(ก่อนจะเริ่มบทความ...คุณผู้อ่านรู้สึกไหมครับ ว่าชื่อบทความกับชื่อผม มันคล้องจองกันพิลึก อิอิ...)
ไม่รู้ว่าท่านผู้อ่านจะมีศิลปิน หรือวงดนตรีใดๆ ที่เมื่อมีอัลบั้มใหม่ของพวกเขา / เธอ ออกวางแผง เราก็ไม่รีรอที่จะรีบไปหาอัลบั้มมาเป็นเจ้าของโดยพลันหรือเปล่า
สำหรับตัวผม...โมเดิร์นด็อกสร้างความรู้สึกแบบนี้ให้ผมตลอดมา ตั้งแต่สมัยผมควักเงิน 60 บาทจากกระเป๋านักเรียนสีกากีออกจากกระเป๋า และคว้าอัลบั้ม “โมเดิร์นด็อก” (ที่มีชื่อเล่นว่าอัลบั้ม “เสริมสุขภาพ”) จากแผงเทป
จนถึงวันนี้ วันที่โมเดิร์นด็อกมีอัลบั้ม “ทิงนองนอย” ออกมาเป็นอัลบั้มใหม่ ความรู้สึกนั้นก็ยังเกิดกับผมไม่แปรเปลี่ยน เพราะในแต่อัลบั้ม โมเดิร์นด็อกจะกลับมาพบกับเราในรูปแบบที่ไม่ซ้ำเดิม ตั้งแต่การเป็นผู้นำกระแสอัลเทอร์เนทีฟ (โมเดิร์นด็อก), การนำกลิ่นอายของดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ (คาเฟ่), งานทดลองที่วัดใจทั้งคนทำและคนฟัง (Love me love my life) งานอคูสติก (Very Common of moderndog), การกลับสู่ความเรียบง่าย (แดดส่อง)
มาถึงวันนี้ หลังจากอัลบั้ม “แดดส่อง” มา 4 ปี (ซึ่งระหว่างนั้น โมเดิร์นด็อกก็ยังคงตระเวนเล่นสดอย่างสม่ำเสมอ สลับกับโปรเจ็กต์ย่อยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมงานในโปรเจ็กต์ “น้ำคือชีวิต” ร่วมกับคาราบาวและเฉลียง, โปรเจ็กต์ BoydPod และการร่วมงานในอัลบั้ม “มนต์เพลงคาราบาว” เป็นต้น) ในวันที่โมเดิร์นด็อกออกนอกร่มเงาของเบเกอรี่ มิวสิค และออกอัลบั้มภายใต้สังกัดของตัวเอง และในวันที่วงการเพลงแตกต่างจากวันที่ผมยังใส่กางเกงขาสั้นสีกากีมากมายเหลือเกิน
ผมจึงสนใจว่า ในคราวนี้โมเดิร์นด็อกจะมาไม้ไหนอีก ;-)
ซึ่งพอได้ยินชื่ออัลบั้ม “ทิงนองนอย” แวบแรกที่ผมรู้สึก ผมคิดว่าอัลบั้มนี้น่าจะออกไปทางสนุกสนาน เถิดเทิงทิงนองนอยไปตามเรื่องตามราว ยิ่งเมื่อเห็นปกอัลบั้มและซองใส่ซีดีที่เป็นรูปหินตา หินยายอันชวนสยิวกิ้วแล้ว ก็ยิ่งทำให้คาดเดากันไปว่าอัลบั้มนี้มีฮาแน่ๆ
แต่เมื่อสัมผัสตัวเพลงในอัลบั้มจริงๆ ต้องบอกว่าผมคงจะคิดผิดเข้าเสียแล้ว
อัลบั้มนี้เหมือนจะเป็นส่วนผสมระหว่างความหม่นของอัลบั้ม “love me love my life” บวกกับความป๊อปของอัลบั้ม “แดดส่อง” ผสมกับสีสันใหม่ๆ อย่างการใช้กลองไทย และวงเครื่องสายในหลายๆ เพลง สัดส่วนของเพลงช้า-เร็วในอัลบั้มก็ดูจะเทน้ำหนักไปทางเพลงจังหวะปานกลางไปถึงช้า มากกว่าจะเป็นเพลงเร็วชวนโดด ซึ่งอาจจะคิดได้ว่าพี่ๆ เขาก็โดดกระจายมาตลอดตั้งแต่เราเด็กๆ จนป่านนี้พี่ๆ เขาน่าจะเข้าวัยกลางคนแล้ว ก็ให้พี่ๆ เขาโดดน้อยลงก็น่าจะดีนะ (ฮา)
อัลบั้มนี้ยังมีความน่าสนใจ ตรงที่มีนักแต่งเพลงรับเชิญอย่างคุณแสตมป์แห่งวง 7th Scene มาร่วมแต่งในเพลง “เงินล้าน” และ “BTS” และการกลับมาร่วมงานกับโมเดิร์นด็อกอีกครั้งของคุณพราย – ปฐมพร ปฐมพร ในเพลง “ไปด้วยกัน” หลังจากที่คุณพรายเคยมอบเพลง “...ก่อน” ให้โมเดิร์นด็อกได้แจ้งเกิดมาแล้ว
หลังจากที่ผมได้ฟังทั้งอัลบั้มแล้ว ต้องยอมรับว่านี่คืออัลบั้มที่ตัวเพลงไม่ได้พลุ่งพล่านเหมือนกับอัลบั้มก่อนๆ (แม้กระทั่งเพลง “นิยาย” ที่ถูกตัดเป็นเพลงโปรโมทเพลงแรก แม้จะเป็นเพลงเร็ว แต่ก็เบรกอารมณ์ด้วยเสียงของกีตาร์อคูสติก) ซึ่งสำหรับขาโดดก็คงผิดหวังกันบ้าง แต่สิ่งที่ได้ทดแทนความแรง คือความ “เพราะ” ของเพลง อย่างในรอบแรกของการฟัง ผมเองก็ติดใจกับเพลงหวานๆ อย่างเพลง “แสงจันทร์” และเพลงเนื้อหาดีๆ อย่าง “เงินล้าน” รวมทั้งวิธีการร้องของพี่ป๊อดในเพลงช้าๆ ด้วย (ฟังเสียงร้องนุ่มๆ ของพี่ป๊อดแล้วอดสงสัยว่าพี่แกติดมาจากช่วงทำอัลบั้ม BoydPod หรือเปล่าหว่า) ส่วนเพลงเร็วๆ ในอัลบั้มที่แม้จะมีไม่เยอะ แต่ก็มีประสิทธิภาพ อย่าเพลง “ไปด้วยกัน” นี่ติดหูหนับตั้งแต่รอบแรกที่ได้ยินเลยทีเดียว
ผมฟังอัลบั้มนี้จบด้วยความรู้สึกว่า นี่อาจจะเป็นอัลบั้มแรกที่เราไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับงานใหม่ของโมเดิร์นด็อก แต่กลับรู้สึกว่าเรานั่งฟังอัลบั้มนี้เพลินไปจนจบแผ่นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาจเป็นเพราะว่านี่คืออัลบั้มที่ทำเพื่อ “ฟัง” มากกว่าจะเน้นไปที่การทดลองเหมือนงานชิ้นก่อนๆ
อาจเป็นไปได้ว่า...หมาทันสมัยกลุ่มนี้อาจจะค้นพบเสียงของตัวเองแล้ว หลังจากแสวงหามานับสิบปี...
(เนื้อที่โฆษณา)
พวกเขาจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาล “ศิลปะนานาพันธุ์” ของสถาบันปรีดีพนมยงค์) ในวันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน ณ หอประชุมใหญ่ สถาบันปรีดีพนมยงค์ ซอยทองหล่อ
บัตรราคา 199 บาท ซื้อได้ที่ร้านดีเจ. สยาม และหน้างานครับ
วงดีๆ แบบนี้น่าสนับสนุนครับ |