ้าง ถูกเปลี่ยนนั่นแปลงนี่ให้ถูกใจคนจนวุ่นวายไปทั้งโลก เข้าทำนองเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว (ว่าเข้าไปนั่น)คิดจนหิว จึงหันไปเปิดตู้กับข้าว อะไรกันนี่ ช่างโล่งดีแท้ๆ มีแต่ถ้วยน้ำปลาพริกขี้หนู อ้อ มีปลาทู(แย่งแมวมา)หนึ่งตัว ทำปลาทูต้มน้ำปลาดีกว่า ทำง้ายง่าย แล้วก็อร้อย อร่อย ตั้งน้ำให้เดือดพลั่กๆ ใส่ปลาทู เหยาะน้ำปลาพริกขี้หนู บีบมะนาว…
มูน
หมาขนฟูสีขาวในรถยนต์คันใหญ่ที่จอดติดไฟแดงอยู่ตรงสี่แยกนั้น ทำให้ฉันคิดถึงลัคกี้สมัยที่ฉันยังรับจ้างทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่ง สำนักงานเราเป็นบ้านเช่าที่อยู่ติดกับรั้วด้านหลังของบ้านสวนกว้างใหญ่ เจ้าของบ้านสวนก็คือเจ้าของบ้านเช่า รวมทั้งหอพักปากซอย ร้านค้าและตึกแถวใหญ่ในตลาด แถมที่ดินจัดสรรอีกหลายแห่งคุณนายเจ้าของบ้านเช่ามีลูกสาวทำงานอยู่ต่างประเทศ ครั้งหนึ่งลูกสาวกลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมกับซื้อลัคกี้มาฝากแม่  เราเห็นหมาตัวโตขนยาวขาวสะอาดนั่งชูคอในรถยนต์ไปไหนๆ กับคุณนาย ที่ชอบใจนักเวลามีคนชมความสวยสง่าของลัคกี้ แล้วเธอก็จะคุยให้ใครๆ ฟังถึงลูกสาวคนเก่ง ลัคกี้ร่าเริงและชอบอยู่ใกล้ๆ คน…
มูน
จับเจ่ารอรถอยู่ที่สถานีขนส่งเมืองอุบลฯ ลมปลายเดือนตุลาคมพัดมาในช่วงค่ำทำให้ต้องนั่งกอดอก กำลังเกือบสัปหงกเมื่อรู้สึกเหมือนมีใครบางคนมายืนเกือบชิดหัวเข่าโงหัวขึ้นเจอกับดวงตากลมใสคู่หนึ่ง กำลังจ้องมองฉันอยู่อย่างคาดหวังเรามองตากันอยู่เงียบๆ ฉันพินิจลักษณะของเธอแล้วเดาว่า น่าจะกำลังเป็นแม่ลูกอ่อน ด้วยว่าเต้านมที่หย่อนยานนั้นดูอวบเต่ง แต่รูปร่างที่ผอมเกร็งก็บอกว่า อาการการกินคงไม่บริบูรณ์เท่าไร อาจจะถึงขั้นขาดแคลนเสียด้วยซ้ำ “หิวเหรอจ๊ะ” ฉันถามเบาๆ ไม่มีเสียงจากเธอ แต่มีคำตอบอยู่ในแววตาละห้อยคู่นั้นฉันเหลียวซ้ายแลขวาไปทั่วท่ารถที่ค่อนข้างเงียบเหงา รถโดยสารที่แล่นระหว่างอำเภอหมดไปนานแล้ว…