Skip to main content
เรื่องเล่าจีนแต่โบราณเรื่องหนึ่ง  เล่ากันมาว่า  ผู้เฒ่าเซียนหมากล้อมขณะกำลังนั่งเดินหมาก เด็กหนุ่มที่เดินหมากอยู่ด้วยถามขึ้นว่า ผู้เฒ่าท่านรอบรู้ทุกเรื่องหรือเปล่า  ผู้เฒ่าบอกไม่รู้  ท่านรู้เรื่องการปกครองหรือเปล่า ผู้เฒ่าบอกไม่รู้  รู้เรื่องกฎหมายหรือเปล่า  ผู้เฒ่าบอกไม่รู้ รู้เรื่องดาราศาสตร์หรือเปล่า ผู้เฒ่าบอกไม่รู้  รู้เรื่องศิลปะศาสตร์หรือเปล่า ผู้เฒ่าบอกไม่รู้  แล้วท่านรู้เรื่องอะไรบ้าง ผู้เฒ่าบอก รู้เรื่องเดินหมาก  เราไม่รู้อะไรนอกจากเรื่องเดินหมาก  มนุษย์ควรมีสิ่งที่ศึกษาอย่างลึกซึ้ง จนแตกฉาน  หากรู้ทุกเรื่อง อย่างละนิดอย่างละหน่อยแล้วก็จะไม่แตกฉานสักเรื่อง  ในที่สุดก็กลายเป็นคนตื้นเขิน.....นั่นอาจเป็นอุปมาอุปมัย

เรื่องเล่าปรัมปรา ประวัติศาสตร์ เล่าชวนหัว นิทาน อะไรทั้งหลายเหล่านี้ที่ส่งผ่านมาจากอดีต  ทำให้เราพบว่า  ปวงปราชญ์บัณฑิตทั้งปวงในกาลสมัยนั้นๆ ล้วนดำรงชีวิตอยู่อย่างมีเวลา  พวกท่านทั้งหลายเหล่านั้นล้วนมีการงานที่มีไว้หล่อเลี้ยงชีวิตเพียงน้อยนิด  และพวกท่านก็ลึกซึ้งในความรู้ที่มี  อย่างนั้นเอง ด้วยภาระที่น้อย ก็ทำให้ท่านทั้งหลายนั้น มีสิ่งที่สำคัญที่สุด  นั่นก็คือเวลา  และอีกส่วนที่สำคัญก็คือท่านเหล่านั้น หรือยุคสมัยนั้นเอื้อให้ชีวิตสัมผัสอยู่กับธรรมชาติ ดิน น้ำ  ต้นไม้ใบหญ้า ป่าเขา ลำธาร  และนั่นคือวิถีแห่งปราชญ์  

นอกจากเรื่องของคน  สิ่งประดิษฐ์  บ้านช่องเรือนชาน ถ้วยโถโอชาม ของใช้ไม้สอย สร้างขึ้นอย่างวิจิตรบรรจง ธรรมชาติที่งาม  ข้าวของเครื่องใช้ที่งาม  นั่นไยจะไม่ใช่หนทางที่นำพาชีวิตไปสู่ความงาม  และด้วยกิจภาระที่น้อยนั้นเอง เวลาจึงมีเหลือเฟือ  นอกจากการสร้างข้าวของเครื่องใช้วิจิตรอลังการแล้ว  ผู้คนยังสามารถสร้างงานศิลปะล้ำค่า ที่ความงามของงานเหล่านั้นบางส่วนยังคงอยู่เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ โน้มนำความดีความงามของผู้คนแม้ปัจจุบัน งานที่บริสุทธิ์ หัวใจผู้สร้างบริสุทธิ์  งานยิ่งใหญ่ราวถูกสร้างจากเทพเทวดา  และบางส่วนเราจะพบว่า งานเหล่านั้นปราศจากลายเซ็น

เวลาที่ไม่เร่งรีบบีบคั้น  ทำให้คนได้มีเวลามองฟ้ามองดิน และรวมถึงมองเห็นผู้คนตามที่เป็นจริง  และแน่นอนว่าการสัมผัสกับธรรมชาติที่งดงามนั่นเองที่ทำให้หัวใจคนอ่อนโยน  หัวใจที่อ่อนโยนทำให้เรามองเห็นการดำรงอยู่อย่างเชื่อมโยง เกื้อกูลของสรรพสิ่ง  มองเห็นความเชื่อมโยง ทำให้เกิดความเข้าใจ  และเมื่อเข้าใจแล้ว หัวใจก็ก่อเกิดความรัก  ความรักจึงก่อให้เกิดการงานเพื่อรับใช้  อย่างนั้นเองที่มนุษย์จึงได้สร้างความงามที่ยิ่งใหญ่ไว้ประดับโลก  

คลื่นพลังของยุคสมัย  เป็นคลื่นของการไม่มีเวลา  ผู้คนพูดคำนี้วันละหลายๆ รอบ  การจะพบกันของผู้คนกลายเป็นเรื่องที่ต้องประกอบด้วยเงื่อนไขมากมาย  การสนทนาของผู้คนกลายเป็นเรื่องที่ต้องจัดการวางแผนล่วงหน้า  ผู้คนให้ความสำคัญกับบางอย่าง  ที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร (เป็นงานหรือเปล่า ไม่แน่ใจ เพราะบางครั้งผู้คนยังไม่มีเวลาให้กับงาน)  และเป้าหมายในชีวิตของผู้คนก็สลับซับซ้อน และมากมายเกินไป   ความจริง.....ความจริง...ลึกลงไปในหัวใจมนุษย์  ต่างก็โหยหาความงาม  ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม

มีผู้คนมากมายบอกเล่าเรื่อง เวลา ว่าง และความงาม  คล้ายใช่ว่าผู้คนจะไม่เห็น ผู้คนจะไม่รู้สึก  และใช่ว่าผู้คนจะไม่ใส่ใจ  เพราะเพียงแต่มองดู  เราจะพบว่ามนุษย์ ต่างกำลังแสวงหาเวลา  เพื่อที่ว่า เวลานั้นจะเปิดพื้นที่ให้มนุษย์เข้าไปสัมผัสความงามอย่างแท้จริง   และแน่นอนว่า มีผู้คนอยู่มากมายในวิถีแห่งการแสวงหาเวลา ที่ได้พบเวลา  และพวกเขาก็พบชีวิตที่งดงาม 

บล็อกของ นาโก๊ะลี

นาโก๊ะลี
บางกอก เมืองหลวงที่รวมของทุกสิ่งในประเทศ ที่รวมของคนหลากหลายเผ่าพันธุ์ ความหลากหลายตามที่ใครต่อใครบอกกล่าวกันว่า นั่นเป็นเรื่องสวยงาม ก็ว่ากันไป บางคนก็อาจเข้าใจได้ตามที่กล่าว แต่บางคนก็แค่ตีฝีปากเพื่อให้ดูดีมีรสนิยม ก็แล้วแต่ต้นทุนของใครของมัน มีความจริงอันหนึ่งก็คือ ในบางกอก ที่ที่มีทุกอย่างให้แสวงหา แต่ก็กลับมีคนจำนวนหนึ่งที่โหยหาอิสรภาพ ซึ่งดูเหมือนเมืองที่มีทุกสิ่งอย่างบางกอก จะไม่มีสิ่งนี้ หรือเปล่า...มั้ง...
นาโก๊ะลี
เดือนธันวาคม....คล้ายกับว่า ผู้คนมากมายล้วนให้คุณค่า ให้ความสำคัญ หรือให้ความหมายต่อเดือนนี้ เป็นพิเศษ อย่างนั้นหรือเปล่า อาจจะด้วยว่ามันเป็นเดือนสุดท้ายของปี และก็เป็นเดือนของฤดูหนาว ที่ผู้คนจะได้ออกเดินทาง จะได้ท่องเที่ยว เป็นเดือนที่มีวันหยุดยาวๆ เป็นเดือนที่ทุกคนคล้ายอยากให้ถึง หรือไม่อยากให้ถึง เพราะนั่นก็เป็นสัญลักษณ์ว่า อีกปีหนึ่งกำลังจะผ่านไปแล้ว สายลมที่นำพาลมหนาวมาหยุดพัดไปบ้างแล้ว ในชนบท สิ่งที่หลงเหลืออยู่คือความเหน็บหนาวที่แทรกอยู่ในอากาศ ดังนั้นแม้ไม่มีลมหนาว ก็ยังหนาว ใต้ถุนเรือน หรือลานบ้าน เป็นที่ก่อไฟให้ล้อมวงผิงไฟ เช้าๆ หรือยามค่ำคืน…
นาโก๊ะลี
  ริมฝั่งน้ำที่ไม้ได้กว้างใหญ่ไพศาลเท่าใดนัก ลมเหนือพัดพาไอหนาวมาถึง และนั่นก็พอก่อให้ผืนน้ำเกิดก่อเป็นคลื่นเล็กๆ เคลื่อนเข้าสู่ฝั่ง หรือแปลเปลี่ยนทิศทางไปตามแรงลม นั่นมิได้มีอะไรพิเศษแตกต่างออกไป หากแต่ว่า ในผืนน้ำอันมิได้กว้างใหญ่เท่านั้นนั้น ปรากฏเศษหญ้าที่ลอยไปตามน้ำและลม เราเห็นแล้ว มันเคลื่อนไปอย่างไม่มีจุดหมาย มันเคลื่อนไปเพราะไม่ใช่ต้นหญ้าอีกต่อไปแล้ว มันไม่มีชีวิต มันไม่มีที่ทางให้หยัดยืน มันมิได้เคลื่อนไหวไปตามจังหวะของตัวเอง มันย่อมไม่เรียกว่ามันดำรงอยู่  
นาโก๊ะลี
สิ่งแรกที่อยากบอกเล่าก็คือเรื่องของความมหัศจรรย์ ติช นัท ฮันห์ บอกว่า ความมหัศจรรย์ของชีวิต ไม่ใช่อยู่ที่การเดินบนน้ำได้ หรือการเหาะได้ แต่การยืน และเดินอยู่บนผืนแผ่นดิน นี่ก็เป็นความมหัศจรรย์แล้ว เช่นนั้นแล้วยามใดที่ชีวิตมีเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้น นั่นก็คงเป็นความมหัศจรรย์ด้วยนั่นเอง
นาโก๊ะลี
การสนทนายามเช้า ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ออนไลน์... มีบางสิ่งขาดหาย และเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย นั่นคือ จดหมาย และไปรษณียบัตร เมื่อเราเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม เริ่มรู้จักมองหญิงสาว เริ่มหลงรักสาว เริ่มเรียนรู้วิธีจีบหญิง ช่วงเวลานั้น การสื่อสารที่ชัดเจนที่สุดที่เราสามารถสื่อสารได้ ว่าก็มากกว่าการพูดคุย เพราะการพูดคุยเรามักเขินอายกันอยู่มาก การสื่อสารที่ว่านั้นก็คือ จดหมาย
นาโก๊ะลี
อันที่จริง นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เราเห็นมาตลอดชีวิตกระมัง แต่เราก็รู้สึกถึงมันอย่างชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ และเราทั้งหลายก็อาจจมอยู่ในสภาพวะเช่นนี้อยู่เสมอ รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง พยายามเปลี่ยนอยู่บ้าง หรือสยบยอมอยู่บ้าง นั่นก็คงสุดแท้แต่วิถีของแต่ละคน ผิดหรือถูกก็อาจจะไม่มีอยู่ ความเหมาะสมของแต่ละคนคงจะเป็นเกณฑ์ได้กระมัง
นาโก๊ะลี
ฉันจะดำรงอยู่เพื่อเธอ                      และฉันเรียนรู้เสมอเป็นอย่างนี้ เราเก็บเกี่ยวเรื่องราวมากมี                มาหลอมเป็นวิถีเป็นทางของเรา ฉันยังได้ยินเสียงของเธอ                 ถ้อยคำนำเสนอมาบอกเล่า พาไปค้นแก่นแท้จากวัยเยาว์             เห็นดวงจิตเก่าซึ่งงดงาม ฉันจะเป็นหนึ่งเดียวกับเธอ  …
นาโก๊ะลี
เราทั้งหลายต่างก็เคยล้มเหลว หรือประสบผลสำเร็จ นั่นก็ไม่ได้มีอะไรแปลกออกไป เราทั้งหลายรับรู้และประสบเช่นนั้นเสมอมาว่ากันไป แต่สิ่งที่เรานึกถึงในช่วงเวลานี้ก็คือ หลายครั้งหลายคราวที่เราประสบความล้มเหลวกับกิจการงานแห่งชีวิต เรามักมองเห็นเหตุปัจจัยมากมายที่เป็นเงื่อนไขปัจจัยอันนำมาสู่ความล้มเหลวนั้น นี่ก็ว่าถึงคนอื่นๆ รอบๆ ตัวเราด้วยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยนั้น คนเดียว และสาเหตุเดียวที่มิได้เกี่ยวข้อง และอยู่นอกเหนือเงื่อนไขนั้นก็คือเรา (หรือเปล่า...มั้ง) หรือว่าเราอาจจะรู้สึกว่าตัวเองก็เป็นสาเหตุหนึ่ง แต่ก็เห็นเป็นสาเหตุอันเล็กน้อยเท่านั้น นี่ก็ว่ากันไปตามสภาพที่พบทั่วไป…
นาโก๊ะลี
เช้าวันนี้....มีหมอกจางๆ ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ความรู้สึกบอกเราว่า นี่กำลังย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ฤดูที่ใครๆ หลายคนนิยมชมชอบ หมอกจางๆ ทำให้ทางเดินในสวนสลัวราง มองไปไกลๆ ในบึงเรือลำหนึ่งลอยลำอยู่ในความสลัวนั้น นับเป็นภาพที่งดงามไม่น้อยนัก พระอาทิตย์สีแดงดวงโตๆ ค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นจากสายหมอก นับเป็นยามเช้าที่เบิกบานและงดงามได้ไม่น้อยทีเดียว
นาโก๊ะลี
“ทำไม” เข้าใจว่า นี่เป็นคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในชีวิต ในกระบวนการเรียนรู้ และการเติบโตของผู้คนส่วนใหญ่ ว่าก็เมื่อเริ่มรู้จักกับการตั้งคำถาม หรือเริ่มสงสัยใคร่รู้เรื่องราวในชีวิต
นาโก๊ะลี
เมื่อยังเด็ก ไม่เข้าใจอะไรนัก เวลาที่เราเห็นสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ที่เรารู้สึกว่ามันเหนือกว่าธรรมชาติ เราจะคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ฝืนธรรมชาติ เช่น การบินของเรือบิน เราคิดว่านั่นเป็นความพิเศษที่มนุษย์สร้างขึ้น แล้วยังมีสิ่งต่างๆ มากมาย ทั้งรถยนต์ โทรทัศน์ วิทยุ ไฟฟ้า ทั้งหลายทั้งปวง ที่เรารู้มาว่ามันเป็นผลผลิตทางวิทยาศาสตร์ และเราก็คิดว่า นั่นไม่ได้เป็นไปโดยธรรมชาติ มันคือความเก่งของมนุษย์ที่สร้างมันขึ้นมา
นาโก๊ะลี
แผ่นดินกี่แดนใด               มีเอาไว้ให้พักพิง ยามเหนื่อยได้แอบอิง         หลบมาพักเพื่อฟื้นฟู ออกไปจากบ้านเก่า            จากวัยเยาว์ไปเรียนรู้ เติบโตค่อยมาดู                 ผืนแผนดินแห่งวันวาน หรือจากแล้วไปลับ             เดินทางกลับเลยทางผ่าน เป็นเวลาชั่วกาลนาน           ที่ลับล่วงแล้วพ้นเลย…