Skip to main content

หลังการจากไปของลัทธิจักรวรรดินิยมฝรั่งเศส ประเทศคองโกก็ประสบกับความวุ่นวายเพราะชนชั้นนำแย่งชิงอำนาจกันเอง กระทั่งได้ผู้นำที่เข้มแข็งจนจัดตั้งระบอบ “ปฏิวัติ” ที่วางรากฐานอยู่บนสิ่งที่เรียกว่า “ลัทธิสังคมเชิงวิทยาศาสตร์”


ระบอบการปกครองใหม่มาพร้อมกับกติกากฎเกณฑ์และสัญลักษณ์ใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น เพลงชาติ ชื่อประเทศ ธงชาติกลายเป็นสีแดง มีการเพิ่มดาว ค้อน เคียว มีการห้ามสวดมนต์ ร้องเพลง และห้ามคิด จะเดินทางไปไหนมาไหนต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานของทางการ


ฟังดูคล้ายกับยุคสมัยแห่งการปฏิวัติวัฒนธรรมในสมัยจอมพลป. พิบูลสงคราม ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและสัญลักษณ์ทางการเมืองอย่างมโหฬาร ทั้งควบคุมตั้งแต่การแสดงออกภายนอกหัวจดเท้าไปจนถึงการคิด


แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนผู้นำ หรือเปลี่ยนระบอบการปกครองก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรดีขึ้นมากนักเพราะประชาชนยังอยู่ภายใต้การควบคุมบังคับอันเข้มงวดเหมือนกัน


ในบริบทของการเมืองไทย ครั้นพอประชาชนจะมีสิทธิมีเสียงขึ้นมาบ้าง ก็จะเจอกับสิ่งที่เรียกว่า “รัฐประหาร” เพื่อนำอำนาจกลับไปให้กลุ่มศักดินาหรือ “ตุลาการภิวัฒน์” ที่ยกการตัดสินใจและวิจารณญาณให้กับตุลาการไม่กี่คนซึ่งสามารถตีความกฎหมายได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องยึดหลักการใด ๆ หรือไม่ก็จะเจอกับหลัก 70 : 30 ของกลุ่มพันธมิตร ฯ ที่ยิ่งพาประชาชนหนีห่างไปจากเสรีภาพในการจัดการดูแลชีวิตของตนเอง


อารมณ์ขันแห่งวรรณกรรมเล่มนี้ได้ทำให้ระบอบการปกครองทั้งใหม่ และเก่า กลายเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่น่าขำขันตามสายตาของเด็กที่มองเห็นความไร้สาระของสิ่งที่เรียกว่า “การเมือง” ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้ประชาชนเห็นคุณงามความดีของท่านผู้นำ หรือพิธีกรรมต่าง ๆ ที่จะยกระดับให้การเมืองเป็นอะไรที่ “ศักดิ์สิทธิ์”


เราลองมาดูความไร้สาระของการเมืองซึ่งประดิดประดอยในเรื่องของการใช้ภาษาเสียจนเลยเถิด หากเป็นระบอบกษัตริย์นิยม การใช้ภาษาก็จะวิจิตรบรรจงจนยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจและเข้าถึง ส่วนระบอบสังคมนิยมก็น่าขันไปอีกแบบ


ผมอยากได้สุนทรพจน์ที่ไพเราะและมีพลัง ! เริ่มจากสรรเสริญท่านผู้นำที่ทำให้ประเทศของเรากลายเป็นสวรรค์น้อย ๆ ท่านผู้นำสันติภาพมาสู่จิตวิญญาณ ท่านผู้คัดท้ายนาวาพาประเทศรอดพ้นจากพายุร้ายและความปั่นป่วนที่เกิดจากผู้สนับสนุนลัทธิทุนนิยมอันสับสนและพวกปฏิกิริยา ท่านผู้เป็นบุรุษแห่งมวลชน บุรุษผู้ทำจริง บุรุษผู้กุมชะตา...” (หน้า 118)


ไม่เฉพาะแต่การเมืองเท่านั้นที่ถูกมองด้วยสายตาแห่งความไม่เข้าใจของเด็กชายมาตาปารี แต่ศาสนาและความเชื่อต่างถิ่นก็เป็นสิ่งที่แปลกปลอมด้วยเช่นกัน ความพยายามที่จะ “ฝัง” ศาสนาต่างถิ่นลงไปให้คนพื้นเมืองเป็นสิ่งที่เหลวไหลไร้ผล


บาทหลวงดูเหมือนจะเป็นตัวละครที่กลายเป็นโจ๊กไปตลอดทั้งเรื่อง บาทหลวงเป็นตัวแทนของศาสนจักรในดินแดนคองโก แม้นเมื่อจักรวรรดิฝรั่งเศสถอนตัวออกไปแล้ว บาทหลวงก็ยังคงอยู่ต่อไป และได้พบกับความพิลึกพิลั่นเมื่อต้องเผชิญกับวัฒนธรรมพื้นเมืองที่เข้มแข็งเข้มข้น ในขณะที่อำนาจของจักรวรรดิฝรั่งเศสอ่อนลง


สมัยนั้นมีความเชื่อที่ฝังรากลึกในประเทศของเราว่าจะต้องไม่ยอมให้บาทหลวงที่เราทะเลาะด้วยออกจากบ้านไปโดยไม่กระตุกผ้าคาดเอวของบาทหลวงเอาไว้ ไม่อย่างนั้นแล้วบาทหลวงจะเอาวิญญาณของเราไปด้วย เท่ากับว่าชีวิตของเราเป็นอันจบสิ้นหรือไม่เราก็จะมีปิศาจไล่ตามจนถึงวันตาย จู่ ๆ ปู่ก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ เมื่อเห็นผ้าคาดเอวสีดำห้อยต้องแต่งอย่างท้าทายอยู่ที่เอวซึ่งกำลังขยับเข้าใกล้ประตู ปู่ก็พุ่งเข้าใส่ ผลักเด็กร้องเพลงประสานเสียงสองคนล้มทับกลุ่มผู้มีศรัทธาจนทำเอาน้ำตาเทียนหยดใส่ ปู่กระตุกผ้าเต็มแรงด้วยความโกรธ แทนที่ผ้าคาดเอวจะหลุดเฉย ๆ ชุดของหลวงพ่อกลับขาดติดมือมาด้วยไม่น้อยเลย หลวงพ่อหันมาอย่างตกใจและเมื่อเห็นว่าชุดที่สวมใส่ฉีกขาดและเผยให้เห็นกางเกงชั้นใน จึงใช้ไม้กางเขนที่ถืออยู่ในมือฟาดหัวปู่ ปู่ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดและปล่อยหมัดอัปเปอร์คัตเล็งไปที่คางไว้เคราของคู่ต่อสู้ โชคดีที่มีคนรั้งปู่ไว้ทัน เพราะหมัดของปู่เฉียดขาดกรรไกรของหลวงพ่อไปหน่อยเดียว” (หน้า 33-34)


การปะทะกันของปู่กับบาทหลวง เป็นการปะทะกันระหว่างสองความเชื่อซึ่งดูจะไร้เหตุผลพอกันตามความคิดแบบสมัยใหม่ อย่างไรก็ตาม จากน้ำเสียงของผู้เล่า ความเชื่อพื้นเมืองซึ่งแนบแน่นกับชีวิตก็ดูจะเป็นสิ่งจำเป็นมากกว่าเมือเทียบกับ “ความเชื่อนำเข้า” ที่ประดักประเดิดสิ้นดี


ปู่ของมาตาปารีเป็นตัวแทนของโลกเก่าซึ่งกำลังปลาสนาการไปพร้อมกับการมาถึงของพิซซาและโคคาโคลาแต่คำสอนของปู่นั้นมีความหมายอย่างล้ำลึกต่อเด็กน้อยมาตาปารี ด้วยว่ามันคือจิตวิญญาณแห่งความเป็นคองโก ปู่สอนว่า


จักรวาลก้าวไปข้างหน้าภายใต้ปริศนา และคนเราเกิดมาก็กิน เต้นรำ หลับนอนกันแล้วก็ใช้เวลาที่เหลือพยายามล้วงความลับที่ซุกซ่อนภายใต้รูปลักษณ์ที่ตามองเห็น เพราะเหตุนี้คนถึงเขียนหนังสือ ส่วนคนที่เขียนหนังสือไม่เป็นก็เรียนรู้จากป่า ฟังเสียงสัตว์ขุดดินหรือจ้องมองดวงดาว จงหัดอ่านหนังสือไว้นะหลานเอ๊ย จงหัดอ่านทั้งหนังสือที่มนุษย์เขียนและจักรวาลเขียนไว้แล้วก็หมั่นเรียนรู้ จงเรียนรู้จากปราชญ์อยู่เสมอ

 

 

บล็อกของ นาลกะ

นาลกะ
วรรณกรรมที่นำไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ หลายครั้งมักถูกวิจารณ์ว่าทำไม่ได้ดีเท่าตอนเป็นหนังสือ แต่ “ผีเสื้อและดอกไม้” ต่างออกไป สวยงามในคราที่เป็นหนังสือและสมบูรณ์แบบแทบไร้ที่ติเมื่อเป็นภาพยนตร์ที่ออกฉายประมาณปี 2528 ด้วยผลงานการกำกับของยุทธนา มุกดาสนิท และรับบทนำโดย สุริยา เยาวสังข์ ซึ่งเคยมีชื่อเสียงเปรี้ยงปร้างอยู่ระยะหนึ่งก่อนจะเงียบหายไป ผมเคยอ่านวรรณกรรมเรื่องนี้ตั้งแต่เรียนมัธยม เพราะเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาที่อาจารย์ภาษาไทยบังคับให้อ่านโดยให้เลือกเอาระหว่าง “ข้างหลังภาพ” กับ “ผีเสื้อและดอกไม้” ผมเลือกอ่าน “ผีเสื้อและดอกไม้” ด้วยเหตุผลที่ว่า “ข้างหลังภาพ” เป็นเรื่องเกี่ยวกับรัก ๆ ใคร่ ๆ…
นาลกะ
  "ผีน้อยโลกมายา" คือวรรณกรรมเยาวชนรางวัลพระราชทานแว่นแก้ว โดยได้รับรางวัลชมเชยจากการประกวดประจำปี 2544 เขียนโดย วันทนีย์ วิบูลกีรติ และจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊ค "ผีน้อยโลกมายา" เล่าถึงเรื่องราวของผีน้อยขี้สงสัยที่อาศัยอยู่ในดินแดนมายาอันเป็นดินแดนของผีที่ความทุกข์ไม่อาจกล้ำกราย ผีน้อยมีพ่อเป็นพระจันทร์และแม่คือดวงดาว มีพี่สาวใจดีชื่อพี่ดารา แม้ว่าในดินแดนมายาจะมีความสงบสุขและเสียงหัวเราะ แต่ความช่างสงสัยใคร่รู้ทำให้ผีน้อยยังรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี
นาลกะ
เรียวรุ้งเหนือทุ่งกว้าง เป็นวรรณกรรมเยาวชนรางวัลพระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โดยนำงานที่ชนะการประกวดใน โครงการพัฒนาทักษะด้านการเขียนวรรณกรรมสำหรับเยาวชน มารวมเล่ม โครงการนี้เกิดจากการร่วมมือของกรมการศึกษานอกโรงเรียน กระทรวงศึกษาธิการ กับบริษัทนานมี บุ๊ค จำกัด โดยได้อัญเชิญวรรณกรรมเยาวชนในพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระเทพเรื่อง แก้วจอมซน และ แก้วจอมแก่น มาจุดประกาย
นาลกะ
"ย่ำสวนป่า" เป็นเรื่องเล่าจากชนบทที่มีกังวานเสียงแห่งความภาคภูมิใจกับการที่ได้เกิดมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมของสวนป่าที่มีสิ่งให้เรียนรู้ได้ไม่รู้จบ และมีรูปแบบชีวิตที่สัมพันธ์เกี่ยวโยงอยู่กับความเป็นไปของธรรมชาติผู้เล่าเรื่องบอกไว้ในตอนท้าย หลังจากที่ปลดปล่อยความทรงจำวัยเด็กให้ออกมามีชีวิตวิ่งเต้นบนหน้ากระดาษเสร็จแล้วว่า"มันไม่ใช่ความอาลัยอาวรณ์อีกต่อไป แต่เป็นความทรงจำแสนสนุกที่ผมไม่คิดจะลืมเลือน ผมจะจดจำไว้ว่าที่นี่... คือบ้านเก่าของผม..." (หน้า 118)
นาลกะ
ความโหดร้ายของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวที่ทำให้มียอดคนตายถึง 6 ล้านคนนั้นมีประเด็นและเรื่องราวให้พูดถึงได้ไม่รู้จบกระทั่งปัจจุบัน ศิลปะภาพยนตร์และวรรณกรรมเรื่องแล้วเรื่องเล่าที่นำเอาการฆาตกรรมหฤโหดมาเสนอในแง่มุมต่าง ๆ เพื่อเป็นอุทาหรณ์ถึงความไร้เหตุผลของมนุษย์ที่นำไปสู่การทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งมนุษย์ด้วยกันเอง “ชะตาลิขิต” วรรณกรรมแปลจากสำนักพิมพ์นานมีบุ๊ค เป็นอีกเล่มหนึ่งที่พูดถึงเรื่องนี้โดยตรงและพรรณนาสภาพเหตุการณ์ที่เกิด ขึ้นในตอนนั้นไว้อย่างละเอียดลออทั้งนี้เพราะตัวผู้เขียนหนังสือเล่มนี้มี ประสบการณ์ตรงจากการถูกกวาดต้อนเข้าไปอยู่ในค่ายกักกันตั้งแต่เด็ก…
นาลกะ
หนังสือเรื่อง “ลูก(ผู้)ชายหัวใจคุณพ่อ” หรือ “Man and Boy” ที่เขียนโดย Tony Parsonsเป็นหนึ่งในหนังสือวรรณกรรมที่อยากแนะนำให้อ่านโดยเฉพาะคนที่เป็นพ่อหม้าย/แม่หม้าย หรือคนที่กำลังจะเป็นพ่อหม้าย/แม่หม้ายหรือคนที่กำลังคิดจะแต่งงาน หรือคนที่กำลังจะมีตัวเลขอายุเข้าสู่ 30 หนังสือเปิดตัวอย่างน่าสนใจในบทที่หนึ่ง โดยบอกถึงสถานการณ์ที่ควรหลีกเลี่ยง เมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญของการเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวตอนอายุสามสิบว่า “มีสัมพันธ์รักข้ามคืนกับเพื่อนร่วมงาน” “ซื้อของฟุ่มเฟือยที่แทบไม่มีปัญญาซื้ออย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง” “ถูกภรรยาทิ้ง” “ตกงาน” “รับภาระเลี้ยงลูกแต่เพียงลำพังโดยกะทันหัน”…
นาลกะ
ไม่กี่วันก่อน ผมได้มีโอกาสดูภาพยนตร์เรื่อง "Lassie Come Home " ทางเคเบิลทีวี ซึ่งน่าสนใจและน่าประทับใจดี จึงหาหนังสือมาอ่านพบว่าหนังสือเล่มนี้ได้แปลเป็นไทยนานแล้ว โดย ร.ท.นิพนธ์ กาบสลับพล และจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สุขภาพใจ "แลสซี่" ถือกำเนิดจากปลายปากกาของนักเขียนเชื้อสายอังกฤษ-อเมริกัน เอริค ไนท์ (Eric Knight) ในรูปแบบเรื่องสั้น ตีพิมพ์ลงใน Saturday Evening Post เมื่อปี 1938 และผู้เขียนขยายเป็นนวนิยายในปี 1940 ซึ่งประสบความเป็นอย่างดี Lassie ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์หลายครั้งหลายหนรวมทั้งเป็นซีรี่ส์ทางจอโทรทัศน์โดยมีดาราฮอลลีวู้ดระดับตำนานนำแสดง ไม่ว่าจะเป็น อลิซาเบธ เทย์เลอร์, มิคกี้ รูนี่ย์,…
นาลกะ
วรรณกรรมเยาวชนส่วนใหญ่ มักมุ่งเน้นให้เยาวชนขยันหมั่นเพียรในการศึกษาเล่าเรียน เรียนให้จบชั้นสูง ๆ เพื่อที่จะได้มีอาชีพการงานที่ดีในอนาคต หรืออดทนกัดฟันสู้ต่อความยากลำบาก ต่อความด้อยโอกาสกระทั่งเอาชนะได้ในที่สุด กล่าวอีกแบบก็คืออดทนทำดีเข้าไว้เพื่อตัวเองนั่นแหละที่จะได้ดี หรือถ้าไม่เป็นไปตามลักษณะข้างต้น วรรณกรรมเยาวชนที่เขียน ๆ กันก็มักจะเน้นการใช้จินตนาการจนหลุดลอยจากโลกแห่งความเป็นจริง กลายเป็นวรรณกรรมเยาวชนเชิงแฟนตาซีที่อะไร ๆ ก็ดูสวยงามไปหมด เหมือนเป็นการพาเยาวชนคนอ่านหลบหนีไปจากโลกจริงสู่โลกจินตนาการของภาษา แต่วรรณกรรมเรื่อง “กะลาสีเรือผู้กล้าหาญ” ประพันธ์โดย “จังว่าง”…
นาลกะ
น่าดีใจที่สำนักพิมพ์ “นานมีบุ๊ค” พิมพ์วรรณกรรมเยาวชนออกมาอย่างต่อเนื่องโดยคัดกรองเอาจากการประกวดรางวัล “แว่นแก้ว” แม้ว่าวรรณกรรมที่ผ่านเข้ามาบางเรื่องอาจไม่อยู่ในระดับที่ดีนัก นอกจากจะเป็นการปลุกการอ่านและการเขียนวรรณกรรมเยาวชนให้กระเตื้องขึ้นบ้างแล้วยังถือเป็นการให้ความสำคัญกับเด็ก ๆ ที่น่ารักน่าชังในอีกโสดหนึ่งด้วย “กระเบนยักษ์คู่อาฆาต” ผลงานของ “เพชร บุตรทองพูน” เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผ่านคัดกรองจากรางวัลวรรณกรรมเยาวชนพระราชทาน “แว่นแก้ว” ซึ่งยืนยงและหนักแน่นในการสร้างสรรค์วรรณกรรมเยาวชนมานานหลายปีจนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นรางวัล “แว่นแก้ว” เป็นสถาบันทางวรรณกรรม…
นาลกะ
วรรณกรรมเยาวชนรางวัลพระราชทาน “แว่นแก้ว” เรื่อง “คำใส” นี้ได้รับรางวัลชนะเลิศประจำปี 2546 ประเภทนวนิยาย ส่งเข้าประกวดโดย “วีระศักดิ์ สุยะลา” นักเขียนหน้าใหม่จากจังหวัดอุบลราชธานี และจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ “นานมีบุ๊ค” สำนักพิมพ์ที่เล็งเห็นความสำคัญของวรรณกรรมเยาวชน จุดเด่นของวรรณกรรมเรื่องนี้ คือ การฉายให้เห็นถึงความเป็นไปของชนบทภาคอีสานที่กำลังอยู่ในกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลง เป็นความเปลี่ยนแปลงที่สัมพันธ์อย่างแยกไม่ออกกับโลกภายนอกหมู่บ้าน ดังนั้นเราจึงได้พบว่า เมื่อมีปัญหาทางการเงิน ตัวละครบางตัวจึงตัดใจทิ้งครอบครัวไว้เบื้องหลังเพื่อเข้ามาทำงานขับรถแท็กซี่ในกรุงเทพ ฯ…
นาลกะ
“รุ่งอรุณ สัมปัชชลิต” แปลเรื่อง จากเถ้าธุลี จากต้นฉบับ Out of the Ashes ที่เขียนโดย “Michael Morpurgo” นักเขียนชาวอังกฤษที่เป็นที่รู้จักมากคนหนึ่งในฐานะนักเขียนวรรณกรรมเยาวชน จนถึงปัจจุบัน “Michael Morpurgo” มีผลงานทั้งหมด 95 เรื่อง ได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ ทั่วโลกกว่ายี่สิบภาษาและนำไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ห้าเรื่องด้วยกัน เขาได้รับรางวัลทางด้านวรรณกรรมเยาวชนมากมาย เช่น รางวัล The Children’s Book Award, The Whitbread Award นอกจากนี้ เขายังได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีเกียรติสูงสุดด้านวรรณกรรมสำหรับเด็กของประเทศอังกฤษ
นาลกะ
หลังการจากไปของลัทธิจักรวรรดินิยมฝรั่งเศส ประเทศคองโกก็ประสบกับความวุ่นวายเพราะชนชั้นนำแย่งชิงอำนาจกันเอง กระทั่งได้ผู้นำที่เข้มแข็งจนจัดตั้งระบอบ “ปฏิวัติ” ที่วางรากฐานอยู่บนสิ่งที่เรียกว่า “ลัทธิสังคมเชิงวิทยาศาสตร์” ระบอบการปกครองใหม่มาพร้อมกับกติกากฎเกณฑ์และสัญลักษณ์ใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น เพลงชาติ ชื่อประเทศ ธงชาติกลายเป็นสีแดง มีการเพิ่มดาว ค้อน เคียว มีการห้ามสวดมนต์ ร้องเพลง และห้ามคิด จะเดินทางไปไหนมาไหนต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานของทางการ ฟังดูคล้ายกับยุคสมัยแห่งการปฏิวัติวัฒนธรรมในสมัยจอมพลป. พิบูลสงคราม ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและสัญลักษณ์ทางการเมืองอย่างมโหฬาร…