Skip to main content

ฉันมีเรื่องราวจะแลกเปลี่ยน ลองฟังดูนะ


ตาเก้กับการลงทุน

คนอย่างผม ถ้าทำอะไรก็ต้องทุ่มหมดตัว” ตาเก้พูดเสียงต่ำ สีหน้ายิ้มเหยียดหน่อยๆ บ่งถึงความสาสมใจในชีวิต ขณะย่ำเดินไปบนพื้นดินทรายที่เพิ่งถูกผานไถพลิกพรวนให้กอหญ้าคว่ำหน้าลง

แกกำลังจะลงทุนอีกรอบบนผืนดินนี้ ทั้งที่เจ้าหน้าที่ของโรงงานน้ำตาลฟันธงแล้วว่า “ดินเสื่อมสภาพหมดแล้ว”


สิบกว่าปี ที่แกซื้อที่ดินผืนนี้มาในราคาที่ถูกแสนถูก และเพียงแค่ปลูกอ้อยสองฤดูกาล ก็ได้เงินคืนมาหมดแล้ว ดังนั้นเรื่องความเสี่ยงใดๆ ไม่ต้องกังวลถึง ไม่ว่าราคาอ้อยจะสูงหรือต่ำ อย่างไรเสียแกก็ยังเชื่อมั่นว่าจะไม่มีทางขาดทุน เพราะแรงงานเป็นของตนเองและภรรยาล้วนๆ บางอย่างที่พอพึ่งพาแรงงานลูกเล็กๆ ก็ช่วยกันไป


ต้นทุนที่มีจึงไม่มากนัก มีเพียงค่าน้ำมันรถแทรคเตอร์ ค่าหญ้าฆ่าหญ้าและปุ๋ยบ้างเท่าที่จำเป็น เพราะเนื้อดินยังมีอาหารธรรมชาติอยู่มาก


ครบสิบปีแล้ว ผืนดินอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง บางส่วนหน้าดินเสียชีวิตหมดแล้ว ยากที่หน่ออ้อยจะแทงยอดขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะบำรุงบำเรออย่างไรก็ตาม จนแกเผลอบ่นออกมาว่า

พอลูกๆโตจนใช้แรงงานได้เต็มที่แล้ว ดินก็มาเสื่อมสภาพเสียนี่”


ปีนี้ตาเก้จึงทุ่มเทกับการปลูกมันสำปะหลังให้มากขึ้น ทดแทนการปลูกอ้อย อย่างน้อยก็ยังได้ชื่อว่ามีการเพาะปลูกสม่ำเสมอ มีการสร้างรายได้ให้กับตัวเองตลอดมา


เพื่อที่ว่า ในใบขอกู้เงินที่ยื่นต่อธนาคาร จะได้มีข้ออ้างว่าเพื่อนำมาปลูกมันสำปะหลังนั่นเอง


คนอย่างผม ทำอะไรก็ต้องทุ่มหมดตัว” เสียงของแกสะท้อนก้องวนเวียนซ้ำซากอยู่ในหัวของฉันอย่างน่าสยดสยอง ไม่ใช่เพราะกลัวแทนแก แต่ฉันกลัวความคิดของคนที่คิดแบบนี้ จะเพิ่มมากขึ้นๆ จนกระทั่งต้องฆ่าตัวตายกันทั้งโลก


เหมือนเลือกเดินไปในอุโมงค์คับแคบ ยิ่งปลายทางยิ่งเบียดเสียด แย่งอากาศกันหายใจ จนในที่สุดคนอ่อนแอก็ล้มลง คนอื่นๆก็ย่ำเหยียบลงไปอย่างไม่รู้สึกรู้สม เพียงเพราะในใจคาดหวังว่าที่ปลายทางจะมีอากาศสดชื่น มีพื้นที่กว้างใหญ่ให้ตนเองได้อาศัยอย่างมีความสุข


ฉันถามว่าแต่เดิมที่ดินแปลงนี้เจ้าของเขาเคยปลูกอะไรเอาไว้ คำตอบที่ได้ช่างน่าตกตะลึง

เขาปลูกต้นสักและต้นประดู่ เต็มพื้นที่นี้แหละ แต่ผมก็ไถออกจนหมด ถ้าเหลือเอาไว้ ก็คงโตเท่าๆกับสองต้นนั่นล่ะ” แกชี้ไปที่ต้นสักริมรั้ว ซึ่งใหญ่โตขนาดทำเสาเรือนได้อย่างสบาย ความสูงจากโคนต้นไปถึงปลายยอดไม่ต่ำกว่ายี่สิบเมตร คิดราคาคร่าวๆ น่าจะไม่ต่ำกว่าพันบาท ถ้ามีต้นสักขนาดนี้เต็มพื้นที่จำนวนสิบไร่ หากตัดขายในวันนี้ เงินที่กำอยู่ในมือไม่ต่ำกว่าเลขเจ็ดหลักอย่างแน่นอน


แต่เพราะอะไรตาเก้จึงเลือกที่จะตัดต้นไม้ยืนต้นทิ้งเสียเล่า


ในทางเทคนิค การปลูกพืชไร่ต้องทำพื้นที่ให้เกลี้ยง ยิ่งไม่มีต้นไม้ใหญ่ที่มีร่มเงามาบดบังยิ่งดี พื้นดินใหม่ที่เพิ่งปลูกอ้อยปีแรก จะได้ผลผลิตอย่างงาม กำไรเห็นๆ ปีที่สองก็ทำอย่างเดิม กำไรยังพอมี จนกระทั่งปีสุดท้าย ดินเสื่อมสภาพหมดแล้ว จะหากำไรจากการขายอ้อยได้อย่างไรในเมื่อ ลำอ้อยเล็กลง จำนวนต้นก็น้อยลง ขณะต้นทุนเพิ่มมากขึ้น ทั้งน้ำมันที่ต้องใช้ปั่นเครื่องสูบน้ำมารดและราคาปุ๋ย ราคายาฆ่าหญ้า ล้วนแพงขึ้น


สรุปว่าสิบปีแห่งความหลัง แห่งความหอมหวานผ่านพ้นไปแล้ว ดินที่เหลือที่พอจะหากินได้ก็มีเพียงมันสำปะหลังที่เติบโตได้ดี แต่นั่นเท่ากับเร่งให้หายนะเกิดเร็วยิ่งขึ้น ปีต่อไปดินจะยิ่งเสื่อมอย่างรวดเร็ว การฟื้นฟูดินที่พอจะเป็นไปได้คือการปล่อยให้ดินฟื้นตัว สลับกับการปลูกพืชบำรุงดิน แต่ทว่า..วงจรหนี้สินมันไล่หลังมาติดๆ จะเอาเวลาที่ไหนมาทิ้งช่วงให้ดินฟื้นตัวได้เล่า


ถึงเวลาที่ตาเก้ต้องแก้ปัญหากันอีกหน เหมือนที่หลายๆคนทำ คือแบ่งขายที่ดินบางส่วน เพื่อใช้หนี้


เรื่องของตาเก้ ยังนับว่าเป็นนักลงทุนการเกษตรแบบพื้นๆไม่พิสดารนัก (ยังมีที่พิสดาร เอาไว้จะเล่าทีหลัง)แต่หลังจากแบ่งที่ดินบางส่วนออกขายแล้ว แกจะคิดอย่างไรกับการ “ลงทุน”


ฤดูหนาวนี้ บริเวณใกล้ๆไร่ฉัน มีหลายคนที่แบกภาระหนี้สินจนหลังแอ่นปางตาย จึงต้องตื่นขึ้นมาก่อนไก่ตื่น เพื่อมาผสมพันธุ์ดอกมะเขือเทศ และเข้านอนตอนไก่ละเมอครางในยามดึก เพียงเพื่อให้ได้เงินจากการทำงานให้กับบริษัทผูกขาดสินค้าการเกษตร เพราะเขาไม่อาจเสี่ยงกับการลงทุนปลูกพืชอะไรอื่นๆที่ไม่รู้ว่าจะขายใครที่ไหนได้อีกแล้ว


เกษตรที่นี่ใช้เวลาทุ่มเทกับการทำงานนานกว่าโบรกเกอร์ในตลาดหุ้น นานกว่าคนขายของเป็นกะในร้าน 7-11 นั่น


น่าเสียดาย ที่เขาไม่คิดถึงการปลูกพืชบางอย่าง ที่แม้ไม่ให้ผลในวันนี้ แต่ในยามแก่เฒ่า เขาจะได้ประโยชน์จากมันอย่างแน่นอน


ฉันไม่อยากกล่าวว่า นี่คือความเขลา และไม่อยากกล่าวประณามผู้ที่มีส่วนร่วมสร้างโครงสร้างอันบิดเบี้ยวนี้ ยิ่งได้เห็นโครงการโง่ๆบางอย่างของอบต. (ที่ไม่ขอเอ่ยในที่นี้) ที่คิดแค่การใช้เงินให้เป็นผลประโยชน์กับตัวเองในการเลือกตั้งสมัยหน้า แค่นี้ก็บ่งบอกแล้วว่า


สังคมไทย ไปไหนได้ไม่ไกลหรอกพี่น้องเอ๋ย”



บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
  ภูเขาหัวโล้นลูกนี้ อยู่ในเทือกเดียวกับภูหลวง จังหวัดเลย "ถามจริงๆ เถอะ คนแบบเราๆ นี่ ถ้าไปเป็นคนทำสวนจะหาเลี้ยงตัวเองได้จริงหรือ"เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งถามฉัน ในวันที่ฉันยังไม่ได้มีอาชีพทำสวน คงเป็นคำถามเพื่อนำไปสู่การสนทนาเชิงวิเคราะห์ว่าความคิดที่จะพึ่งตนเองจากอาชีพนี้เป็นไปได้จริงหรือ และฉันจำได้ว่าคำตอบของตัวเอง คือ"ไม่ได้" "ไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าการพึ่งตนเองหมายถึงการตัดเส้นเลือดทางการเงินจากอาชีพอื่นโดยสิ้นเชิง สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นปลูกต้นไม้ในปีแรกๆ และไม่มีเงินเก็บ หรือไม่มีคนสนับสนุนทางการเงิน คงไปไม่รอด"ฉันตอบจากประสบการณ์ที่เห็นปัญญาชนหลายคนอยากจะเป็นชาวไร่…
เงาศิลป์
ยามค่ำคืนที่เหน็บหนาวออกปานนี้ หนาวจนต้องสวมเสื้อกันหนาวหนาๆ ถึงสองชั้น หวังทนทานต่อความแหลมคมของไอหนาวที่แทรกซอนเข้ามาบาดเนื้อ เสื้อผ้าอาจปกป้องร่างกายไว้ได้บ้าง แต่บางความหนาวที่แทรกซึมเข้ามาได้กลับกระพือความร้อนรุ่มภายในให้ลุกโชน  ภาพถ่ายสุดท้ายของเจ้าเก๋า ในวันก่อนจะจากไปเพียงไม่กี่วัน สิ้นสุดเสียทีอีกหนึ่งชีวิต ไม่ต้องทรมานอีกต่อไป เพราะพิษของสารเคมีที่เข้าไปทำลายตับไตไส้พุงจนหมดสิ้น ในเวลาสี่วัน วันสุดท้ายของมันกับความรู้สึกห่วงใยของฉัน มันคงรับรู้ได้ นาทีสุดท้าย มันจึงสะท้อนลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงทิ้งตัวลงบนตักฉัน แล้วจากไปนิรันดร์
เงาศิลป์
พวกมันพากันเลื้อยไปบนผิวดิน ในสภาวะอากาศอุ่นๆ คล้ายทุรนทุรายรีบร้อนที่จะไปที่ไหนสักที่ แต่กลับหลงทางวกวนจนขาดใจตายไปในที่สุด เพียงชั่วเวลาไม่ถึงชั่วโมงยามนี้ ไอแดดไม่ผ่าวร้อนอีกต่อไป ละไอหมอกที่ห่อหุ้มรอบๆตัว สร้างความมัวซัวทั้งแนวป่า มันจึงปกป้องผิวดินให้เย็นฉ่ำ และเก็บความชุ่มชื้นไว้ด้วยหยาดน้ำค้าง แต่ทำไมไส้เดือนผู้รักดินจึงคิดทิ้งถิ่นอาศัย ดิ้นรนไปสู่ความตายเช่นนี้ด้วยเล่าสำหรับฉัน รอยต่อของฤดูฝนชนฤดูหนาว ธรรมชาติมีของกำนัลที่น่ารักมามอบให้มากมาย โดยเฉพาะแม่นกทั้งหลายที่มีลูกน้อยและสั่งสอนลูกๆให้หัดบิน มีมาให้เห็นใกล้ๆอยู่บ่อยครั้ง เพราะนี่คือช่วงเวลาที่ดี สำหรับการหาอาหาร…
เงาศิลป์
ละไอหมอกลอยเรี่ยอาบยอดไม้ ยามแสงเช้าสาดส่องทั่วลานไร่ รอบๆ กายคล้ายความฝัน นานนับปีแล้ว ที่ฉันไม่ได้เดินทางไกล ฤดูกาลเช่นนี้ มักกระซิบเรียกหาให้โลดแล่นออกไปตามใจตน แต่คราวนี้งานหนักในไร่ยังคงเร่งเร้าอยู่ตรงหน้า ยิ่งยามต้นไม้โบกไหว สบัดเรียวใบชุ่มเขียวให้คลายสี แล้วปล่อยให้ลมแล้งแต้มสีเหลืองจางๆ ลงแทน ฉันยิ่งต้องเร่งทำงาน หยิบสมุดบันทึกออกมาอ่านอย่างไม่ตั้งใจ กลับพบบางอย่างที่ชวนขำ ฤดูหนาวของปีนั้น ฉันได้เร่ร่อนท่องเที่ยวไปท่ามกลางความขัดแย้งที่บานปลายไปจนถึงขั้นสู้รบฆ่าฟันกันรายวัน และได้เห็นภาพการประท้วงที่วุ่นวายบนท้องถนน เกือบทั่วทั้งประเทศ บนรถไฟ จากเมืองแคนดี้…
เงาศิลป์
“ทำไมพี่ไม่ใช้ตัวพ่วงท้ายที่ไถพรวนไปพร้อมๆ กับตัดหญ้าล่ะครับ ดินจะได้ไม่แข็ง” เป็นคำแนะนำของยุทธ ซึ่งแวะมาที่ไร่แต่เช้า เพื่อขอยืมพลั่วไปตักปุ๋ยขี้ไก่ ไว้หยอดใส่หลุมแตงโมที่เถาว์เริ่มเลื้อยยาว ขณะที่ฉันขับรถแทรกเตอร์ตัดหญ้าในสวน เจตนารมณ์ของการทำสวนที่คิดว่าจะเบียดเบียนชีวิตอื่นให้น้อยที่สุด และเพื่อประโยชน์ตนอันสูงสุด เท่าที่จะทำได้ ฉันจึงตั้งใจว่าจะไม่ไถพรวน แม้บางทฤษฎีของบางนักวิชาการจะบอกว่า ดินทรายต้องไถพรวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายฤดูฝน เพราะการไถพรวนพลิกหน้าดิน จะช่วยลดการสูญเสียน้ำใต้ดินจากการดูดซึมของต้นหญ้า ใช่สิ ในภาคอีสานฉันเห็นการไถพรวนในเกือบทุกแปลงการเกษตร…
เงาศิลป์
นานๆ จึงจะมีเพื่อนบ้านแวะมาเยี่ยม ยิ่งยามนี้ยิ่งยากที่จะได้พบเจอคนผ่านทาง เพราะเส้นทางรถอีแต๊กถูกกระแสน้ำเชี่ยวลากพาดินทรายพัดหายไปทางลำธารข้างล่างโน่น จนกลายเป็นร่องน้ำลึกมีรากไม้ขนาดเล็กใหญ่พาดพันกันยุ่งเหยิง ส่วนพื้นที่ในไร่ ต้นไม้ยังเล็กนัก ร่องน้ำเล็กใหญ่เกิดขึ้นมากมาย แต่ที่ดินไม่พังทลายลงไปมาก เพราะผิวดินยังมีรากกอหญ้าสูงยึดดึงเอาไว้ ฉันหวังว่าปีต่อๆไป ผิวดินจะปลอดภัยมากกว่านี้ ถนนทางทิศตะวันออกของไร่กลายเป็นลำธาร จักรยานหรือมอเตอร์ไซค์เป็นสิ่งเกินจำเป็นไปในทันที ไม่ต้องพูดถึงรถยนต์ที่ฉันไม่มีใช้ รถอีแต๊กที่เคยผ่านเส้นทางนี้ทุกเช้า…
เงาศิลป์
ทุกชีวิตย่อมมีศักยภาพในการใช้ชีวิต หากยอมรับว่า “เกมการล่า” ว่าเป็นวิถีทางที่มีอยู่จริง และเราสามารถยอมรับความเจ็บปวดได้เมื่อตนเองถูกล่า ชีวิตฉันมักจะเป็นดั่งนี้… สิบกว่าปีที่แล้ว ณ ริมธาร “ห้วยแก้ว” เชียงใหม่ สายฝนที่ตกลงมาอย่างหน่วงหนักตลอดคืน ทำให้หลังคากระท่อมที่มุงด้วยใบหญ้าคา ทรุดฮวบลงมากองทับตัวฉันและกองหนังสือของฉันจนเปียกปอน ฉันได้แต่หัวเราะอย่างขำขื่น สาสมใจ วันนี้...ในหุบเขากว้าง บนแผ่นดินที่ราบสูง หลังจากฟ้าฝนกระหน่ำสายติดต่อกันหลายวันหลายคืน ฟ้าจึงบรรณาการแสงแดดอันอุ่นเอื้อมาให้ ต้นไม้ของฉันจึงได้หายใจบ้าง ต้นไม้ใหญ่ อาจพอมีเวลาต่อรอง…
เงาศิลป์
ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นตื่นตระหนกเบิกโพลงอยู่ในความมืดสลัวของกระสอบปุ๋ย ทันทีที่ฉันเปิดปากถุงพวกมันต่างเงยหน้าจ้องมองมาที่ฉัน ดวงตาอีกสี่คู่เป็นสีน้ำตาลกลมกลืนกับความมืดจึงไม่สะดุดใจเท่าดวงตาคู่ที่เป็นสีน้ำทะเลกระจ่างจ้าคู่นั้น“โถ ลูกหนอลูก” ฉันร้องครางอยู่ในใจ นั่นคือเหตุการณ์ในเวลาเช้าตรู่ ที่ฟ้าฝนกระหน่ำสายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กาลเช่นนี้ได้ลักพาความสดชื่นแห่งวันใหม่ไปซุกซ่อนไว้ในม่านเมฆฝนหนาทึบริมฟ้า ราวกับมันเป็นจำเลยที่ต้องโทษหนัก และเช่นกัน ฉันผู้เคยเสพสุขจึงต้องร่วมรับโทษทัณฑ์นั้นไปด้วย เพราะเวลาที่อึมครึมในแต่ละนาทีดูเหมือนเนิ่นช้าและหน่วงทับอารมณ์มากขึ้นและมากขึ้นทุกขณะ  …
เงาศิลป์
ฉันสำเหนียกถึงแรงสะเทือนที่ดิ้นสะท้านอยู่ภายในอก ยามที่เผลอใจไปยึดมั่นกับเรื่องราวความขัดแย้งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราขณะนี้ ทั้งที่ฉันตั้งใจวางตัวเองไว้ตรงชายขอบของสังคม... ไม่ได้ตั้งใจปิดหูปิดตาตัวเอง แต่เพราะการสื่อสารทั้งหลายที่ไม่สะดวก ฉันจึงหลุดออกมานอกวงสนทนาของความขัดแย้งเกลียดชัง เพราะ...ถูกและผิด ใช่และไม่ใช่เป็นเรื่องซับซ้อน วันวาน...สภาพชีวิตของฉันเป็นเสมือนวัชพืชของสังคมวันนี้...ฉันเป็นผู้แผ้วถางวัชพืชตัวจริงอย่างสำนึกรู้ผิดบาป แม้จะเลือกใช้เครื่องมือที่ปลอดภัยที่สุดแล้วต่อชีวิตเล็กๆ แต่กระนั้นฉันก็ยังทำลายชีวิตบางชีวิตอยู่ดี
เงาศิลป์
“เมื่อวานนี้คนในหมู่บ้านถูกหวยกันหลายคน”ยายแดงเริ่มเรื่อง ขณะที่นั่งจุมปุ๊กบนพื้นหญ้าหน้าบ้าน พลางเอาเสียมปากแบนแซะหญ้าเล่น ใบหน้ายังแดงก่ำ หยาดเหงื่อยังเปียกชื้นที่ไรผม เพราะงานดายหญ้า“แล้วยายแดงไม่ถูกกะเขาด้วยเหรอ” ฉันนั่งบนที่พักเชิงบันได หลังจากจัดเรียงกล้าไม้ใกล้โอ่งน้ำเสร็จไปแล้วหนึ่งชุด“ไม่ได้ซื้อกับเขาหรอก ไม่ค่อยได้ซื้อหวย” นับว่าเป็นบุคคลที่น่ายกย่อง ฉันชื่นชมในใจ“แล้วชาวบ้านได้เลขมาจากไหนกันละยายแดง”“เขาว่าเป็นเลขผีบอก ผีจากวัดป่าบอกผ่านเจ้าอาวาสอีกที”“อืม....ไม่เลวแฮะ แสดงว่าผีมีจริง”....ฉันนึกถึงกุศโลบายของตัวเอง ที่บอกกับใครๆว่าทุกวันนี้อาศัยอยู่กับ “ผีโนนบ้านคึม…
เงาศิลป์
นั่งบนตอไม้เล็กๆ หลังพิงโอ่งน้ำขนาดเท่าช้างพังตั้งท้อง ในปากกำลังเคี้ยวมะม่วงแก้วที่สุกพอห่ามๆ รสชาดกำลังดีมีความเปรี้ยวนิดๆ ทั้ง “เจ้าเสือ” หมาหนุ่มคู่บารมี ยังนอนหมอบราบคาบแก้ว ทำท่าขอแบ่งกินอยู่ตรงเท้า ดูสิ..ฉันใช้ชีวิตราวกับพระราชาในเทพนิยาย  เพราะเบื้องหน้าไกลโพ้นโน่น ตรงขอบฟ้าเหนือดงไม้นั่น คือการแสดงพลังพิเศษของเหล่าสามัญมนุษย์ เพื่อสื่อสารกับเทวดาพญาแถน จนท้องฟ้าสั่นสะเทือน ม่านเมฆเคลื่อนอยู่ไปมาเนื่องจากบ้านไร่เป็นที่ๆ ห่างไกลชุมชนทั้งในระยะทาง และด้วยสายตา แต่ฉันก็สามารถมองเห็นที่ตั้งของทุกหมู่บ้านรายรอบได้เป็นอย่างดี ในวันเวลาเช่นนี้ ทุกทิศทางจะมีเสียงดังฟู่ยาวๆ…
เงาศิลป์
มันคงเป็นเรื่องเล่าที่ชวนพิศวง ฉันคงสงสัยว่ามันมีความจริงปนอยู่สักเท่าใด หากไม่ได้ถูกบันทึกไว้ด้วยมือของฉันเองภาพในอดีตเมื่อยี่สิบปีที่แล้วฉันเห็นตัวเองเกาะแน่นอยู่บนอานรถมอเตอร์ไซค์ที่ไต่ไปตามคันนาเล็กๆ คนขับชำนาญทางเป็นอย่างดี เพราะไม่เช่นนั้นอาจได้ลงไปนอนแช่น้ำในผืนนากันทั้งคู่“พี่หวาด” เป็นหมอยาพื้นบ้านและเป็นเพื่อนร่วมงานของฉัน แกทำหน้าที่เป็นสารถีรวมทั้งเป็นเนวิเกเตอร์ในการไปพบเจอกับแหล่งข้อมูล และนั่นคือที่มาของเรื่องราวที่เหลือเชื่อ ที่หลงเหลือไว้ให้ฉันหยิบจับขึ้นมาอ่านซ้ำอย่างประหลาดใจไม่น่าเชื่อว่าฉันจะเคยพบเจอกับบุคคลที่มีบุคลิกพิเศษมากมาย ปัจจุบันเขาเหล่านั้นลาจากโลกนี้ไปแล้ว…