ติช นัท ฮันห์ เล่าไว้ในหนังสือยองท่านตอนหนึ่งว่า มีคนถามว่า เวลาใดเป็นเวลาที่คนเราจะมาความสุขมากที่สุด ท่านตอบว่า เวลานี้ไง เพราะว่าเมื่อเวลาผ่านไปสิบปี ยี่สิบปีข้างหน้า เราจะรฤกถึงวันนี้อย่างมีความสุข นี่เองมันจึงหมายความว่า ทุกวันล้วนเป็นวันแห่งความสุข
สิ้นปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ความจริงมันก็คงเป็นวันเหมือนกับวันอื่นๆ ผ่านมาและผ่านไป คงมีผู้คนส่วนหนึ่งที่ไม่ได้ตื่นเต้น กับเทศกาลปีใหม่ ปีนี้ คราวนี้ ขณะที่ผู้คนต่างหา และเฉลิมฉลองตามแบบตนช่วงเทศกาล พวกเราหลายคน นัดกันที่กลางทุ่งนา หนองจ๊อม แม่โจ้ เชียงใหม่ ทุ่งนาผืนสุดท้ายที่อยู่ใกล้เมืองที่สุด อ้ายไพทูรย์ พรหมวิจิตรว่าไว้อย่างนั้น เมื่อสองปีก่อน ปีนี้ เราเห็นป้ายประกาศขายที่ดิน และข่าวคราวที่มีการขายที่นามากขึ้น ต่อไปผืนนาก็อาจจะไม่มีอีกแล้ว แล้วยังมีตึกรามใหม่ๆ ผิดโผล่ขึ้นมาในละแวกนี้มากขึ้น เมืองรุกถึงกลางทุ่งแล้ว
แต่....อย่างไรก็ตาม วันนี้ ทุ่งนายังอยู่ ..... ค่ำนี้....ฝูงนกกระยางยังบินตัดผ่านฟ้าแม้เราจะเห็นเพียงฝูงเดียวไม่เหมือนเมื่อสองปีก่อน ที่มากันเต็มฟ้า หลายฝูง หรือบางตัวก็ผ่านมาเพียงลำพัง ไม่มีฝูง แต่เรายังเห็นนก แม้ว่าเราจะรู่ว่า อีกไม่นานมันอาจหายไป สองปีก่อนผู้คนมากมายแวะเวียนมา ตลอดช่วงเวลาสี่สิบวัน รอยต่อของปีเช่นกันที่พวกเราปักหลักอยู่ที่นี่ ศิลปินน้อยใหญ่ มิตรสหายผู้ใกล้ชิดกับเจ้าของสถานที่ แสงดาว ศรัทธามั่น ถึงปีนี้เราอยู่กันไม่กี่คน กับภารกิจ ซ่อมสะพาน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเงียบเหงานัก เสียงกบ เขียด แมลงกลางคืนยังอยู่ คืนที่กำลังก้าวสู่การเปลี่ยนศักราช เสียงเพลง แสงเสียงพลุ แสงโคม กึกก้องกระจายอยู่รอบตัวเอา ยังเหมือนเมือสองปีก่อน
สองปีมานี้ สถานที่นี้ต้อนรับผู้คนมากมาย บนชั้นมีภาพใหม่ๆ ทั้งภาพถ่าย ภาพเขียน และบทกวี อันเป็นผลงานของผู้มาเยือน ลานหน้าบ้านที่เมื่อสองปีก่อนเราใช้เป็นที่กางเต้นท์ หรือก่อไฟ ตอนนี้มีต้นไม้และหญ้ารก จากที่เคยกางเตนท์นอน คราวนี้ต้นไม้บางต้นสามารถผูกเปลได้แล้ว เนื่องด้วยการได้ตอนรับผู้คนมาหมายนี่เองมันจึงมีเรื่องราวมากมายที่ปราศจากการบันทึกมีบ้างก็คงเป็นภาพถ่าย และบทกวี แต่เรื่องเล่า และการสนทนาส่วนใหญ่ก็หายไปในทุ่งนี้ คราวนี้ก็ดั่งเดียวกัน เรื่องราวการสนทนาก็ดำเนินไป หลายครั้งหลายหนเรามักจะวกเข้ามาถึงเรื่อง บรรยากาศ ของที่นี่ เมื่อสองปีก่อน แน่นอน...เราพูดถึงมันด้วยความสุข
มีคำหนึ่งที่ผุดโผล่ขึ้นมาในใจ “ซากปรักหักพังของกาลเวลา” วูบแรกรู้สึกอยู่ว่ามันมีความหมายเป็นลบ ก็เลยพยายามหาความหมายของ คำ ซากปรักหักพัง ดั่งโบราณสถานทิ้งซากปรักหักพังเอาไว้ บอกเล่าความงาม และเรื่องราว เช่นนั้นซากปรักหักพังของกาลเวลาก็คงเช่นกัน มันหักพังเพื่อบอกเรื่องราว และความงาม ด้วยว่า เมื่อมีสิ่งใหม่เกิดขึ้น สิ่งเก่าก็ต้องผุพังไป แล้วมันก็คงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร เพราะความงามมันก็ปรากฏอยู่เสมอ ทั้งในความใหม่ และในความเก่า หรือความงามในความทรงจำในซากปรักหักพังนั้น
บ้านดินรักดาว....ณ เวลานี้ ก็ไม่พ้นไปจากความธรรมดาสามัญนั้น ขณะที่ต้นไม้โตขึ้น ลานก็หายไป บ่อที่เคยขุดดินย่ำสร้างบ้านก็เก่าแก่ไม่มีใครก้าวลงไปสัมผัสมันอีก มันจึงเพียงทิ้งรอยเท้ามากมายในทรงจำ ฝนที่สาดซัดมาแล้วสองฤดูฝนทำให้บางมุมบ้านสีผุกร่อน ผนังดินที่สร้างไว้นอกบ้าน เปื่อยสลายไปบ้าง สะพานพังไปเป็นแถบ ต้องค่อยๆ ปะ เพื่อพอใช้งานได้ ..ชั่วคราว นี่ยังไม่รวมถึงวัยของผู้คนที่มากขึ้น แล้วที่สุด ก็มีเด็กเล็ก เกิดใหม่เพิ่มขึ้นที่จะแวะมาเยือน
มีหลายคนที่เขียนถึง สถานที่และเจ้าของสถานที่นี้ ในหลายที่หลายโอกาส เมื่อคราวที่ครบวาระหนึ่งปีผมก็อยู่ที่นี่ โดยไม่คาดหมาย วาระสองปีก็ได้กลับมาอีก คิดอยู่ว่า ปีหน้าจะมาอยู่ที่นี่อีกหรือเปล่าหนอ นอกจากเยี่ยมคารวะเจ้าของสถานที่แล้ว ก็ยังได้กลับมาเสพทรงจำที่ดีงามเนื่องด้วยการสร้างสถานที่นี้นั้นมีผู้คนเกี่ยวข้องด้วยมากมาย และนั่นคือเวลาที่เราต่างมีความสุข ......
คารวะเจ้าของสถานที่ ผู้ที่ผมเรียกจนติดปากว่า ท่านผู้เฒ่า แสงดาว ศรัทธามั่น