Skip to main content

ทำไมพี่ไม่ใช้ตัวพ่วงท้ายที่ไถพรวนไปพร้อมๆ กับตัดหญ้าล่ะครับ ดินจะได้ไม่แข็ง”

เป็นคำแนะนำของยุทธ ซึ่งแวะมาที่ไร่แต่เช้า เพื่อขอยืมพลั่วไปตักปุ๋ยขี้ไก่ ไว้หยอดใส่หลุมแตงโมที่เถาว์เริ่มเลื้อยยาว ขณะที่ฉันขับรถแทรกเตอร์ตัดหญ้าในสวน


เจตนารมณ์ของการทำสวนที่คิดว่าจะเบียดเบียนชีวิตอื่นให้น้อยที่สุด และเพื่อประโยชน์ตนอันสูงสุด เท่าที่จะทำได้ ฉันจึงตั้งใจว่าจะไม่ไถพรวน แม้บางทฤษฎีของบางนักวิชาการจะบอกว่า ดินทรายต้องไถพรวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายฤดูฝน เพราะการไถพรวนพลิกหน้าดิน จะช่วยลดการสูญเสียน้ำใต้ดินจากการดูดซึมของต้นหญ้า


ใช่สิ ในภาคอีสานฉันเห็นการไถพรวนในเกือบทุกแปลงการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นพืชล้มลุกหรือพืชยืนต้น อันที่จริงฉันไม่น่าจะต่อต้านการไถพรวนแต่เพียงอย่างใด เพราะเห็นแล้วว่า “ได้ผล” แต่เพราะฉันมาจากภูมิภาคที่ไม่นิยมการไถพรวน แม้ที่โน่นกับที่นี่ จะมีลักษณะชุดดินต่างกัน แต่ฉันกำลังพิสูจน์บางอย่างที่เป็นความเชื่อส่วนตัว ที่ต้องอาศัยเวลาและความตั้งใจ


ทุกครั้งที่ฉันเหยียบย่างลงไปบนพื้นดิน ฉันจะซึมซับความยืดหยุ่นและความแข็งกระด้างที่แตกต่างกัน ในเกือบทุกตารางนิ้วของพื้นที่หลายสิบไร่ จากสัมผัสที่ได้ บ่งบอกถึงความมีชีวิตของผิวดิน และเพื่อพิสูจน์ว่าสัมผัสนั้นถูกต้อง ฉันมักจะใช้จอบขุดเจาะลงไปดู และสิ่งที่ฉันสัมผัสได้ด้วยประสาทเท้า มักจะไม่ผิดความจริง


บริเวณใดที่ผิวดินมีความนุ่มหยุ่นสูง บริเวณนั้นจะมีปริมาณของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ในดินมาก และแน่นอน...สิ่งที่พวกมันอาศัยอยู่กินได้ คือภายใต้ซากหญ้าที่เน่าเปื่อย หรือใต้รากที่เซาะซอนจนดินร่วนซุย


ฉันจึงไม่เชื่อในทฤษฎีการทำลายหญ้าอย่างสิ้นซาก ไม่เชื่อว่าการแทรกแซงดินโดยวิธีการให้ปุ๋ยต้นไม้แบบปราศจากหญ้ารบกวนโดยสิ้นเชิงนั้น จะให้ผลดีในระยะยาวได้


จริงอยู่ที่บางครั้ง การทำสวนมีความจำเป็นต้องกำจัดวัชพืช แต่ไม่ใช่ทุกครั้งไป การปล่อยให้สิ่งมีชีวิตอื่นๆได้อาศัยรากและใบของวัชพืชเพื่อดำเนินห่วงโซ่ชีวิตที่เกื้อกูลแก่ต้นไม้ของเราบ้าง ก็เท่ากับการยอมรับในพลังของธรรมชาติที่จะไม่มีวันทรยศซึ่งกันและกัน


วัชพืชอาจแย่งอาหารจากต้นไม้ใหญ่ที่เราปลูกได้ในบางจังหวะ แต่ที่สุดแล้วการสิ้นอายุขัยของมันที่สั้นกว่าไม้ยืนต้นมากมายนัก ในวันนั้น มันจะคืนทุกสิ่งทุกอย่างแก่พื้นดิน เพื่อให้ดินจัดสรรต่อไปยังต้นไม้อื่นและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ


ทุกสิ่งที่อุบัติขึ้นในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดที่ไร้ประโยชน์ แม้แต่ความเลวร้าย” นั่นคือสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้


ฉันจึงพยายามเป็นผู้เฝ้าดูและลงมือกระทำ อย่างเชื่อมั่นในหนทางแห่งธรรมชาติ หากจะมีการลงมือแทรกแซงในขั้นตอนใดๆ จึงต้องกระทำอย่างเคารพในกระบวนการของมัน และอย่างมีสติ


ฉันปลูกต้นไม้ เพื่อให้ต้นไม้เลี้ยงชีพฉัน

ฉันดูแลต้นไม้ เพื่อให้ต้นไม้ดูแลผืนดิน

ฉันดูแลผืนดิน เพื่อให้ต้นไม้เติบโต


เกือบทุกวันในยามเย็น ฉันเดินย่ำไปในพงหญ้าสูงท่วมเอว เพื่อมองหาและเก็บเกี่ยวฝักถั่วเขียวที่สุกดำ ก่อนที่ฝักมันจะปริแตกดีดเมล็ดลงสู่ดินเสียหมด ฉันต้องค่อยๆ เดินและมองหา...ทั้งเพื่อจะจดจำภาพของสวนหญ้านี้ไว้ เพราะอีกไม่นานมันจะเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นสวนรกเรื้อด้วยต้นไม้ใหญ่ หากไม่มีอะไรที่ผิดเพี้ยนเกิดขึ้นกับโลกนี้เสียก่อน ฉันคงจะได้เก็บเกี่ยวอาหารธรรมชาติที่หลากหลายกว่านี้


ที่น่าขำ แต่ยากที่จะขำก็คือ เมล็ดถั่วเขียวที่ได้มีขนาดเล็กกว่าเมล็ดพันธุ์ที่หว่านไว้เกือบเท่าตัว ฉันบอกกับตัวเองว่า “ไม่เป็นไรหรอก สิ่งที่ได้มากกว่านั้น นั่นคือสภาพดินที่จะสมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ”


เพียงมีความหวังที่มั่นคง ฉันจึงรู้สึกว่าชีวิตนี้ ช่างแสนสุขเสียนี่กระไร

แต่ยามที่จิตประหวัดไปถึงเรื่องราวการเข่นฆ่าในเมืองใหญ่ ฉันได้แต่ถอนหายใจ น้ำตาซึม จนต้องปลอบประโลมตัวเอง ด้วยอมตะวาจาของท่านผู้เฒ่าพ้อเลป่า แห่งดอยแม่แฮคี้ ที่ว่า


ทุกคนต้องกินข้าว แม้แต่คนขับเครื่องบินก็ต้องลงจากเครื่องบินมากินข้าว”


นั่นสิ รักชาติกันขนาดนี้

มาแข่งปลูกข้าวกันดีกว่า ฝ่ายไหนชนะ ให้ปกครองประเทศ”


บางที ขณะที่ก้มหน้าลงปักดำ หยาดเหงื่อที่ไหลเข้าตาของผู้รักชาติแต่ละคน อาจทำให้คิดอะไรขึ้นมาได้บ้าง แต่ถ้าหากมีการโกงเกิดขึ้นอีก คงช่วยอะไรไม่ได้อีกแล้ว นอกจาก...ปล่อยให้ห่วงโซ่สังหาร” ทำงานของมันต่อไปอย่างยุติธรรม


บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
ตอนที่ 3 กว่าจะรู้ว่าเป็นมะเร็ง "แม่ ป่านเบื่อกินยาจังเลย"ลูกบ่นเบาๆ ขณะที่หยิบยาออกมากินตามปกติทุกวันอย่างมีวินัย เป็นเวลาสามปีกว่าแล้ว ที่ลูกต้องเข้าออกโรงพยาบาลแล้วได้ยามากินระงับอาการปวดท้อง โดยที่ไม่มีใครเฉลียวใจเรื่องอื่น
เงาศิลป์
ก้อนเมฆหนาสีเทาทึมทึบ ขยับเคลื่อนช้าๆมาจากทิศตะวันตก จากโค้งฟ้าไกลๆค่อยๆเคลื่อนผ่านศรีษะฉันไปอย่างไม่เร่งร้อน คล้ายลังเลว่าจะแวะพักสักครู่ดีหรือไม่ คงไม่อาจรีรอได้ จึงบ่ายคล้อยต่อไปยังทิศตรงข้าม ทิ้งไอฉ่ำระเรี่ยพื้นพอให้คนรอคอยใจหายเล่น ชีวิตบางชีวิตก็เช่นกัน ..............
เงาศิลป์
    กองฟอนถูกตระเตรียมอย่างรวดเร็วภายในเช้าวันรุ่งขึ้น พิธีศพเป็นไปอย่างเรียบง่าย ท่ามกลางญาติมิตรที่รักใคร่ผูกพัน ตกบ่าย ณ ลานหินริมหน้าผา เปลวเพลิงลุกโชน ลามเลียกองไม้และร่างกายผ่ายผอมนั้นให้หม่นไหม้กลายเป็นผงธุลี พร้อมๆกับน้ำตาที่หยาดลงบนร่องแก้มของใครหลายคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น
เงาศิลป์
ใครที่เคยสูญเสียสิ่งรัก คงจะรู้จักอาการปวดแสบปวดร้อนคล้ายถูกมือยักษ์ควักใจหัวใจออกมาบี้เล่น อย่างไม่ปราณีปราศรัยได้ดียิ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาการเหล่านั้นค่อยๆจางหายสวนทางกับสติปัญญาที่เพิ่มมากขึ้น เราเรียกสิ่งนี้ว่าประสบการณ์ชีวิต แน่ล่ะ ทุกคนจะต้องจ่ายด้วยราคาที่สูงลิบลิ่ว อย่างไม่เต็มใจ เสมอมา   ความทุกข์ จากความพลัดพรากในสิ่งที่รัก จึงเสียดแทงหัวใจเป็นที่สุด
เงาศิลป์
วันจากไปนิรันดร์ของใครบางคน ทำให้ใครหลายคนมาเจอกัน วันเช่นนั้น มักจะมีม่านแห่งความเศร้าคลี่คลุมไปทั่ว บางคนที่ตั้งสติได้ อาจย้อนถามใจตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งฉันจะต้องเป็นผู้ไปบ้าง อะไรจะเกิดขึ้น  อะไรจะเกิดขึ้น หมายถึงอะไรเล่าหมายถึงความเศร้าโศกเสียใจของใครบ้างหรือเปล่าหรือหมายถึง ความชื่นชมยินดีในวิถีแห่งการตาย พร้อมคำว่า....สาธุ
เงาศิลป์
ทุกอณูเนื้อบนผืนโลก เราล้วนต่างเหยียบย่ำซ้ำรอย น่าแปลก ที่ไม่มีใครจำได้ว่าได้ย่ำมาแล้วกี่ครั้งกี่หน ฉันหมายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นซ้ำซากในปัจจุบันชาติ หรืออาจลากพาย้อนกลับไปหลายอสงไขยชาติ มีบ้างไหมที่พบว่าบางพื้นถิ่นเรารู้สึกคุ้นชินเหมือนเคยอยู่ มีบ้างไหม กับบางคนที่รู้สึกคุ้นเคยเหมือนได้ชิดใกล้กันมาก่อน ถ้าไม่แข็งขืนปฏิเสธการมีอยู่ของความทรงจำซ้ำซาก ที่ไม่เคยชัดเจนแต่ทิ้งเค้าลางเอาไว้อย่างแนบเนียน ฉันว่าใครหลายคนที่แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมฉัน และทิ้งคำจำนรรเอาไว้บ้างนั้น เราล้วนเคยเป็นพี่น้องกัน ไม่เช่นนั้นหนทางโคจรจะวกวนให้มาเจอกันได้อย่างไร
เงาศิลป์
เสียงเห่าโฮ่งๆ ดังกังวานมาจากในป่า เป็นเสียงที่ดุกร้าวบอกเหตุบางอย่างว่าเร่งด่วน เจ้าหลาม...แม่หมา เจ้าเสือ...พี่หมารีบหันหลังกระโจนพรวดไปทางเสียงนั้น เจ้าตัวเล็กอีกสามตัววิ่งตามกันไปเป็นพรวน ฉันชะเง้อตามดู เห็นเจ้าด๊อกกี้กำลังตั้งหน้าตั้งตาเห่าบางอย่างราวกับจะเปิดฉากต่อสู้ และเมื่อทุกตัวไปถึงที่เกิดเหตุ เจ้าตัวดีกลับวิ่งมาทางฉัน ในปากมีอะไรคาบอยู่ ฉันจึงเรียกให้หยุด มันทำตามแต่โดยดี พลางคายสิ่งนั้นลงบนพื้นดิน
เงาศิลป์
ค่ำคืนหนึ่ง... เม็ดฝนทิ้งรอยให้แกะรอยเช้าตรู่ ยังไม่ทันเงยหน้าดูท้องฟ้า ฉันรีบก้มหน้าดูพื้นดิน เห็นรูพรุนเล็กๆ ที่ฟ้าทิ้งรอยไว้ให้อย่างมีเงื่อนงำ ไฉนไม่ยอมทำลายซากของฝุ่นผงให้หมดสิ้น ทำแบบนี้ทำไมกัน ไม่รู้หรือว่าฉันปวดร้าวหัวใจ ฝนเอ๋ย จนสาย อาการกระหายใคร่จะให้หยาดฝนริน ยังไม่ยอมจางหายไปจากใจ เทียวเดินเข้าเดินออกใต้ถุนบ้านเงยหน้าดูท้องฟ้า พลางนึกถึงอดีตที่เคยถูกทักถาม ยามที่ทำงานเร่ร่อนตามหมู่บ้าน บ้านแล้วบ้านเล่า ซอกซอนไปเรื่อยๆ ยุคสมัยที่อีสานยังรุ่มรวยไปด้วยถนนสายฝุ่นสีทองแดง คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านย่านป่าลึก มักจะเอ่ยปากถามเป็นคำแรกว่า "ที่บ้านฝนตกบ่หล่า" ตอนนั้นตอบไปเรื่อยๆ…
เงาศิลป์
ไอชื้นของลมฝนที่โชยผ่านผิวมาจากที่ไกลแสนไกล ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือนั่น มันคงเดินทางมาไกลมาก ไกลจนมองไม่เห็นแม้แต่เค้ารางของม่านฝนที่จะมาถึง แต่เพียงแค่นี้ก็ช่วยขับไล่ความร้อนอ้าวให้หนีห่าง พร้อมมอบความหวังใหม่ให้แก่ชีวิต ทั้งคนทั้งสัตว์ทั้งต้นไม้ให้เริงรำได้อีกครั้ง ดูนั่นสิ..สีน้ำตาลจากราวป่ารอบๆ ไร่ เริ่มระบายสีเขียวอ่อนลงไปแทน อีกไม่นานดอกไม้สีเหลือง สีขาว กลิ่นกรุ่นก็จะผลิแย้มกำจายกลิ่นไปทั่วป่า
เงาศิลป์
ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่คละเคล้าก่อตัวกันเป็นโลกและชีวิต มีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ อย่างปกติ..... ลมหนาวพัดกรรโชกไร้ทิศทาง พัดพาเอาควันไฟจากกองฟืนใต้ถุนกระท่อมเล็ดลอดผ่านช่องว่างแผ่นกระดานปูพื้นทำให้รู้สึกแสบตาแสบจมูกอยู่เป็นระยะ
เงาศิลป์
ฉันมีเรื่องราวจะแลกเปลี่ยน ลองฟังดูนะ ตาเก้กับการลงทุน “คนอย่างผม ถ้าทำอะไรก็ต้องทุ่มหมดตัว” ตาเก้พูดเสียงต่ำ สีหน้ายิ้มเหยียดหน่อยๆ บ่งถึงความสาสมใจในชีวิต ขณะย่ำเดินไปบนพื้นดินทรายที่เพิ่งถูกผานไถพลิกพรวนให้กอหญ้าคว่ำหน้าลง แกกำลังจะลงทุนอีกรอบบนผืนดินนี้ ทั้งที่เจ้าหน้าที่ของโรงงานน้ำตาลฟันธงแล้วว่า “ดินเสื่อมสภาพหมดแล้ว”
เงาศิลป์
๑. ยามพลบค่ำ อาณาจักรบ้านไร่อาบแสงจันทร์ผ่องนวล ลมหนาวพัดเคล้าคลอพอให้เหน็บหนาว สลับไออุ่นจากไฟฟืนที่กรุ่นกำจายจนรู้สึกได้ถึงความต่างระหว่างอุ่นกับหนาว ที่ห่มพัน คืนแสงจันทร์จ้าจนแทบมองเห็นใบหน้าคนที่เดินอยู่ไกลๆ กับถนนสายฝุ่นที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่นับสิบสาย ด้วยรอยเท้าคนและล้ออีแต๊ก แต่ละเส้นทางล้วนตั้งต้นมาจากหมู่บ้านรอบนอก พาดผ่านทุ่งนาที่กลายเป็นดินแข็งกระด้างปกคลุมเพียงตอซังข้าวที่รอเวลาถูกเผาทิ้ง ถนนทุกสายมุ่งสู่ป่าชุมชนผืนใหญ่นี้อีกครั้ง หลังจากสายน้ำหลากล้นปิดกั้นการสัญจรในหลายเดือนที่ผ่านมา ฤดูแล้งของพื้นที่แห่งนี้ จึงเป็นฤดูกาลที่คึกคักพลุ่งพล่านไปด้วยกลิ่นอายของการเข่นฆ่า