Skip to main content

ฉันขี่รถเครื่องฝ่าแดดร้อนเปรี้ยงออกจากหมู่บ้านไปตลาดในอำเภอ ด้วยภารกิจสำคัญสองประการที่ไม่สามารถทำได้แถวๆ บ้านสี่ขาที่อยู่ริมทุ่งนาและคอกควาย หนึ่งคือการหาซื้อกระดาษหนังสือพิมพ์ กับสอง ตามหาสาวยาคูลท์

ภารกิจสองอย่างนี้เกี่ยวกันยังไง แล้วสำคัญขนาดไหนถึงทำให้ฉันต้องเอาผิวเหี่ยวๆ ของตัวเองออกมาทำเนื้อแดดเดียวตอนบ่ายโมงกว่าๆ ที่จัดว่าเป็นช่วงเวลาร้อนที่สุดของวัน

ฉันสงสัย ว่าจะมีใครสงสัยหรือเปล่า ว่าฉันกำลังจะเล่าเรื่องอะไร และเล่าทำไม

ไอ้ที่ว่าจะเล่าเรื่องอะไรนั้น ฉันพอจะรู้ละ ก็ฉันกำลังจะเล่าอยู่เดี๋ยวนี้ แต่เหตุผลที่ว่า จะเล่าทำไม อันนี้ฉันก็สงสัยตัวเองเหมือนกัน คิดว่าเล่าๆ ไปอาจจะได้คำตอบ

ในโลกนี้มีหลายเรื่องราวที่เรายังไม่รู้ และบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องรู้ อย่างเช่นเรื่องนี้ แต่ถ้าคุณยังไม่รีบไปไหน อุตส่าห์เข้ามาแล้วก็โปรดอ่านไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราวเถิดนะคะ

ไม่แน่นะ บางเรื่องไร้สาระอาจแฝงปรัชญาแห่งชีวิตอย่างคาดไม่ถึงก็เป็นได้ (ว่าเข้าไปนั่น)

......................

แตงกวาเป็นชื่อของลูกหมาหน้าตาหมกมุ่นตัวหนึ่ง ที่ถูกคนเอามาทิ้งไว้ข้างถนนใกล้ๆ ท่ารถโดยสารระหว่างอำเภอ สภาพของแตงกวาเมื่อแรกนั้นห่างไกลจากคำว่าน่ารักอยู่มาก ทั้งเหม็นสาบ ผอมโซ ขนร่วงเป็นหย่อมๆ เพราะโรคผิวหนัง และมีแผลเล็กบ้างใหญ่บ้างทั่วตัว

มันค่อยๆ คลานอย่างกล้าๆ กลัวๆ เข้ามาหมอบเงียบอยู่ตรงเท้าของฉัน อายุของมันไม่น่าจะเกินสองเดือน

“ใครเอามาทิ้งไม่รู้ สามสี่วันแล้วละ” คนขายก๋วยเตี๋ยวรถเข็นแถวๆ นั้นบอก “ไม่เห็นมันไปหากินที่ไหน คงกลัวหมาใหญ่ๆ กัดมั้ง นึกว่าถูกรถเหยียบไปแล้ว เพิ่งเห็นนะเนี่ยว่ายังอยู่”

ฉันใจอ่อนเกินกว่าจะปล่อยให้มันเผชิญกับความหิว ความกลัว และความเสี่ยงที่จะถูกรถทับตาย จึงหยิบมันใส่กระเป๋าสะพายกลับบ้านด้วย แตงกวาซุกเงียบอยู่ในกระเป๋าตลอดทาง

การรับเลี้ยงหมากว่าสี่สิบตัวที่ผ่านมากับปัญหาสารพัดแบบ ทำให้ฉันคิดว่า นับประสาอะไรกับลูกหมาอีกตัวหนึ่ง  

........................

เนื่องจากเป็นสมาชิกใหม่ ฉันจำเป็นต้องแยกแตงกวาไว้ก่อน เพื่อไม่ให้ถูก “รุ่นพี่” เกือบสี่สิบตัวทำพิธีรับน้อง สถานที่ที่พอมีเหลือก็คือในบ้าน ซึ่งนอกจากจะมีกรงแมวแล้ว ตอนนี้ยังใช้เป็นสถานพักฟื้นสำหรับหมาอีกสองตัว คือน้อยหน่ากับตะโก้

น้อยหน่าไม่ชอบสุงสิงกับใคร จึงหลบไปนอนใต้ตู้กับข้าว เหลือแต่ตะโก้ที่ยืนจ้องหน้าฉันสลับกับหน้าหมาใหม่ เหมือนจะข้องใจว่า “พาใครมาอีกละเนี่ย”

“ตะโก้ นี่น้องชื่อแตงกวานะ อย่าแกล้งน้องล่ะ” ฉันสั่ง ตะโก้กระดิกหางรับ ก่อนจะหันไปแยกเขี้ยว ส่งเสียงขู่ดังฮื่อๆ ใส่น้องใหม่ แตงกวายืนตัวสั่นอยู่ครู่หนึ่งก็ล้มต้วลงนอนหงายกางขาอันเป็นท่ายอมจำนน

ฉันเห็นแล้วก็วางใจ คิดว่าเริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

.........................

ความวุ่นวายเริ่มทะยอยมาอย่างต่อเนื่องเหมือนมีใครจัดให้ นอกจากรักษาแผลและโรคผิวหนัง แตงกวายังเวียนไปหาหมอด้วยโรคหวัด โรคเลือดจาง โรคพยาธิเม็ดเลือด และโรคลำไส้อักเสบ เรียกว่าไม่มีช่วงไหนที่แตงกวาว่างเว้นจากโรค ในขณะที่กระเป๋าของฉันก็เริ่มว่างเว้นจากสตางค์

โรคหลังนี้อันตรายที่สุดเพราะอัตราตายมากกว่ารอด แตงกวาทั้งอึทั้งอ้วกจนหมดแรง ต้องฉีดยาและให้น้ำเกลือต่อเนื่องหลายวัน มันนอนหายใจแผ่วๆ จนฉันเกือบขุดหลุมรอ แต่โชคดีที่ไม่ได้ขุด

เมื่อฟื้นจากโรคลำไส้อักเสบ ฉันพยายามบำรุงแตงกวาอย่างหนักเพื่อให้มันแข็งแรงพอที่จะฉีดวัคซีนได้ วันที่หมอยื่นสมุดวัคซีนประจำตัวมันให้นั้น ฉันยิ้มแฉ่งและพูดกับหมอว่า “คงหมดเรื่องเสียทีนะคะ”

หนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้น แตงกวาเริ่มมีอาการหิวผิดปกติ มันปลุกฉัน(หรือไม่ก็แม่) ตั้งแต่เช้ามืดเพื่อขอกิน กินเข้าไปไม่ถึงห้านาที มันก็อึออกมา อึเหลวเป็นน้ำเหมือนคนท้องร่วงอย่างหนัก มากมายไหลนองออกพ้นกระดาษที่ปูให้จนต้องเช็ดเป็นการใหญ่ ชั่วโมงถัดมามันหิวอีก กินแล้วก็อึพรั่งพรูออกมาอีก สรุปว่ามันหิวและอึแทบทุกชั่วโมง วิ่งไปอึบนกระดาษไม่ทันก็หลายหน ฉันกับแม่เช็ดบ้านกันจนหมดแรง

........................

แตงกวากินมากขึ้นจนน่าตกใจ แต่ผอมกะหร่องเหมือนหมาขาดอาหาร แม่ฉันบ่นว่ามันอึวันละสิบรอบจะเอาอะไรไปอ้วน แม่คงจะผอมตามหมาในไม่ช้านี้เพราะไม่มีเวลากินข้าว(มัวแต่เช็ดอึ)

แรกๆ นั้น แตงกวาจะวิ่งไปอึบนกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ปูไว้หลังบ้าน แต่ปริมาณและความถี่ที่เพิ่มขึ้น ทำให้พิกัดการอึของมันกระจายไปทุกหนทุกแห่ง ที่ร้ายคือไปอึบนที่นอนของน้อยหน่ากับตะโก้ วงแตกสิคะงานนี้

หมาทั้งสองเริ่มไม่เป็นสุขเพราะถูกรุกล้ำความเป็นส่วนตัว ฉันต้องหาโต๊ะมาทำที่นอนให้มันใหม่ แม่ปูกระดาษหนังสือพิมพ์หนาๆ ทั่วบ้านเพื่อให้เก็บอึที่เหลวเป็นน้ำได้ง่ายขึ้น ฉันต้องควานหาซื้อกระดาษหนังสือพิมพ์จากร้านค้าทั่วตลาด เพราะใช้วันละเกือบครึ่งกิโล  

หมอบอกว่า กระเพาะของแตงกวาขาดจุลินทรีย์ที่ช่วยย่อยอาหาร เนื่องจากการรักษาโรคลำไส้อักเสบ ยาฆ่าเชื้อได้พลอยฆ่าจุลินทรีย์ดีๆ ในกระเพาะมันไปหมด พูดง่ายๆ คือมันย่อยไม่ได้ วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะช่วยมันคือการให้กินยาคูลท์ (ที่มีจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัสนั่นละค่ะ)

แตงกวาเกลียดยาคูลท์ แค่ได้กลิ่นมันก็ดิ้นพราดๆ ฉันต้องบังคับจับปากมันแล้วป้อนด้วยไซริงค์ มันอดทนกลืนได้แค่วันละครึ่งขวด(มากกว่านั้นจะอ้วก) คนจัดการที่เหลือคือแม่ฉันเอง

“นึกถึงเมื่อก่อนที่ต้องกินของเหลือจากลูกๆ เพราะเสียดาย” แม่พูด “ดีนะเนี่ยที่แม่ชอบกินยาคูลท์”

หนึ่งเดือนผ่านไป หมดยาคูลท์ไปสามสิบกว่าขวด ค่ากระดาษหนังสือพิมพ์อีกหลายสิบกิโล แตงกวายังคงหิวบ่อย อึบ่อย แต่ก็ร่าเริงดี แม่ผู้สังเกตการณ์ทุกวันรายงานฉันอย่างดีใจว่า “เริ่มมีเนื้อมากกว่าน้ำแล้วละ” ฉันโทรศัพท์รายงานหมออีกต่อหนึ่ง หมอบอกว่าให้มันกินยาคูลท์ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าอึจะเป็นก้อน

......................

เล่ามาถึงบรรทัดนี้ ยังไม่รู้เลยว่ามันมีปรัชญาชีวิตซ่อนอยู่ตรงไหน ฉันเพียงแต่ยินดีที่พบว่า ตัวเองสามารถเก็บอึเละๆ ของหมาได้โดยไม่ลำบาก บางคนอาจถามว่า น่าภูมิใจตรงไหน น่าคลื่นไส้มากกว่า

ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่มีหลายรูปแบบ แต่ฉันคิดว่า การก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ ก็สามารถภูมิใจได้พอๆ กัน 

บล็อกของ มูน

มูน
เพื่อนคนหนึ่งของฉันเพิ่งจากไปในเช้าวันนี้แสงแดดเจิดจ้าของเดือนเมษายนแตะแต้มกลีบบางของดอกดาวกระจายสีชมพู ใกล้ๆ กันเป็นกระถางของเดซี่น้อย ที่กำลังแย้มยิ้มอย่างไร้เดียงสา อวดเกสรสีเหลืองแจ่มใสกับกลีบเล็กสีขาวที่กระจายอยู่รายรอบ“ชอบดอกไม้ไหมจ๊ะ ขนดอกไม้ไปปลูกกันเถอะ” นึกถึงเสียงใสของเธอเมื่อสองเดือนก่อน ตามด้วยคำหยอกเย้าเคล้าเสียงหัวเราะ “หรือชอบเลี้ยงแต่แมวๆ หมาๆ”เธอยิ้มแย้มอยู่ในกระโปรงยาวกรุยกราย เข้ากับผ้าคลุมไหล่สีสวยมีดอกไม้มากมายถูกทิ้งไว้หลังการจัดงานนิทรรศการแห่งหนึ่ง บางส่วนอยู่ในกระถาง บางส่วนอยู่ในถุงดำ คนงานกำลังรื้อถอนส่วนต่างๆ ของงาน บรรดาดอกไม้ประดับถูกขนมากองสุมไว้ด้านนอก“…
มูน
  ไม่สบายกายและใจอยู่หลายวัน พอเรี่ยวแรงคืนมา ฉันก็คว้าจักรยานยนต์คันเก่า ขี่โกรกเกรกกึงกังไปตลาดใหญ่ที่ไกลจากบ้านราวสิบกิโลเมตร รู้สึกสังขารตัวเองใกล้เคียงกับรถ คือมีอะไรสักอย่าง (หรือหลายอย่าง) ที่ไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางนักพอพ้นจากทางดินเป็นถนนลาดยาง รถก็แล่นฉิว ลมพัดพรูจนผมปลิวกระจาย (นึกไปเองว่า) คล้ายๆ โฆษณาแชมพูสระผม ฝนที่ตกหนักไปเมื่อคืนวานทำให้อากาศสดแจ่ม ฟ้าใสกระจ่าง แซงแซวหางปลาเกาะอยู่บนกิ่งประดู่ข้างทาง ในทุ่งที่น้ำเจิ่งนองมีนกกระยางเดินท่องน้ำจ๋อมๆ อยู่หลายตัวลมพัดเสื้อคลุมสะบัดพึ่บพั่บ ชายเสื้อปลิวอยู่ด้านหลัง รู้สึกเริงรื่นจนต้องร้องเพลงดังๆ ตามจังหวะกึงกังของรถ "…
มูน
ฉันกำลังแบกเป้เดินทางรับจ้างทำงานอยู่แถวภาคเหนือ ในช่วงเวลาที่บรรยากาศเริงรื่นยังคงรวยรินแม้จะเลยปีใหม่ไปแล้วหลายวัน คนที่ไม่มีงานประจำ แต่มีรายจ่ายเรียงรายรอคอยอยู่ทุกเดือนอย่างฉัน ไม่มีเวลานั่งอยู่เฉย (ถึงแม้จะอยากนั่ง) ใครจ้างมา ฉันก็ไป เหมือนมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ไม่เกี่ยงระยะทางและผู้โดยสารใกล้เที่ยงคืนที่วางเป้ลงอย่างอ่อนแรงในห้องพักเล็กๆ ควักสมุดบันทึกขึ้นมาคำนวณรายจ่ายและแผนการเดินทางในวันถัดไป ใจคิดล่วงหน้าถึงวันกลับบ้าน ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังแผ่วๆ มาจากกระเป๋าข้างเตียง ............นานหลายปีมาแล้วที่ฉันรู้สึกว่าเทศกาลปีใหม่ไม่ใช่เวลาของความบันเทิงใจ ปีใหม่ในวัยเยาว์ครั้งหนึ่ง…
มูน
สายหมอกสีขาวนุ่มห่มคลุมยอดดอย ในเช้าที่ฉันนั่งรถเข้าหมู่บ้าน ไร่ยาสูบและไร่ข้าวโพดสองข้างทางดูเลือนลางอยู่ในแสงสลัวของดวงตะวัน ที่พยายามแทรกผ่านลมหนาวอย่างสุดความสามารถ“หนาวไหม หนาวเนาะ” พ่อเฒ่าสวมหมวกไหมพรมสีแดงทักถาม ฉันกอดอกแน่น ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก เพราะหนาวจนพูดไม่ออก ควันกรุ่นสีขาวพรูออกทางจมูกเหมือนลมหายใจมังกรไฟในนิทาน คนที่เคยชวนฉันมาเมืองพร้าวไม่เคยเล่าว่าบ้านเกิดของเธอหนาวขนาดนี้สำหรับบางคน ความทรงจำอาจอบอุ่นตลอดกาล แมวลายสามตัวที่นอนอาบแดดกลางลานบ้านวิ่งกันกระจายเมื่อเห็นคนแปลกหน้า เหลือแมวอ้วนสีส้มหมอบอยู่บนอานรถเครื่องคันเก่า “ขอถ่ายรูปหน่อย อยู่นิ่งๆ นะ มือใหม่หัดถ่ายนะ…
มูน
สีสันสดใสในเทศกาลส่งท้ายปี เป็นสัญญาณของการสิ้นสุดและเริ่มต้นใหม่ เพื่อนบ้านคนหนึ่งติดกระดาษริ้วสีทอง เขียนว่า HAPPY NEW YEAR 2008 ไว้เหนือประตูบ้าน อีกหลังติดไฟกระพริบ สลับกันวิบวับตรงนั้นตรงนี้ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งยื่นเค้กช็อคโกแลตให้ แล้วบอกว่า สวัสดีปีใหม่ คิดอะไรขอให้สมปรารถนาฉันยิ้มกับคำอวยพร ถามตัวเองเล่นๆ ในใจว่าปรารถนาอะไรบ้าง โอ้ ช่างมากมายจนน่าอายตัวเอง หนึ่งในความปรารถนาที่ฉันคิดเสมอมาเมื่อถึงวันปีใหม่ คือขอให้ยายได้พบกับป่องหยอด................ความจริงยายไม่ได้เป็นแค่ยาย ยายเคยเป็นแม่ แต่เมื่อลูกสาวคนเดียวของยายตายไป และยายไม่มีญาติที่ไหนอีก…
มูน
เสียงรถมาจอดหน้าบ้าน โต๋เต๋ชันคอขึ้นเป็นครั้งแรกของวัน มันลุกพรวดพราดไปดู สักพักก็เดินหูลู่หางตก กลับมานอนหมอบเป็นรูปปั้นหมาตรงที่เดิม ท่าทางหมกมุ่นหงอยเหงาราวกับคนอมทุกข์ฉันไม่รู้จะช่วยมันได้อย่างไร บางทีก็ไม่อาจมีใครแทนใครได้นึกย้อนไปถึงค่ำวันหนึ่งที่ฉันลงรถประจำทางใกล้แยกบางใหญ่ กำลังสำรวจสภาพกระดูกกระเดี้ยวที่ถูกเบียดเสียดบนรถมานานนับชั่วโมง หางตาก็เห็นอะไรแวบๆ จุดดำๆ เคลื่อนมาตามแนวถนน รถยนต์ก็ไม่ใช่ มอเตอร์ไซค์ก็ไม่เชิง ใกล้เข้ามาถึงเห็นเป็นหมาสีเข้มๆ ตัวหนึ่งกำลังวิ่งสุดฝีเท้าแทบจะแข่งกับรถที่แล่นอยู่บนถนนฉันพยายามมองว่ามันวิ่งตามอะไร เพราะวิ่งแบบนี้ไม่ใช่วิ่งเล่นแน่ๆ…
มูน
แสงแดดอ่อนๆ ในฤดูหนาว ที่ส่องเข้ามาอาบขนนุ่มละเอียดของแมวข้างหน้าต่าง ทำให้ฉันคิดถึงเด็กคนหนึ่งและความสุขที่ยังคงอุ่นอยู่ในใจเสมอมาหลังเรียนจบ ฉันทำงานพัฒนาชนบทอยู่ที่เมืองโคราช และได้พบกับจ่อย เด็กน้อยวัยสี่ขวบในศูนย์บริบาลเด็กขาดสารอาหารของโรงพยาบาลประจำอำเภอ จ่อยเคยเป็นเด็กขาดอาหารระดับรุนแรง หลังจากรับการรักษาฟื้นฟูจึงเริ่มเดินได้เมื่ออายุราวสามขวบ และเป็นเด็กที่ช่างจดจำอย่างน่าอัศจรรย์ สามารถเรียกชื่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุกคนที่รู้จักได้ไม่พลาด ขอแค่ได้ฟังเสียง หรือใช้มือป้อมๆ ลูบคิ้วคางปากจมูกของคนนั้น หลังโรงพยาบาลเป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ…
มูน
“ชีวิตดังตัวคนเดียว ท่ามกลางทะเลเปลี่ยว ต้องลอยคว้างกลางลมคลื่นหลับใหลไม่เคยเต็มตื่น ข้าวกลืนไม่เคยอิ่ม โอ้ รอยยิ้มไม่เคยได้” เสียงเพลง “ชีวิตคนเศร้า” ของทูล ทองใจ ทำให้ฉันนึกถึงพ่อ และท่อนหนึ่งของเพลงที่พ่อมักร้องซ้ำไปซ้ำมาไม่เคยจบสักทีพ่อหิ้วกระเป๋าออกจากบ้านปู่ตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบ ทิ้งผืนนาไปตามหาความฝันของวัยหนุ่ม แต่ดูเหมือนว่าพ่อใช้เวลาตามหาตลอดชีวิต และพบเพียงความฝันที่แหว่งวิ่น ความทรงจำของฉันเกี่ยวกับพ่อ เหมือนชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจาย แต่ทุกชิ้นชัดเจน และไม่เคยสักครั้งที่ฉันคิดจะลืมตอนที่ฉันอายุราวๆ ห้าหกขวบ พ่อพาไปดูหนังอินเดียเรื่อง “โชเล่ย์” ที่โรงหนังประชาบดี…
มูน
ใกล้บ้านเช่าหลังเก่าของฉันที่ขอนแก่น มีวัดป่าแห่งหนึ่งร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ฉันชอบไปเดินเล่นดูโบสถ์เก่าแก่คร่ำคร่าเต็มไปด้วยรอยตะไคร่ ไปนั่งฟังเสียงลมพัดใบไม้ และนั่งเล่นริมบึงกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยปลา เป็นวัดที่ให้บรรยากาศสงบงามสมกับเป็นสถานที่สำหรับ "หนีร้อนมาพึ่งเย็น" จริงๆ แต่ฉันไม่เคยเห็นวัดไหนเต็มไปด้วยไก่เท่าวัดนี้ ไก่หลากสีหลายขนาดเดินกันขวักไขว่ นับคร่าวๆ ได้สักหกหรือเจ็ดสิบตัว หลายตัวบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งเตี้ยๆ ของต้นก้ามปูใหญ่ เจ้าอาวาสบอกว่า คนแถบนี้นิยมปล่อยไก่เป็นการสะเดาะเคราะห์อย่างหนึ่ง"สมัยก่อนเขาต้องตัดหางด้วยนะ ที่เรียกว่าตัดหางปล่อยวัดไงล่ะ" ฉันถามถึงจำนวนไก่…
มูน
ลมหนาวพัดฟางหลังเก็บเกี่ยวปลิวว่อนกลางทุ่ง หลายบ้านเตรียมโกยฟางมัดเป็นท่อนเก็บไว้ให้วัวควายในหน้าแล้ง นึกเล่นๆ ว่าถ้าคนเรากินแค่หญ้าก็คงจะดี ไม่ต้องมีกิเลสอยากกินนั่นนี่ให้เดือดร้อนไปถึงพืชและสัตว์อีกมากมาย ที่ต้องถูกไล่ล่าบ้าง ถูกบังคับให้โตผิดธรรมชาติบ้าง ถูกเปลี่ยนนั่นแปลงนี่ให้ถูกใจคนจนวุ่นวายไปทั้งโลก เข้าทำนองเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว (ว่าเข้าไปนั่น)คิดจนหิว จึงหันไปเปิดตู้กับข้าว อะไรกันนี่ ช่างโล่งดีแท้ๆ มีแต่ถ้วยน้ำปลาพริกขี้หนู อ้อ มีปลาทู(แย่งแมวมา)หนึ่งตัว ทำปลาทูต้มน้ำปลาดีกว่า ทำง้ายง่าย แล้วก็อร้อย อร่อย ตั้งน้ำให้เดือดพลั่กๆ ใส่ปลาทู เหยาะน้ำปลาพริกขี้หนู บีบมะนาว…
มูน
หมาขนฟูสีขาวในรถยนต์คันใหญ่ที่จอดติดไฟแดงอยู่ตรงสี่แยกนั้น ทำให้ฉันคิดถึงลัคกี้สมัยที่ฉันยังรับจ้างทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่ง สำนักงานเราเป็นบ้านเช่าที่อยู่ติดกับรั้วด้านหลังของบ้านสวนกว้างใหญ่ เจ้าของบ้านสวนก็คือเจ้าของบ้านเช่า รวมทั้งหอพักปากซอย ร้านค้าและตึกแถวใหญ่ในตลาด แถมที่ดินจัดสรรอีกหลายแห่งคุณนายเจ้าของบ้านเช่ามีลูกสาวทำงานอยู่ต่างประเทศ ครั้งหนึ่งลูกสาวกลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมกับซื้อลัคกี้มาฝากแม่  เราเห็นหมาตัวโตขนยาวขาวสะอาดนั่งชูคอในรถยนต์ไปไหนๆ กับคุณนาย ที่ชอบใจนักเวลามีคนชมความสวยสง่าของลัคกี้ แล้วเธอก็จะคุยให้ใครๆ ฟังถึงลูกสาวคนเก่ง ลัคกี้ร่าเริงและชอบอยู่ใกล้ๆ คน…
มูน
จับเจ่ารอรถอยู่ที่สถานีขนส่งเมืองอุบลฯ ลมปลายเดือนตุลาคมพัดมาในช่วงค่ำทำให้ต้องนั่งกอดอก กำลังเกือบสัปหงกเมื่อรู้สึกเหมือนมีใครบางคนมายืนเกือบชิดหัวเข่าโงหัวขึ้นเจอกับดวงตากลมใสคู่หนึ่ง กำลังจ้องมองฉันอยู่อย่างคาดหวังเรามองตากันอยู่เงียบๆ ฉันพินิจลักษณะของเธอแล้วเดาว่า น่าจะกำลังเป็นแม่ลูกอ่อน ด้วยว่าเต้านมที่หย่อนยานนั้นดูอวบเต่ง แต่รูปร่างที่ผอมเกร็งก็บอกว่า อาการการกินคงไม่บริบูรณ์เท่าไร อาจจะถึงขั้นขาดแคลนเสียด้วยซ้ำ “หิวเหรอจ๊ะ” ฉันถามเบาๆ ไม่มีเสียงจากเธอ แต่มีคำตอบอยู่ในแววตาละห้อยคู่นั้นฉันเหลียวซ้ายแลขวาไปทั่วท่ารถที่ค่อนข้างเงียบเหงา รถโดยสารที่แล่นระหว่างอำเภอหมดไปนานแล้ว…