Skip to main content
ยามค่ำคืนที่เหน็บหนาวออกปานนี้ หนาวจนต้องสวมเสื้อกันหนาวหนาๆ ถึงสองชั้น หวังทนทานต่อความแหลมคมของไอหนาวที่แทรกซอนเข้ามาบาดเนื้อ เสื้อผ้าอาจปกป้องร่างกายไว้ได้บ้าง แต่บางความหนาวที่แทรกซึมเข้ามาได้กลับกระพือความร้อนรุ่มภายในให้ลุกโชน

 

ภาพถ่ายสุดท้ายของเจ้าเก๋า ในวันก่อนจะจากไปเพียงไม่กี่วัน

 

สิ้นสุดเสียทีอีกหนึ่งชีวิต ไม่ต้องทรมานอีกต่อไป เพราะพิษของสารเคมีที่เข้าไปทำลายตับไตไส้พุงจนหมดสิ้น ในเวลาสี่วัน วันสุดท้ายของมันกับความรู้สึกห่วงใยของฉัน มันคงรับรู้ได้ นาทีสุดท้าย มันจึงสะท้อนลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงทิ้งตัวลงบนตักฉัน แล้วจากไปนิรันดร์


เจ้าเก๋า
หมาหนุ่มน้อย วัยครบหนึ่งปีพอดีที่เกิดมา และเกือบหนึ่งปีที่มันเป็นเพื่อนคู่ทุกข์ของฉันในไร่กว้างกลางป่าแห่งนี้ ทุกที่ๆ ฉันไป ทุกครั้งที่เรียกหา เจ้าเก๋าจะไม่ยอมห่างกาย แม้อาจแวะออกนอกเส้นทาง เพื่อกระโจนไล่จับนกหนู ไปตามประสามัน แต่มันไม่เคยดื้อดึงให้รำคาญ ยกเว้นเวลาที่ฉันจะไปในหมู่บ้าน ถ้าไม่ล่ามโซ่เอาไว้ มันจะกวดตามไปติดๆ โดยที่ฉันไม่รู้ตัว เพราะมันจะแอบวิ่งไปในป่าข้างทาง ฉันมารู้ตัวอีกทีว่ามีมันตามมาเมื่อฉันถึงปลายทางเท่านั้น และนั่นคืออันตรายที่สุดที่จะเกิดกับมัน คือการโดนหมาเจ้าถิ่นรุมกัด

 

แต่เปล่าเลย เหตุการณ์แบบนั้นไม่เคยเกิดขึ้น ฉันไม่เคยปล่อยให้มันตามไปไกล มันไม่เคยได้เห็นถนนที่มีรถคันใหญ่ๆ วิ่งด้วยซ้ำไป ไม่ต้องกลัวว่ามันจะถูกรถชน แล้วตายแบบหมาข้างถนน แต่มันก็ต้องตายอย่างไม่สมควรจะตาย ถ้าเพียงแต่ฉันรู้เรื่องราวเหล่านี้มาก่อน มันอาจจะรอด

 

หลังจากข่าวการตายของเจ้าเก๋าถูกบอกเล่าออกไป ชาวไร่ละแวกนี้หลายคน ต่างบอกว่าหมาตัวเองก็โดนยาเบื่อตาย บางคนหมาตายหมดทั้งฝูง

 

ใครกันโหดร้ายถึงกับวางยาเบื่อหมา ไม่หรอก..ต่างคนต่างครุ่นคิดสงสัย ฉันเองยิ่งสงสัย

เจ้าเก๋าหายไปจากบ้านหนึ่งคืน ก่อนที่จะกลับมานอนซมไม่คิดจะกินข้าวกินปลา

 

เมื่อวานนี้...ฉันตื่นขึ้นมาพบว่า เจ้าเสือกำลังโก่งคออาเจียนในพงหญ้าที่หน้าบ้าน หางตก ท่าทางกระวนกระวาย ฉันรีบวิ่งลงบันได ใจสั่นยิ่งกว่าเห็นผี ด้วยความตกใจกลัวต่อความตายที่กำลังจู่โจมเข้ามาอีกหน เข้าไปดูใกล้ๆ ในกองอาเจียนมีแต่ฟองขาวข้นๆ จึงรีบอุ้มเจ้าหมาถึกตัวหนักอึ้งขนาดน้องๆ ลูกวัว เข้ามาที่ใต้ถุนแล้วเอาสายโซ่ล่ามคอมันไว้ไม่ให้หนีไปอาเจียนทุรนทุรายที่ไหน

 

มะนาวในครัวเหลืออยู่สี่ห้าลูก ฉันปาดและบีบน้ำมะนาวมือไม้สั่น ฉันจะต้องช่วยชีวิตเจ้าเสือเอาไว้ให้ได้ ต้องช่วยจนถึงที่สุด เพราะฉันไม่อาจสูญเสียมันไปได้อีกแล้ว

 

ทันทีที่น้ำมะนาวล่วงลงคอ ท่าทางมันสะดุ้งเพราะคาดไม่ถึงในรสชาด เริ่มแสดงอาการปฏิเสธยาชุดที่สอง นั่นคือไข่ดิบที่ฉันเตรียมตอกหย่อนใส่ปาก มันสะบัดๆปากพยายามดิ้นให้หลุดแต่ฉันก็ยัดเยียดลงไป

 

จากนั้นก็โทรฯหาสายใจ ที่จะต้องเข้ามาทำงานที่ไร่ของเธอเองทุกวัน ให้ช่วยเด็ดใบรางจืดที่บ้านเธอมาเผื่อฉันด้วย เพราะที่เหลือจากที่ใช้รักษาเจ้าเก๋า อาจจะไม่พอ และเพื่อความแน่ใจ ขอให้เธอซื้อยาแก้แพ้มาด้วย

 

ชั่วเวลาไม่นานสายใจมาพร้อมกับสิ่งที่ต้องการ เจ้าเสือจึงถูกมัดขาหน้าและถูกฉีกปากกรอกยาอย่างเต็มที่ ฉันปล่อยให้มันนอนพัก จนกระทั่งได้เวลากินข้าวเช้า มันยังนอนซมท่าทางเบื่อหน่อย ไม่แม้แต่จะลุกขึ้นมาดมอาหารของชอบ ฉันจึงเปลี่ยนเป็นนมข้นหวานชงน้ำอุ่นๆให้แทน มันจึงลุกขึ้นมากินอย่างเต็มใจ

 

ในที่สุด...ฉันก็ทำสำเร็จ สำหรับชีวิตเจ้าเสือเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากที่จำเป็นต้องมีมันจริงๆ


 

เรื่องความตายของหมาในไร่ ยังเป็นที่สงสัยและถกเถียงกัน

"ตาแส" บอกว่า เจ้าเก๋าไปติดพันหมาสาวของ "ยายน้อย" ที่ริมทุ่งนาโน่น มันอาจจะถูกยาเบื่อของเขาก็ได้ ฉันว่าไม่เคยเห็นมันไปไกลบ้านนานๆ ยกเว้นคืนนั้นคืนเดียวที่หายไป แต่บางทีมันก็ชอบไปนอนเงียบๆในกอหญ้าหลังบ้านทั้งคืน

 

"ยายแดง" บอกว่า ที่สระน้ำของตาแส แกล้างอุปกรณ์ฉีดยาลงในสระ น้ำยาจึงยังคงอยู่ในนั้น หมาเก๋าอาจจะไปกินน้ำเพราะมันชอบไปล่าหนูที่นั่น และ..แกยังเพิ่มข้อสงสัยอีกว่า หรือว่าตาเจน ที่มีนาทางทิศเหนือของไร่ฉัน จะเบื่อหนูที่จะมากินข้าว แล้วหมามันไปกินหนูที่โดนยาเบื่อ

 

ข้อสงสัยทั้งหมด ฉันไม่ต้องการคำตอบ เปล่าประโยชน์ ในเมื่อทุกคนยังไม่หยุดใช้สารเคมี แม้แต่ "ตาไพ" ยังบอกว่า หมามันไม่กินอะไรที่มีกลิ่นยาเคมีหรอก แค่ได้กลิ่นมันก็ถอยแล้ว

 

พูดง่ายมาก แกไม่เคยสงสัยเลยหรือว่า ทำไมยาที่แกพ่นเป็นฟุ้งฝอยจึงไม่มีกลิ่นเหม็นฉุน ให้แกต้องรู้สึกว่ามีความจำเป็นต้องปิดปากปิดจมูก ฉันเคยเดินผ่านแปลงแตงโมที่ถูกฉีดยาในตอนหัวค่ำ แค่เพียงเวลาสายๆ ของอีกวัน ฉันยังรู้สึกเหมือนวิงเวียนคล้ายจะเป็นลม เข่าอ่อนเหมือนจะทรุด จนสงสัยว่าเกิดโรคอะไรฉับพลัน ทั้งที่ฉันเชื่อมั่นว่าฉันยังแข็งแรงดีอยู่

 

เมื่อปีที่แล้ว "ยายหนู" ที่อยู่ทางทิศตะวันตกของไร่ฉัน พบหมาจิ้งจอกแม่ลูก นอนตายอยู่ในแปลงแตงโมของแก เพราะมันมากินแตงหลังจากที่เจ้าของฉีดยาไปใหม่ๆ

 

ขนาดหมาจิ้งจอกที่มีสัญชาตญาณในการระแวดระวังอย่างสูง ยังเพลี้ยงพล้ำต่อสารเคมี แล้วหมาบ้านอย่างเจ้าเก๋าจะเอาตัวรอดได้อย่างไร

 

วันนี้ ฉันจึงต้องล่ามเจ้าเสือเอาไว้ ไม่ยอมให้มันไปไกลหูไกลตา ซึ่งมันอาจจะไม่เต็มใจนัก แต่เพื่อรักษาชีวิต...ฉันไม่มีทางเลือกอื่นอีกเลย

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
  ภูเขาหัวโล้นลูกนี้ อยู่ในเทือกเดียวกับภูหลวง จังหวัดเลย "ถามจริงๆ เถอะ คนแบบเราๆ นี่ ถ้าไปเป็นคนทำสวนจะหาเลี้ยงตัวเองได้จริงหรือ"เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งถามฉัน ในวันที่ฉันยังไม่ได้มีอาชีพทำสวน คงเป็นคำถามเพื่อนำไปสู่การสนทนาเชิงวิเคราะห์ว่าความคิดที่จะพึ่งตนเองจากอาชีพนี้เป็นไปได้จริงหรือ และฉันจำได้ว่าคำตอบของตัวเอง คือ"ไม่ได้" "ไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าการพึ่งตนเองหมายถึงการตัดเส้นเลือดทางการเงินจากอาชีพอื่นโดยสิ้นเชิง สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นปลูกต้นไม้ในปีแรกๆ และไม่มีเงินเก็บ หรือไม่มีคนสนับสนุนทางการเงิน คงไปไม่รอด"ฉันตอบจากประสบการณ์ที่เห็นปัญญาชนหลายคนอยากจะเป็นชาวไร่…
เงาศิลป์
ยามค่ำคืนที่เหน็บหนาวออกปานนี้ หนาวจนต้องสวมเสื้อกันหนาวหนาๆ ถึงสองชั้น หวังทนทานต่อความแหลมคมของไอหนาวที่แทรกซอนเข้ามาบาดเนื้อ เสื้อผ้าอาจปกป้องร่างกายไว้ได้บ้าง แต่บางความหนาวที่แทรกซึมเข้ามาได้กลับกระพือความร้อนรุ่มภายในให้ลุกโชน  ภาพถ่ายสุดท้ายของเจ้าเก๋า ในวันก่อนจะจากไปเพียงไม่กี่วัน สิ้นสุดเสียทีอีกหนึ่งชีวิต ไม่ต้องทรมานอีกต่อไป เพราะพิษของสารเคมีที่เข้าไปทำลายตับไตไส้พุงจนหมดสิ้น ในเวลาสี่วัน วันสุดท้ายของมันกับความรู้สึกห่วงใยของฉัน มันคงรับรู้ได้ นาทีสุดท้าย มันจึงสะท้อนลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงทิ้งตัวลงบนตักฉัน แล้วจากไปนิรันดร์
เงาศิลป์
พวกมันพากันเลื้อยไปบนผิวดิน ในสภาวะอากาศอุ่นๆ คล้ายทุรนทุรายรีบร้อนที่จะไปที่ไหนสักที่ แต่กลับหลงทางวกวนจนขาดใจตายไปในที่สุด เพียงชั่วเวลาไม่ถึงชั่วโมงยามนี้ ไอแดดไม่ผ่าวร้อนอีกต่อไป ละไอหมอกที่ห่อหุ้มรอบๆตัว สร้างความมัวซัวทั้งแนวป่า มันจึงปกป้องผิวดินให้เย็นฉ่ำ และเก็บความชุ่มชื้นไว้ด้วยหยาดน้ำค้าง แต่ทำไมไส้เดือนผู้รักดินจึงคิดทิ้งถิ่นอาศัย ดิ้นรนไปสู่ความตายเช่นนี้ด้วยเล่าสำหรับฉัน รอยต่อของฤดูฝนชนฤดูหนาว ธรรมชาติมีของกำนัลที่น่ารักมามอบให้มากมาย โดยเฉพาะแม่นกทั้งหลายที่มีลูกน้อยและสั่งสอนลูกๆให้หัดบิน มีมาให้เห็นใกล้ๆอยู่บ่อยครั้ง เพราะนี่คือช่วงเวลาที่ดี สำหรับการหาอาหาร…
เงาศิลป์
ละไอหมอกลอยเรี่ยอาบยอดไม้ ยามแสงเช้าสาดส่องทั่วลานไร่ รอบๆ กายคล้ายความฝัน นานนับปีแล้ว ที่ฉันไม่ได้เดินทางไกล ฤดูกาลเช่นนี้ มักกระซิบเรียกหาให้โลดแล่นออกไปตามใจตน แต่คราวนี้งานหนักในไร่ยังคงเร่งเร้าอยู่ตรงหน้า ยิ่งยามต้นไม้โบกไหว สบัดเรียวใบชุ่มเขียวให้คลายสี แล้วปล่อยให้ลมแล้งแต้มสีเหลืองจางๆ ลงแทน ฉันยิ่งต้องเร่งทำงาน หยิบสมุดบันทึกออกมาอ่านอย่างไม่ตั้งใจ กลับพบบางอย่างที่ชวนขำ ฤดูหนาวของปีนั้น ฉันได้เร่ร่อนท่องเที่ยวไปท่ามกลางความขัดแย้งที่บานปลายไปจนถึงขั้นสู้รบฆ่าฟันกันรายวัน และได้เห็นภาพการประท้วงที่วุ่นวายบนท้องถนน เกือบทั่วทั้งประเทศ บนรถไฟ จากเมืองแคนดี้…
เงาศิลป์
“ทำไมพี่ไม่ใช้ตัวพ่วงท้ายที่ไถพรวนไปพร้อมๆ กับตัดหญ้าล่ะครับ ดินจะได้ไม่แข็ง” เป็นคำแนะนำของยุทธ ซึ่งแวะมาที่ไร่แต่เช้า เพื่อขอยืมพลั่วไปตักปุ๋ยขี้ไก่ ไว้หยอดใส่หลุมแตงโมที่เถาว์เริ่มเลื้อยยาว ขณะที่ฉันขับรถแทรกเตอร์ตัดหญ้าในสวน เจตนารมณ์ของการทำสวนที่คิดว่าจะเบียดเบียนชีวิตอื่นให้น้อยที่สุด และเพื่อประโยชน์ตนอันสูงสุด เท่าที่จะทำได้ ฉันจึงตั้งใจว่าจะไม่ไถพรวน แม้บางทฤษฎีของบางนักวิชาการจะบอกว่า ดินทรายต้องไถพรวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายฤดูฝน เพราะการไถพรวนพลิกหน้าดิน จะช่วยลดการสูญเสียน้ำใต้ดินจากการดูดซึมของต้นหญ้า ใช่สิ ในภาคอีสานฉันเห็นการไถพรวนในเกือบทุกแปลงการเกษตร…
เงาศิลป์
นานๆ จึงจะมีเพื่อนบ้านแวะมาเยี่ยม ยิ่งยามนี้ยิ่งยากที่จะได้พบเจอคนผ่านทาง เพราะเส้นทางรถอีแต๊กถูกกระแสน้ำเชี่ยวลากพาดินทรายพัดหายไปทางลำธารข้างล่างโน่น จนกลายเป็นร่องน้ำลึกมีรากไม้ขนาดเล็กใหญ่พาดพันกันยุ่งเหยิง ส่วนพื้นที่ในไร่ ต้นไม้ยังเล็กนัก ร่องน้ำเล็กใหญ่เกิดขึ้นมากมาย แต่ที่ดินไม่พังทลายลงไปมาก เพราะผิวดินยังมีรากกอหญ้าสูงยึดดึงเอาไว้ ฉันหวังว่าปีต่อๆไป ผิวดินจะปลอดภัยมากกว่านี้ ถนนทางทิศตะวันออกของไร่กลายเป็นลำธาร จักรยานหรือมอเตอร์ไซค์เป็นสิ่งเกินจำเป็นไปในทันที ไม่ต้องพูดถึงรถยนต์ที่ฉันไม่มีใช้ รถอีแต๊กที่เคยผ่านเส้นทางนี้ทุกเช้า…
เงาศิลป์
ทุกชีวิตย่อมมีศักยภาพในการใช้ชีวิต หากยอมรับว่า “เกมการล่า” ว่าเป็นวิถีทางที่มีอยู่จริง และเราสามารถยอมรับความเจ็บปวดได้เมื่อตนเองถูกล่า ชีวิตฉันมักจะเป็นดั่งนี้… สิบกว่าปีที่แล้ว ณ ริมธาร “ห้วยแก้ว” เชียงใหม่ สายฝนที่ตกลงมาอย่างหน่วงหนักตลอดคืน ทำให้หลังคากระท่อมที่มุงด้วยใบหญ้าคา ทรุดฮวบลงมากองทับตัวฉันและกองหนังสือของฉันจนเปียกปอน ฉันได้แต่หัวเราะอย่างขำขื่น สาสมใจ วันนี้...ในหุบเขากว้าง บนแผ่นดินที่ราบสูง หลังจากฟ้าฝนกระหน่ำสายติดต่อกันหลายวันหลายคืน ฟ้าจึงบรรณาการแสงแดดอันอุ่นเอื้อมาให้ ต้นไม้ของฉันจึงได้หายใจบ้าง ต้นไม้ใหญ่ อาจพอมีเวลาต่อรอง…
เงาศิลป์
ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นตื่นตระหนกเบิกโพลงอยู่ในความมืดสลัวของกระสอบปุ๋ย ทันทีที่ฉันเปิดปากถุงพวกมันต่างเงยหน้าจ้องมองมาที่ฉัน ดวงตาอีกสี่คู่เป็นสีน้ำตาลกลมกลืนกับความมืดจึงไม่สะดุดใจเท่าดวงตาคู่ที่เป็นสีน้ำทะเลกระจ่างจ้าคู่นั้น“โถ ลูกหนอลูก” ฉันร้องครางอยู่ในใจ นั่นคือเหตุการณ์ในเวลาเช้าตรู่ ที่ฟ้าฝนกระหน่ำสายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กาลเช่นนี้ได้ลักพาความสดชื่นแห่งวันใหม่ไปซุกซ่อนไว้ในม่านเมฆฝนหนาทึบริมฟ้า ราวกับมันเป็นจำเลยที่ต้องโทษหนัก และเช่นกัน ฉันผู้เคยเสพสุขจึงต้องร่วมรับโทษทัณฑ์นั้นไปด้วย เพราะเวลาที่อึมครึมในแต่ละนาทีดูเหมือนเนิ่นช้าและหน่วงทับอารมณ์มากขึ้นและมากขึ้นทุกขณะ  …
เงาศิลป์
ฉันสำเหนียกถึงแรงสะเทือนที่ดิ้นสะท้านอยู่ภายในอก ยามที่เผลอใจไปยึดมั่นกับเรื่องราวความขัดแย้งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราขณะนี้ ทั้งที่ฉันตั้งใจวางตัวเองไว้ตรงชายขอบของสังคม... ไม่ได้ตั้งใจปิดหูปิดตาตัวเอง แต่เพราะการสื่อสารทั้งหลายที่ไม่สะดวก ฉันจึงหลุดออกมานอกวงสนทนาของความขัดแย้งเกลียดชัง เพราะ...ถูกและผิด ใช่และไม่ใช่เป็นเรื่องซับซ้อน วันวาน...สภาพชีวิตของฉันเป็นเสมือนวัชพืชของสังคมวันนี้...ฉันเป็นผู้แผ้วถางวัชพืชตัวจริงอย่างสำนึกรู้ผิดบาป แม้จะเลือกใช้เครื่องมือที่ปลอดภัยที่สุดแล้วต่อชีวิตเล็กๆ แต่กระนั้นฉันก็ยังทำลายชีวิตบางชีวิตอยู่ดี
เงาศิลป์
“เมื่อวานนี้คนในหมู่บ้านถูกหวยกันหลายคน”ยายแดงเริ่มเรื่อง ขณะที่นั่งจุมปุ๊กบนพื้นหญ้าหน้าบ้าน พลางเอาเสียมปากแบนแซะหญ้าเล่น ใบหน้ายังแดงก่ำ หยาดเหงื่อยังเปียกชื้นที่ไรผม เพราะงานดายหญ้า“แล้วยายแดงไม่ถูกกะเขาด้วยเหรอ” ฉันนั่งบนที่พักเชิงบันได หลังจากจัดเรียงกล้าไม้ใกล้โอ่งน้ำเสร็จไปแล้วหนึ่งชุด“ไม่ได้ซื้อกับเขาหรอก ไม่ค่อยได้ซื้อหวย” นับว่าเป็นบุคคลที่น่ายกย่อง ฉันชื่นชมในใจ“แล้วชาวบ้านได้เลขมาจากไหนกันละยายแดง”“เขาว่าเป็นเลขผีบอก ผีจากวัดป่าบอกผ่านเจ้าอาวาสอีกที”“อืม....ไม่เลวแฮะ แสดงว่าผีมีจริง”....ฉันนึกถึงกุศโลบายของตัวเอง ที่บอกกับใครๆว่าทุกวันนี้อาศัยอยู่กับ “ผีโนนบ้านคึม…
เงาศิลป์
นั่งบนตอไม้เล็กๆ หลังพิงโอ่งน้ำขนาดเท่าช้างพังตั้งท้อง ในปากกำลังเคี้ยวมะม่วงแก้วที่สุกพอห่ามๆ รสชาดกำลังดีมีความเปรี้ยวนิดๆ ทั้ง “เจ้าเสือ” หมาหนุ่มคู่บารมี ยังนอนหมอบราบคาบแก้ว ทำท่าขอแบ่งกินอยู่ตรงเท้า ดูสิ..ฉันใช้ชีวิตราวกับพระราชาในเทพนิยาย  เพราะเบื้องหน้าไกลโพ้นโน่น ตรงขอบฟ้าเหนือดงไม้นั่น คือการแสดงพลังพิเศษของเหล่าสามัญมนุษย์ เพื่อสื่อสารกับเทวดาพญาแถน จนท้องฟ้าสั่นสะเทือน ม่านเมฆเคลื่อนอยู่ไปมาเนื่องจากบ้านไร่เป็นที่ๆ ห่างไกลชุมชนทั้งในระยะทาง และด้วยสายตา แต่ฉันก็สามารถมองเห็นที่ตั้งของทุกหมู่บ้านรายรอบได้เป็นอย่างดี ในวันเวลาเช่นนี้ ทุกทิศทางจะมีเสียงดังฟู่ยาวๆ…
เงาศิลป์
มันคงเป็นเรื่องเล่าที่ชวนพิศวง ฉันคงสงสัยว่ามันมีความจริงปนอยู่สักเท่าใด หากไม่ได้ถูกบันทึกไว้ด้วยมือของฉันเองภาพในอดีตเมื่อยี่สิบปีที่แล้วฉันเห็นตัวเองเกาะแน่นอยู่บนอานรถมอเตอร์ไซค์ที่ไต่ไปตามคันนาเล็กๆ คนขับชำนาญทางเป็นอย่างดี เพราะไม่เช่นนั้นอาจได้ลงไปนอนแช่น้ำในผืนนากันทั้งคู่“พี่หวาด” เป็นหมอยาพื้นบ้านและเป็นเพื่อนร่วมงานของฉัน แกทำหน้าที่เป็นสารถีรวมทั้งเป็นเนวิเกเตอร์ในการไปพบเจอกับแหล่งข้อมูล และนั่นคือที่มาของเรื่องราวที่เหลือเชื่อ ที่หลงเหลือไว้ให้ฉันหยิบจับขึ้นมาอ่านซ้ำอย่างประหลาดใจไม่น่าเชื่อว่าฉันจะเคยพบเจอกับบุคคลที่มีบุคลิกพิเศษมากมาย ปัจจุบันเขาเหล่านั้นลาจากโลกนี้ไปแล้ว…