Skip to main content

ผมขอเริ่มต้นบทความชิ้นนี้ ด้วยการย้อนระลึกถึงเมื่อครั้งที่ผมยังเป็นเด็กนักเรียนประถม ในยุคที่สถานีโทรทัศน์ทุกแห่งในประเทศไทยยังไม่มีการออกอากาศช่วงกลางวันในวันธรรมดา และยังไม่มีเคเบิลทีวีให้บริการอย่างเอิกเกริกแบบตอนนี้ ในยุคที่คอมพิวเตอร์ยังเป็นสิ่งอภิมหาแพงเกินกว่าที่ทุกครัวเรือนจะมี หรือถึงบ้านไหนจะมี เทคโนโลยีในยุคนั้นก็ยังไม่เอื้อให้คอมพิวเตอร์เป็นศูนย์รวมความบันเทิงแบบทุกวันนี้

ความบันเทิงในยุคนั้นของผม นอกจากรายการทีวีวันเสาร์ - อาทิตย์แล้ว บรรดาวีดิโอจากร้านเช่าก็เป็นความบันเทิงราคาถูกที่พอจะมีกันได้ ซึ่งวีดิโอที่เรามักจะเลือกเช่า ก็หนีไม่พ้นการ์ตูนและหนังต่างๆ

นอกจากนั้น วีดิโอมวยปล้ำก็เป็นอีกตัวเลือกในร้านวีดิโอของพวกเรา

ผมเองยอมรับว่ามวยปล้ำในสายตาเด็กนั้นมันสนุกกว่าดูมวยปล้ำในตอนนี้พอสมควรเชียวล่ะ อาจจะเพราะว่าเราเชื่อสนิทใจว่ามันเป็น “กีฬา” จริงๆ โดยเราก็ไม่เอะใจเลยสักนิดว่า ทำมั้ย...ทำไมกรรมการที่ไม่เคยทันเกมนักมวยปล้ำฝ่ายอธรรมเวลาเล่นตุกติก ถึงไม่โดนไล่ออกสักทีฟะ :-P

แต่ก็นั่นแหละครับ สำหรับตัวผมเองในตอนนั้น นักมวยปล้ำอย่าง Hulk Hogan, Ultimate Warrior, Bret “Hitman” Hart, Sting, “Macho Man” Randy Savage ฯลฯ ดูเท่ห์ไม่ต่างกับที่เรารู้สึกกับบรรดาขบวนการ 5 สี หรือซุปเปอร์ฮีโร่เลยล่ะ

มันดูเท่ห์ถึงขนาดผมเคยเล่นมวยปล้ำกับพี่ชาย โดยใช้เตียงนอนเป็นเวที แล้วใช้หัวเตียงเป็นเหมือนหัวเสาเวที (เวลาจะทำทีเป็นขึ้นเชือก แล้วทิ้งตัวลงมาทับคู่ต่อสู้เนี่ย ผมคิดว่าในตอนนั้นแม่ผมคงกลัวว่าเตียงจะพังบ้างล่ะ)

จนถึงวันหนึ่งที่เราโตขึ้น มวยปล้ำกลายเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากเราไปทุกทีๆ (แม้ว่าปัจจุบันผมจะยังดูมวยปล้ำอยู่ แต่ความบันเทิงอื่นๆ ก็มีมากขึ้น จนเราดูน้อยลงไปมาก ประกอบกับความรู้สึกที่ว่าเดี๋ยวนี้เสน่ห์ของมวยปล้ำมันทอนลงไปเยอะเหลือเกิน) เราเคยสงสัยว่าบรรดาดาราที่เราเคยชื่นชมเขาบนสังเวียน เขาไปอยู่ที่ไหนกัน

หนังเรื่อง The Wrestler อาจจะทำให้เราเห็นภาพเหล่านั้น

The Wrestler เล่าเรื่องของแรนดี้ “เดอะ แรม” โรบินสัน (Mickey Rourke) อดีตนักมวยปล้ำชื่อดังในยุคทศวรรษ 1980 ที่ในยุครุ่งเรืองของเขา เคยถึงขนาดขึ้นสังเวียน ณ เมดิสัน สแควร์ การ์เดน – เวทีสำคัญที่ใช้จัดมวย และมวยปล้ำรายการสำคัญๆ มานักต่อนัก แต่ ณ วันเวลาปัจจุบัน เขาก็ยังคงปล้ำ แต่ก็ปล้ำแค่ในรายการเล็กๆ กับจำนวนคนดูแค่หยิบมือเท่านั้น

แต่มวยปล้ำก็เป็นสิ่งเดียวที่เขาเหลืออยู่ เขาไม่มีครอบครัว (แม้จะมีลูกสาว แต่ก็แทบจะตัดขาดกันไปแล้ว) จะมีก็แค่เพื่อนร่วมสังเวียน และแฟนๆ มวยปล้ำระดับเดนตายเท่านั้น ที่ดูเป็นมิตรสหายที่ดีของเขา (ภาพของวงการมวยปล้ำในหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่ภาพดุเดือดเลือดพล่านในหน้าฉาก แต่หลังฉาก ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายธรรมะ หรืออธรรม ทุกคนต่างนับถือกันแบบพี่น้อง และช่วยกันแนะนำคิวในการต่อสู้บนเวทีต่างๆ รวมถึงคิดช็อตทำร้ายตัวเองเด็ดๆ ให้คู่ต่อสู้เอาไปใช้ด้วย)

สิ่งที่วัดความสำเร็จของเดอะแรม และนักมวยปล้ำร่วมเวทีไม่ใช่ชัยชนะ แต่เป็นความสะใจ และบ้าคลั่งของแฟนๆนี่ล่ะ ที่เหมือนเป็นเข็มขัดแชมป์ของพวกเรา

จนถึงวันหนึ่งที่เขาล้มลงหลังจากการต่อสู้ในแมทช์หนึ่ง เขาถูกส่งเข้าโรงพยาบาล แล้วถูกหมอสั่งห้ามขึ้นสังเวียนอีกต่อไป เพราะหัวใจเขาอ่อนแอเกินกว่าจะรับความหนักของมวยปล้ำแล้ว ประกอบกับเขาค้นพบว่าบรรดานักมวยปล้ำที่เคยอยู่ในรุ่นเดียวกับเขานั้น ไม่กลายเป็นไอ้แก่ไร้ค่าที่ไม่มีใครเหลียวแล ก็กลายเป็นคนพิการไปแล้ว

เขาจึงตัดสินในถอยห่างจากวงการที่เขาใช้ชีวิตมาตลอด แล้วกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการถอดชุดมวยปล้ำ หันมาใส่เสื้อกันเปื้อน แล้วกลายเป็นพนักงานขายในโซนอาหาร, การเริ่มกลับมาสานสัมพันธ์ใหม่กับสเตฟานี่ (Evan Rachel Wood) - ลูกสาวที่แทบจะตัดพ่อ – ลูกไปแล้ว หรือการเริ่มมีความรักครั้งใหม่กับแคสซิดี้ (Marisa Tomei) – สาวนักระบำเปลื้องผ้าที่เขามีใจให้

แต่เขาก็ค้นพบว่า เขากลายเป็นไอ้ห่วยแตกในโลกที่เขาไม่คุ้นเคย ความรัก – ความสัมพันธ์ที่เขาพยายามจะเริ่มมันใหม่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เขาจึงตัดสินใจที่จะกลับไปสู่วงการมวยปล้ำอีกครั้ง เพื่อขึ้นเวทีกับอะยาโตละห์ (Ernest Miller) – อดีตคู่ต่อสู้ที่เคยขับเคี่ยวกับเขาในวัยหนุ่ม

แม้เขาจะรู้ตัวว่า...มันอาจเป็นการต่อสู้ที่เขาอาจต้องจ่ายค่าขึ้นสังเวียนด้วยชีวิตก็ตาม

สิ่งที่ถูกพูดถึงมากที่สุดของหนังเรื่องนี้ คงหนีไม่พ้นฝีมือการแสดงของ Mickey Rourke ที่แสดงแบบทุ่มสุดตัว ทำให้เราเชื่อได้อย่างสนิทใจว่าเขาผ่านเรื่องราวทั้งหลายในชีวิตจนมาถึงจุดตกต่ำในปัจจุบัน ซึ่งคงจะคล้ายชีวิตจริงของ Mickey ที่เคยเป็นดาราดาวรุ่งฝีมือดีในทศวรรษ 1980 แต่ก็มาเสียคนเพราะหลงกับชื่อเสียง จนกลายเป็นดาราตกกระป๋อง และเบนเข็มไปชกมวยสากล แต่เวทีมวยก็ฝากริ้วรอยให้ดาราหนุ่มรูปหล่อระดับเป็นเซ็กส์ซิมโบลของยุค กลายเป็นอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน

คงไม่ผิดนัก ถ้าจะพูดได้ว่าเขาถ่ายทอดความเจ็บปวดที่เขาเคยเจอในชีวิต มาอยู่ในร่างตัวละครที่เขาสวมบทบาทอยู่

ผมดูหนังเรื่องนี้จบพร้อมด้วยคำถามหนึ่งที่อยู่ในใจ ว่า “เราจะยอมแลกชีวิตเพื่ออยู่กับสิ่งที่รัก ดีกว่าจะอยู่อย่างปลอดภัยในโลกที่เราใช้ชีวิตแบบแกนๆ” หรือเปล่า ซึ่งแม้คำตอบของตัวเองจะยังไม่แจ่มชัด แต่ผมก็ค้นพบว่าแม้ความมั่นคงปลอดภัยจะเป็นสิ่งที่เราต้องการ แต่ลึกๆ แล้ว “การยอมรับ และที่ทางในสังคม” ก็เป็นสิ่งที่เราขาดไม่ได้เหมือนกัน

เพราะแม้ว่าชีวิตในซุปเปอร์มาเก็ตจะปลอดภัย แต่ก็ปลอดภัยเพราะเขาไม่มีค่าใดๆ ให้ใครมองเห็น แต่กับบนสังเวียน ที่แม้จะมีคนดูแค่หยิบมือ แต่เขาก็อยู่ในฐานะของมนุษย์ผู้ได้รับการยอมรับ

ในโลกที่หาจุดกึ่งกลางลำบากยิ่งนัก บางคนอาจขอเลือกที่จะอยู่กับสิ่งที่เขารักจนตาย ดีกว่าจะเอาชีวิตรอดโดยไม่ได้อยู่กับสิ่งที่ตัวเองรัก...

แต่ถึงกระนั้น คนที่น่าเศร้าที่สุด คือคนที่ไหลไปตามโลกไปเรื่อย โดยไม่มีโอกาสรู้ว่าตัวเองรักอะไร...

หมายเหตุ : หากบทความชิ้นนี้มีความดีอยู่บ้าง ผู้เขียนขออนุญาตอุทิศความดีให้กับ Eddie Guerrero และ Chris Benoit สองนักมวยปล้ำฝีมือดีที่จากไปก่อนเวลาอันควร

 

 

บล็อกของ เด็กใหม่ในเมือง

เด็กใหม่ในเมือง
My Private Radio – รายการเพลงที่ผมมั่นใจว่าดีที่สุดในเว็บประชาไท (เพราะมันมีอยู่รายการเดียว :-P) กลับมาพบกับท่านอีกครั้งแล้วครับ
เด็กใหม่ในเมือง
มาล่าช้ากันสักนิดนึงนะครับสำหรับรายการวิทยุส่วนตัวของผม แต่มาช้าก็ยังดีกว่าไม่มานะครับหวังว่ารายการนี้จะพอทำให้บรรยากาศอันดุเดือดในช่วงนี้เย็นๆ ลงมาบ้าง และรายการนี้... ไม่ว่าสีใด ก็ฟังกันได้สบายๆ...
เด็กใหม่ในเมือง
ตอนที่ผมกำลังทำรายการวิทยุออนไลน์เล็กๆ รายการนี้ เมื่อมองออกไปที่ท้องฟ้าแถวบ้าน ผมเห็นพระจันทร์ดวงโตสวยส่องสว่างอยู่... เลยอยากจะเลือกเพลงให้เข้ากับบรรยากาศในตอนนั้น พอเลือกเพลงได้ ก็เลยเอาเพลงที่เลือกมาเปิดให้คุณๆ ฟังกันนั่นแหละครับ       
เด็กใหม่ในเมือง
แม้ว่าในประชาไท รายการ My Private Radio จะเพิ่งได้มาโอกาสมาเปิดเพลงเพราะมั่ง ไม่เพราะมั่งให้กับคุณๆ ได้ฟังกันไม่นานนี้ แต่จริงๆ แล้ว ถ้านับตั้งแต่ที่ผมเริ่มทำรายการตอนแรกลงในเว็บไซต์ http://myprivateradio.ning.com แล้ว ตอนที่คุณได้ฟังอยู่ตอนนี้ นับเป็นตอนที่ 10 แล้วครับ   ในตอนนี้ ผมเลยตั้งโจทย์เล่นๆ ว่า ถ้าผมต้องเลือกเพลงทุกเพลงในรายการ ให้กับคนหลายๆ คน ตั้งแต่เพี่อนของผม เลยเถิดไปจนถึงทีมการท่าเรือไทย เอฟ ซี (!) ผมจะหยิบอะไรมาเปิดบ้าง
เด็กใหม่ในเมือง
 กลับมาอีกครั้งสำหรับรายการวิทยุส่วนตัวของผมครับ :-)ผมบันทึกเสียงรายการตอนนี้ในคืนวันวาเลนไทน์ เลยทำให้บรรยากาศของวันแห่งความรักเผลอตลบอบอวลเข้ามาในรายการด้วยตอนนี้เลยมีเพลงรักดีๆ ให้ฟังกันเยอะครับเชิญฟังกันได้เลยครับ  
เด็กใหม่ในเมือง
  กลับมาอีกครั้งกับรายการวิทยุส่วนตัวของผมครับ :-)   GT 200 กับเพลงโซล – ดิสโก้ ดูมันไม่เกี่ยวกันเลย แต่มันก็มาอยู่ในรายการนี้กันได้ซะงั้น   เชิญฟัง และติ-ชมกันได้ครับ       
เด็กใหม่ในเมือง
ผมกำลังสนุกกับของเล่นชิ้นใหม่อยู่ครับ... ของเล่นชิ้นที่ว่า คือการทำรายการวิทยุออนไลน์ของตัวเองครับ
เด็กใหม่ในเมือง
  ถ้าคุณผู้อ่านแวะเข้าห้องเฉลิมกรุงของเว็บไซต์ pantip.com (พันทิปไม่ได้มีแค่ห้องราชดำเนินนะครับพี่น้อง...) ซึ่งเป็นเวบบอร์ดที่พูดถึงแวดวงดนตรี ละครเวที และงานศิลปะอยู่เป็นประจำละก็ คุณคงจะรู้ว่าศิลปิน-นักร้องที่กำลังเป็นที่กล่าวขวัญถึงที่สุดในห้องเฉลิมกรุงในช่วงเดือน - สองเดือนที่ผ่านมานั้นเป็นใคร ถ้าคุณไม่ใช่เด็กห้องเหลิมกรุง คุณอาจจะเดาว่าเป็น Wonder Girls, Girl's Generation, ดงบังชินกิ, ซุปเปอร์จูเนียร์ หรือบรรดาบอยแบนด์ - เกิร์ลกรุ๊ปทั้งสัญชาติไทยและเกาหลี
เด็กใหม่ในเมือง
  มีตำนานกล่าวขานถึงเวทมนต์วิเศษที่จะทำให้คนธรรมดา เสียงไพเราะกว่าใครเริงระบำได้เหนือกว่าใคร
เด็กใหม่ในเมือง
ผมเริ่มนั่งเขียนบทความชิ้นนี้ ตอน 10 โมงกว่าๆ ของวันที่ 14 เมษายน 2552 หลังวันสุกดิบของการปะทะระหว่างผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ในหลายๆ จุดทั่วกรุงเทพฯที่จั่วหัวแบบนี้ ผมไม่ได้มาพูดเรื่องการเมืองหรอกครับ (ผมเขียนวัน-เวลาเอาไว้เพื่อเตือนความจำของตัวเองเท่านั้นแหละ)ผมจะมาเล่าเรื่องที่ทำงานประจำของผมให้คุณๆ ฟังครับ
เด็กใหม่ในเมือง
ผมขอเริ่มต้นบทความชิ้นนี้ ด้วยการย้อนระลึกถึงเมื่อครั้งที่ผมยังเป็นเด็กนักเรียนประถม ในยุคที่สถานีโทรทัศน์ทุกแห่งในประเทศไทยยังไม่มีการออกอากาศช่วงกลางวันในวันธรรมดา และยังไม่มีเคเบิลทีวีให้บริการอย่างเอิกเกริกแบบตอนนี้ ในยุคที่คอมพิวเตอร์ยังเป็นสิ่งอภิมหาแพงเกินกว่าที่ทุกครัวเรือนจะมี หรือถึงบ้านไหนจะมี เทคโนโลยีในยุคนั้นก็ยังไม่เอื้อให้คอมพิวเตอร์เป็นศูนย์รวมความบันเทิงแบบทุกวันนี้ ความบันเทิงในยุคนั้นของผม นอกจากรายการทีวีวันเสาร์ - อาทิตย์แล้ว บรรดาวีดิโอจากร้านเช่าก็เป็นความบันเทิงราคาถูกที่พอจะมีกันได้ ซึ่งวีดิโอที่เรามักจะเลือกเช่า ก็หนีไม่พ้นการ์ตูนและหนังต่างๆ
เด็กใหม่ในเมือง
(ก่อนจะเริ่มบทความ...คุณผู้อ่านรู้สึกไหมครับ ว่าชื่อบทความกับชื่อผม มันคล้องจองกันพิลึก อิอิ...)  ไม่รู้ว่าท่านผู้อ่านจะมีศิลปิน หรือวงดนตรีใดๆ ที่เมื่อมีอัลบั้มใหม่ของพวกเขา / เธอ ออกวางแผง เราก็ไม่รีรอที่จะรีบไปหาอัลบั้มมาเป็นเจ้าของโดยพลันหรือเปล่า สำหรับตัวผม...โมเดิร์นด็อกสร้างความรู้สึกแบบนี้ให้ผมตลอดมา ตั้งแต่สมัยผมควักเงิน 60 บาทจากกระเป๋านักเรียนสีกากีออกจากกระเป๋า และคว้าอัลบั้ม “โมเดิร์นด็อก” (ที่มีชื่อเล่นว่าอัลบั้ม “เสริมสุขภาพ”) จากแผงเทป จนถึงวันนี้ วันที่โมเดิร์นด็อกมีอัลบั้ม “ทิงนองนอย” ออกมาเป็นอัลบั้มใหม่ ความรู้สึกนั้นก็ยังเกิดกับผมไม่แปรเปลี่ยน…