Skip to main content

การขึ้นภูกระดึงอย่างไร้ความพร้อม กลับทำให้ฉันได้สิ่งดีๆมากมาย

คุณนิมิตร เจ้าหน้าที่ป่าไม้ตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราว ได้เขียนจดหมายน้อยอย่างไม่เป็นทางการ ให้ฉันถือไปยื่นให้กับเจ้าหน้าที่บนภู ที่เป็นเพื่อนกัน ในจดหมายเขียนว่า
“ช่วยดูแลคนที่ถือจดหมายฉบับนี้ด้วย ตามสมควร”

ที่อาคารลงทะเบียนบนภู ฉันยื่นจดหมายให้กับเจ้าหน้าที่ คะเนจากหน้าตา เขาคนนั้นคงมีอายุพอๆกับฉัน เมื่ออ่านจบเขามองหน้าฉันอย่างเฉยเมย บอกว่าบ้านพักเต็มหมดแล้ว เหลือแต่เต๊นท์  ฉันบอกว่าฉันตั้งใจจะพักเต๊นท์อยู่แล้ว

“มากันกี่คน” น้ำเสียงห้วนๆ  ไม่รู้ทำไม
“คุณเห็นกี่คนล่ะคะ คุณเห็นแค่ไหนก็แค่นั้นล่ะค่ะ” ฉันตอบกึ่งยียวน แต่ในใจอยากให้เขาเห็นเป็นหลายคนเสียนัก บางทีอาจมีใครบางคนตามฉันมาก็ได้

เพราะมีเรื่องลี้ลับเกิดขึ้น ในคืนที่ฉันมาถึงเชิงภู

ฉันมาถึงสำนักงานที่เชิงภูกระดึง ราวๆ สี่ทุ่ม คุณนิมิตรผู้ใจดีชวนให้ไปนอนที่บ้านของเขา บอกว่ามีลูกและภรรยาอยู่ด้วยไม่ต้องกังวล ฉันขอบคุณ บอกว่าขอที่พักง่ายๆ ตื่นเช้าฉันจะได้ขึ้นภูทันที

ที่บ้านพักรับรองหลังใหญ่ ยังมีห้องว่างแต่แขกที่เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ยึดครองห้องไปสองห้อง เหลือหนึ่งห้องสำหรับฉัน ประเมินสถานการณ์ฉันคงไม่ได้หลับแน่ เพราะพวกเขากำลังตั้งวงเฮฮากันสุดเหวี่ยง จึงได้มาพักที่เรือนพักของยาม อยู่ใกล้สำนักงาน แต่อยู่ไกลกลุ่มบ้านพักทั้งหลายพอสมควร ชวนวังเวงใจ แม้มีไฟฟ้าสลัวๆกระจายทั่วพื้นที่

เรือนพักยาม มีพื้นที่ขนาด 1 X 2 เมตร แค่เปิดประตูแล้วล้มตัวลงนอน  แต่เจ้ากรรมแม้กลอนประตูก็ยังไม่มี ด้วยความง่วงและอ่อนเพลีย  ที่นอนบางๆกลิ่นสาบๆ ก็พอทนได้(อยู่แล้ว) เอากระเป๋าเสื้อผ้าวางกั้นประตู ถ้าใครเปิดเข้ามาอย่างน้อยกระป๋าก็ต้องส่งเสียงก่อน

ราวตี 4 กว่าๆ ฉันเห็นผู้ชายแต่งกายด้วยเครื่องแบบป่าไม้ สีเขียวอ่อน หน้าตาดี ท่าทางขี้เล่น อายุราวๆ 28 ปี พยายามเปิดประตู เหมือนจะหยอกล้อฉัน พอฉันตื่นเขาก็เดินหนีไป โดยจูงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งไปด้วย  เธอนุ่งชุดกระโปรงติดกัน ผมยาวมัดห้อยย้อยเป็นหางม้า ดูน่ารัก ฉันตกใจว่าทำไมเขามาแกล้งฉัน ดึกดื่นอย่างนี้ทำไมไม่รู้จักนอนกันอีก ด้วยความโมโหเล็กน้อย จึงเปิดประตู ตั้งใจว่าจะตะโกนถามว่า มาล้อเล่นกันทำไม

ฉันทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่ง..รู้ตัวอีกที อ้าว....ฝันนี่นา  ขยับประตูดู ทุกอย่างยังปกติ แต่ภาพเมื่อกี้นี้เหมือนจริงมาก จนกระทั่งฉันไม่เชื่อว่าตัวเองฝัน แต่ก็ล้มตัวลงนอนพลางสวดมนต์แผ่เมตตา คิดในใจว่าสงสัยจะเจอดี (ฉันจะสวดมนต์ก่อนนอนและนังสมาธิเป็นประจำ ในทุกสถานที่โดยไม่มีข้อยกเว้น แต่จะสวดมนต์สั้นหรือยาว ขึ้นอยู่กับความสะดวก

เช้าตรู่ คุณนิมิตร เอาเครื่องบันทึกเสียงที่เขารับไปซ่อมให้ (เพราะสายพานขาด) มาให้ เพราะฉันจำเป็นต้องใช้ทำงานข้างบน (นี่เป็นอีกคนที่จำไม่ลืมในน้ำใจ)

ฉันถามเขาว่า เคยมีเจ้าหน้าที่ป่าไม้ และเด็กผู้หญิงน่าตาน่ารักวัยประมาณ 7 ขวบ เสียชีวิตที่นี่บ้างหรือเปล่า คนถูกถามมองหน้าฉันแบบตกตะลึง

“เจอดีเข้าแล้วเหรอ” คราวนี้ฉันตะลึงบ้าง เมื่อเขาบอกว่า
“มีครับ เขายิงตัวตาย ยิงลูกสาว ยิงเมียก่อน แล้วยิงตัวเอง แต่ว่าเมียรอด”.......โอ้...สวรรค์ ฉันคราง
“เขาน้อยใจ ทะเลาะกับเมียระแวงว่าเมียมีผู้ชายคนอื่นน่ะครับ”

คุณนิมิตรบอกว่า มีนักท่องเที่ยวที่โชคดีได้เจอพ่อลูกเดินเล่นอยู่แถวนี้เหมือนกัน

ฉันเดินขึ้นภูกระดึงอย่างช้าๆ สวดมนต์แผ่เมตตาแก่วิญญาณพ่อลูกและวิญญาณทั้งหลายตามรายทาง ที่ฉันรู้มาว่า นานมาแล้วมีดินถล่มตรงผาสุดท้ายก่อนขึ้นสันแปภูกระดึง นักศึกษาจากจุฬาลงกรณ์ สังเวยชีวิตมาแล้ว

นี่คือเหตุที่ฉันตอบคุณเจ้าหน้าที่ไปอย่างยียวนเล็กๆ ในใจอยากให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันจะได้อุ่นใจในการเผชิญโชคบนภูกระดึง

การมีใครบางคนอารักษ์ขา โดยที่คนอื่นมองไม่เห็น ไม่เลวนะ...

เอาล่ะเข้าเรื่อง...

สรุปว่าการทำงานหนนี้ ฉันเก็บภาพ เก็บข้อมูลบนภูกระดึงอย่างสบายๆ เพราะเมื่อเริ่มกางเต๊นท์  แว่วเสียงเจ้าหน้าที่ตะโกนถามกันว่า
“ไหนล่ะผู้หญิงที่ขึ้นมาคนเดียว”

ฉันเงยหน้าจากการปักสมอดิน ตะโกนตอบไปว่า
“อยู่นี่ค่ะ”

จากนั้น ทุกค่ำคืน เจ้าหน้าที่หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทั้งหลาย จะมานั่งผิงไฟ ดื่มกาแฟ พูดคุยที่เต๊นท์ฉัน สลับกับการเดินสำรวจดูแลความสงบแก่นักท่องเที่ยวจำนวนหลายพัน (อาจถึงหมื่น)

พวกเขาสุภาพ แม้บางคนจะถามตรงๆว่า
“ไม่กล้วหรือ ที่มาคนเดียว” ฉันบอกว่าคนเดียวที่ไหน คนเป็นพันๆ นั่งๆนอนๆ อยู่บนนี้ ยั้วเยี้ยไปหมด เขาหัวเราะ
“ไม่เหงาหรือ” นั่น...บางคำถาม ที่ต้องคิดก่อนตอบ และฉันก็ตอบว่า
“มาทำงาน ไม่มีเวลาเหงา ไม่มีเวลากลัว” คนถามคงพอใจในคำตอบ ฉันจึงได้รับการดูแลดุจญาติมิตรตลอดเวลา 5 วันที่อยู่บนนั้น

ยามเดินป่า ไปดูต้นน้ำพอง นักท่องเที่ยวทั่วไปต้องจ่ายค่าทัวร์คนละประมาณ 200 บาท (ถ้าจำไม่ผิด) ต้องห่อข้าวไปกินเอง และเผื่อเจ้าหน้าที่ที่นำด้วย ส่วนฉัน..เจ้าหน้าที่บอกว่า ไม่ต้องครับผมเตรียมไว้ให้แล้วทุกอย่าง

ฉันมีหน้าที่ถ่ายรูปเก็บข้อมูล แม้แต่ขาตั้งกล้องก็มีคนแบกให้  ทุกอย่างล้วนสะดวกดายเพราะฉันมาดี จึงได้เจอกับคนดีๆ

แม้แต่เรื่องเสื้อผ้า หรือผ้าห่ม ที่ต้องไปเช่าจากร้านอาหารของคุณป้ามะลิ เธอยังให้ยืมผ้าซิ่นส่วนตัวอีกสองผืน เมื่อรู้ว่าฉันมีเสื้อผ้าสำรองเพียงชุดเดียว

ต้องขอบคุณขาข้างหัก..ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ฉันอยากปีนภูกระดึง จนเจอสิ่งดีๆ ผู้คนดีๆ และบางอย่างที่บอกไม่ได้ว่าดีหรือไม่ดี

แต่สิ่งแรกที่ฉันทำเมื่อกลับลงมาข้างล่าง  คือ...สังฆทาน

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
  ภูเขาหัวโล้นลูกนี้ อยู่ในเทือกเดียวกับภูหลวง จังหวัดเลย "ถามจริงๆ เถอะ คนแบบเราๆ นี่ ถ้าไปเป็นคนทำสวนจะหาเลี้ยงตัวเองได้จริงหรือ"เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งถามฉัน ในวันที่ฉันยังไม่ได้มีอาชีพทำสวน คงเป็นคำถามเพื่อนำไปสู่การสนทนาเชิงวิเคราะห์ว่าความคิดที่จะพึ่งตนเองจากอาชีพนี้เป็นไปได้จริงหรือ และฉันจำได้ว่าคำตอบของตัวเอง คือ"ไม่ได้" "ไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าการพึ่งตนเองหมายถึงการตัดเส้นเลือดทางการเงินจากอาชีพอื่นโดยสิ้นเชิง สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นปลูกต้นไม้ในปีแรกๆ และไม่มีเงินเก็บ หรือไม่มีคนสนับสนุนทางการเงิน คงไปไม่รอด"ฉันตอบจากประสบการณ์ที่เห็นปัญญาชนหลายคนอยากจะเป็นชาวไร่…
เงาศิลป์
ยามค่ำคืนที่เหน็บหนาวออกปานนี้ หนาวจนต้องสวมเสื้อกันหนาวหนาๆ ถึงสองชั้น หวังทนทานต่อความแหลมคมของไอหนาวที่แทรกซอนเข้ามาบาดเนื้อ เสื้อผ้าอาจปกป้องร่างกายไว้ได้บ้าง แต่บางความหนาวที่แทรกซึมเข้ามาได้กลับกระพือความร้อนรุ่มภายในให้ลุกโชน  ภาพถ่ายสุดท้ายของเจ้าเก๋า ในวันก่อนจะจากไปเพียงไม่กี่วัน สิ้นสุดเสียทีอีกหนึ่งชีวิต ไม่ต้องทรมานอีกต่อไป เพราะพิษของสารเคมีที่เข้าไปทำลายตับไตไส้พุงจนหมดสิ้น ในเวลาสี่วัน วันสุดท้ายของมันกับความรู้สึกห่วงใยของฉัน มันคงรับรู้ได้ นาทีสุดท้าย มันจึงสะท้อนลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงทิ้งตัวลงบนตักฉัน แล้วจากไปนิรันดร์
เงาศิลป์
พวกมันพากันเลื้อยไปบนผิวดิน ในสภาวะอากาศอุ่นๆ คล้ายทุรนทุรายรีบร้อนที่จะไปที่ไหนสักที่ แต่กลับหลงทางวกวนจนขาดใจตายไปในที่สุด เพียงชั่วเวลาไม่ถึงชั่วโมงยามนี้ ไอแดดไม่ผ่าวร้อนอีกต่อไป ละไอหมอกที่ห่อหุ้มรอบๆตัว สร้างความมัวซัวทั้งแนวป่า มันจึงปกป้องผิวดินให้เย็นฉ่ำ และเก็บความชุ่มชื้นไว้ด้วยหยาดน้ำค้าง แต่ทำไมไส้เดือนผู้รักดินจึงคิดทิ้งถิ่นอาศัย ดิ้นรนไปสู่ความตายเช่นนี้ด้วยเล่าสำหรับฉัน รอยต่อของฤดูฝนชนฤดูหนาว ธรรมชาติมีของกำนัลที่น่ารักมามอบให้มากมาย โดยเฉพาะแม่นกทั้งหลายที่มีลูกน้อยและสั่งสอนลูกๆให้หัดบิน มีมาให้เห็นใกล้ๆอยู่บ่อยครั้ง เพราะนี่คือช่วงเวลาที่ดี สำหรับการหาอาหาร…
เงาศิลป์
ละไอหมอกลอยเรี่ยอาบยอดไม้ ยามแสงเช้าสาดส่องทั่วลานไร่ รอบๆ กายคล้ายความฝัน นานนับปีแล้ว ที่ฉันไม่ได้เดินทางไกล ฤดูกาลเช่นนี้ มักกระซิบเรียกหาให้โลดแล่นออกไปตามใจตน แต่คราวนี้งานหนักในไร่ยังคงเร่งเร้าอยู่ตรงหน้า ยิ่งยามต้นไม้โบกไหว สบัดเรียวใบชุ่มเขียวให้คลายสี แล้วปล่อยให้ลมแล้งแต้มสีเหลืองจางๆ ลงแทน ฉันยิ่งต้องเร่งทำงาน หยิบสมุดบันทึกออกมาอ่านอย่างไม่ตั้งใจ กลับพบบางอย่างที่ชวนขำ ฤดูหนาวของปีนั้น ฉันได้เร่ร่อนท่องเที่ยวไปท่ามกลางความขัดแย้งที่บานปลายไปจนถึงขั้นสู้รบฆ่าฟันกันรายวัน และได้เห็นภาพการประท้วงที่วุ่นวายบนท้องถนน เกือบทั่วทั้งประเทศ บนรถไฟ จากเมืองแคนดี้…
เงาศิลป์
“ทำไมพี่ไม่ใช้ตัวพ่วงท้ายที่ไถพรวนไปพร้อมๆ กับตัดหญ้าล่ะครับ ดินจะได้ไม่แข็ง” เป็นคำแนะนำของยุทธ ซึ่งแวะมาที่ไร่แต่เช้า เพื่อขอยืมพลั่วไปตักปุ๋ยขี้ไก่ ไว้หยอดใส่หลุมแตงโมที่เถาว์เริ่มเลื้อยยาว ขณะที่ฉันขับรถแทรกเตอร์ตัดหญ้าในสวน เจตนารมณ์ของการทำสวนที่คิดว่าจะเบียดเบียนชีวิตอื่นให้น้อยที่สุด และเพื่อประโยชน์ตนอันสูงสุด เท่าที่จะทำได้ ฉันจึงตั้งใจว่าจะไม่ไถพรวน แม้บางทฤษฎีของบางนักวิชาการจะบอกว่า ดินทรายต้องไถพรวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายฤดูฝน เพราะการไถพรวนพลิกหน้าดิน จะช่วยลดการสูญเสียน้ำใต้ดินจากการดูดซึมของต้นหญ้า ใช่สิ ในภาคอีสานฉันเห็นการไถพรวนในเกือบทุกแปลงการเกษตร…
เงาศิลป์
นานๆ จึงจะมีเพื่อนบ้านแวะมาเยี่ยม ยิ่งยามนี้ยิ่งยากที่จะได้พบเจอคนผ่านทาง เพราะเส้นทางรถอีแต๊กถูกกระแสน้ำเชี่ยวลากพาดินทรายพัดหายไปทางลำธารข้างล่างโน่น จนกลายเป็นร่องน้ำลึกมีรากไม้ขนาดเล็กใหญ่พาดพันกันยุ่งเหยิง ส่วนพื้นที่ในไร่ ต้นไม้ยังเล็กนัก ร่องน้ำเล็กใหญ่เกิดขึ้นมากมาย แต่ที่ดินไม่พังทลายลงไปมาก เพราะผิวดินยังมีรากกอหญ้าสูงยึดดึงเอาไว้ ฉันหวังว่าปีต่อๆไป ผิวดินจะปลอดภัยมากกว่านี้ ถนนทางทิศตะวันออกของไร่กลายเป็นลำธาร จักรยานหรือมอเตอร์ไซค์เป็นสิ่งเกินจำเป็นไปในทันที ไม่ต้องพูดถึงรถยนต์ที่ฉันไม่มีใช้ รถอีแต๊กที่เคยผ่านเส้นทางนี้ทุกเช้า…
เงาศิลป์
ทุกชีวิตย่อมมีศักยภาพในการใช้ชีวิต หากยอมรับว่า “เกมการล่า” ว่าเป็นวิถีทางที่มีอยู่จริง และเราสามารถยอมรับความเจ็บปวดได้เมื่อตนเองถูกล่า ชีวิตฉันมักจะเป็นดั่งนี้… สิบกว่าปีที่แล้ว ณ ริมธาร “ห้วยแก้ว” เชียงใหม่ สายฝนที่ตกลงมาอย่างหน่วงหนักตลอดคืน ทำให้หลังคากระท่อมที่มุงด้วยใบหญ้าคา ทรุดฮวบลงมากองทับตัวฉันและกองหนังสือของฉันจนเปียกปอน ฉันได้แต่หัวเราะอย่างขำขื่น สาสมใจ วันนี้...ในหุบเขากว้าง บนแผ่นดินที่ราบสูง หลังจากฟ้าฝนกระหน่ำสายติดต่อกันหลายวันหลายคืน ฟ้าจึงบรรณาการแสงแดดอันอุ่นเอื้อมาให้ ต้นไม้ของฉันจึงได้หายใจบ้าง ต้นไม้ใหญ่ อาจพอมีเวลาต่อรอง…
เงาศิลป์
ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นตื่นตระหนกเบิกโพลงอยู่ในความมืดสลัวของกระสอบปุ๋ย ทันทีที่ฉันเปิดปากถุงพวกมันต่างเงยหน้าจ้องมองมาที่ฉัน ดวงตาอีกสี่คู่เป็นสีน้ำตาลกลมกลืนกับความมืดจึงไม่สะดุดใจเท่าดวงตาคู่ที่เป็นสีน้ำทะเลกระจ่างจ้าคู่นั้น“โถ ลูกหนอลูก” ฉันร้องครางอยู่ในใจ นั่นคือเหตุการณ์ในเวลาเช้าตรู่ ที่ฟ้าฝนกระหน่ำสายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กาลเช่นนี้ได้ลักพาความสดชื่นแห่งวันใหม่ไปซุกซ่อนไว้ในม่านเมฆฝนหนาทึบริมฟ้า ราวกับมันเป็นจำเลยที่ต้องโทษหนัก และเช่นกัน ฉันผู้เคยเสพสุขจึงต้องร่วมรับโทษทัณฑ์นั้นไปด้วย เพราะเวลาที่อึมครึมในแต่ละนาทีดูเหมือนเนิ่นช้าและหน่วงทับอารมณ์มากขึ้นและมากขึ้นทุกขณะ  …
เงาศิลป์
ฉันสำเหนียกถึงแรงสะเทือนที่ดิ้นสะท้านอยู่ภายในอก ยามที่เผลอใจไปยึดมั่นกับเรื่องราวความขัดแย้งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราขณะนี้ ทั้งที่ฉันตั้งใจวางตัวเองไว้ตรงชายขอบของสังคม... ไม่ได้ตั้งใจปิดหูปิดตาตัวเอง แต่เพราะการสื่อสารทั้งหลายที่ไม่สะดวก ฉันจึงหลุดออกมานอกวงสนทนาของความขัดแย้งเกลียดชัง เพราะ...ถูกและผิด ใช่และไม่ใช่เป็นเรื่องซับซ้อน วันวาน...สภาพชีวิตของฉันเป็นเสมือนวัชพืชของสังคมวันนี้...ฉันเป็นผู้แผ้วถางวัชพืชตัวจริงอย่างสำนึกรู้ผิดบาป แม้จะเลือกใช้เครื่องมือที่ปลอดภัยที่สุดแล้วต่อชีวิตเล็กๆ แต่กระนั้นฉันก็ยังทำลายชีวิตบางชีวิตอยู่ดี
เงาศิลป์
“เมื่อวานนี้คนในหมู่บ้านถูกหวยกันหลายคน”ยายแดงเริ่มเรื่อง ขณะที่นั่งจุมปุ๊กบนพื้นหญ้าหน้าบ้าน พลางเอาเสียมปากแบนแซะหญ้าเล่น ใบหน้ายังแดงก่ำ หยาดเหงื่อยังเปียกชื้นที่ไรผม เพราะงานดายหญ้า“แล้วยายแดงไม่ถูกกะเขาด้วยเหรอ” ฉันนั่งบนที่พักเชิงบันได หลังจากจัดเรียงกล้าไม้ใกล้โอ่งน้ำเสร็จไปแล้วหนึ่งชุด“ไม่ได้ซื้อกับเขาหรอก ไม่ค่อยได้ซื้อหวย” นับว่าเป็นบุคคลที่น่ายกย่อง ฉันชื่นชมในใจ“แล้วชาวบ้านได้เลขมาจากไหนกันละยายแดง”“เขาว่าเป็นเลขผีบอก ผีจากวัดป่าบอกผ่านเจ้าอาวาสอีกที”“อืม....ไม่เลวแฮะ แสดงว่าผีมีจริง”....ฉันนึกถึงกุศโลบายของตัวเอง ที่บอกกับใครๆว่าทุกวันนี้อาศัยอยู่กับ “ผีโนนบ้านคึม…
เงาศิลป์
นั่งบนตอไม้เล็กๆ หลังพิงโอ่งน้ำขนาดเท่าช้างพังตั้งท้อง ในปากกำลังเคี้ยวมะม่วงแก้วที่สุกพอห่ามๆ รสชาดกำลังดีมีความเปรี้ยวนิดๆ ทั้ง “เจ้าเสือ” หมาหนุ่มคู่บารมี ยังนอนหมอบราบคาบแก้ว ทำท่าขอแบ่งกินอยู่ตรงเท้า ดูสิ..ฉันใช้ชีวิตราวกับพระราชาในเทพนิยาย  เพราะเบื้องหน้าไกลโพ้นโน่น ตรงขอบฟ้าเหนือดงไม้นั่น คือการแสดงพลังพิเศษของเหล่าสามัญมนุษย์ เพื่อสื่อสารกับเทวดาพญาแถน จนท้องฟ้าสั่นสะเทือน ม่านเมฆเคลื่อนอยู่ไปมาเนื่องจากบ้านไร่เป็นที่ๆ ห่างไกลชุมชนทั้งในระยะทาง และด้วยสายตา แต่ฉันก็สามารถมองเห็นที่ตั้งของทุกหมู่บ้านรายรอบได้เป็นอย่างดี ในวันเวลาเช่นนี้ ทุกทิศทางจะมีเสียงดังฟู่ยาวๆ…
เงาศิลป์
มันคงเป็นเรื่องเล่าที่ชวนพิศวง ฉันคงสงสัยว่ามันมีความจริงปนอยู่สักเท่าใด หากไม่ได้ถูกบันทึกไว้ด้วยมือของฉันเองภาพในอดีตเมื่อยี่สิบปีที่แล้วฉันเห็นตัวเองเกาะแน่นอยู่บนอานรถมอเตอร์ไซค์ที่ไต่ไปตามคันนาเล็กๆ คนขับชำนาญทางเป็นอย่างดี เพราะไม่เช่นนั้นอาจได้ลงไปนอนแช่น้ำในผืนนากันทั้งคู่“พี่หวาด” เป็นหมอยาพื้นบ้านและเป็นเพื่อนร่วมงานของฉัน แกทำหน้าที่เป็นสารถีรวมทั้งเป็นเนวิเกเตอร์ในการไปพบเจอกับแหล่งข้อมูล และนั่นคือที่มาของเรื่องราวที่เหลือเชื่อ ที่หลงเหลือไว้ให้ฉันหยิบจับขึ้นมาอ่านซ้ำอย่างประหลาดใจไม่น่าเชื่อว่าฉันจะเคยพบเจอกับบุคคลที่มีบุคลิกพิเศษมากมาย ปัจจุบันเขาเหล่านั้นลาจากโลกนี้ไปแล้ว…