Skip to main content
การที่คนป่วยคนหนึ่ง ได้เลือกหนทางรักษาตัวเองด้วยตัวเอง น่าจะมีองค์ประกอบอยู่สองอย่างที่สำคัญ นั่นคือ หนึ่ง ความรู้ที่มีพร้อมในเรื่องวิธีการรักษาที่ตัวเองเลือก สอง ความไม่รู้ในวิธีการใดๆ แต่ต้องตัดสินใจเลือกในสิ่งที่คิดว่าสะดวกทั้งต่อตนเองและคนดูแล
\\/--break--\>

คุณกำลังดูแลคนที่คุณรักด้วยวิธีการไหนคะ

กรณีของแม่ชีน้อย เธอเลือกจากใจที่เปี่ยมศรัทธา และหาใช่วิธีการรักษาในทางกายไม่ แต่บังเอิญโชคดี ที่เธอมีครอบครัวอันเป็นที่รักคอยหนุนช่วยทางด้านการรักษาร่างกายไปพร้อมๆกัน

ตอนที่ 4 ได้พบกับหลวงพ่อ

พี่พยาบาลคนนั้นเดินจากไปแล้ว  แม่จึงเข้ามาถามลูกเพื่อให้ลูกเป็นคนตัดสินใจ  แต่ลูกอ่อนเพลียจนไม่มีแรงที่จะพูด แม่จึงถามลูกว่า แม่ให้ป่านเลือกนะลูกว่า  ข้อหนึ่งลูกจะให้หมอทำคีโมหรือไม่  ข้อสอง หรือว่าลูกจะกลับไปรักษาธรรมชาติบำบัดที่สวนหมอเขียว(แม่พูดพลางชี้นิ้วขึ้นหนึ่งนิ้ว และสองนิ้ว) คำตอบที่ได้รับคือ ลูกชูมือขึ้นสองนิ้ว แม่ดีใจที่เราคิดเหมือนกัน แม่ไม่อยากเห็นลูกทรมานมากไปกว่านี้อีกแล้ว

"ถ้างั้นกลับบ้านเรากันนะลูก"
ลูกมีอาการดีใจ สีหน้าแววตาบ่งบอกถึงความสุขกลับมาอย่างฉับพลัน

ถึงกระนั้นแม่เองก็ยังกังวลใจไม่น้อย ในการดูแลลูกโดยปราศจากเครื่องมือแพทย์ที่จำเป็น จึงเตรียมซื้อออกซิเจนกระป๋องเล็กๆไว้ให้ลูกกับรถเข็นหนึ่งคัน  ส่วนพ่อได้ไปติดต่อขอรถพยาบาลกับโรงพยาบาล กำหนดการที่จะเดินทางได้คือวันพรุ่งนี้ตอนเช้า

16 พฤษภาคม 2551

"ป่านอยากไปอยู่ที่วัดกับหลวงพ่อ" ลูกบอกแม่กับพ่อในเช้าวันนั้น ก่อนที่จะออกเดินทาง
"ที่วัดไม่มีเครื่องมือพยาบาลอะไรเลยนะลูก" พ่อย้ำ
"ไม่เป็นไรค่ะพ่อ ป่านอยากไปอยู่กับหลวงพ่อ" ลูกยืนยัน
"แต่ว่าตอนนี้ร่างกายป่านยังไม่แข็งแรงนัก ไปรักษาตัวที่สวนป่านาบุญก่อนนะลูก"
"ค่ะ" ลูกรับคำอย่างเข้าใจในความจำเป็น

ความผูกพันที่ลูกมีต่อหลวงพ่อ คงเริ่มตั้งแต่การได้พบกับท่านในครั้งแรกนั้นแล้ว


วันนั้น วันที่
25 เมษายน 2551 หลวงพ่อมีธุระบางอย่างที่จังหวัดสกลนคร ขณะที่ลูกนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลรักษ์สกลมาตั้งแต่เมื่อวาน อาจารย์ชนินทร์ ที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ ได้เคยนิมนต์หลวงพ่อเอาไว้ว่าอยากให้ท่านมาโปรดเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ศูนย์อินแปง เพราะอาจารย์ชนินทร์มาเก็บข้อมูลทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับเครือข่ายอินแปงกับการสร้างสังคมเกษตรกรรมรอบเทือกเขาภูพาน ได้มาพบลูกที่นอนป่วย และเห็นว่าลูกเป็นเด็กดีที่น่าช่วยเหลือ จึงนิมนต์หลวงพ่อเอาไว้

วันนั้น ด้วยเหตุบังเอิญ ที่อาจารย์อยากจะนิมนต์หลวงพ่อ และหลวงพ่อก็อยู่ในเมืองนั้นแล้วด้วย การนัดหมายจึงเกิดขึ้น โดยที่หลวงพ่อเดินทางมารออาจารย์ชนินทร์ที่โรงพยาบาล ขณะที่รอหลวงพ่อท่านได้นั่งสมาธิอยู่ที่ห้องโถง บางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้น แม่มารู้จากปากของหลวงพ่อ เมื่อเวลาผ่านมาแล้วเกือบ 4 เดือน

"ก่อนที่เราจะไปเยี่ยมเขาในห้อง เรานั่งสมาธิรอคนที่จะมาพาไป อยู่ข้างนอก มีความลึกลับบางอย่างสื่อสารกับเราได้ บอกถึงสภาวะบางอย่างของเขา เมื่อไปถึงเราก็บอกเขาตรงๆไปเลย ตรงกับสภาวะจิตของเขานั่นล่ะ บอกให้ปล่อยวาง แยกเวทนา แยกกาย แยกจิตออกจากกัน จนกระทั่งให้ปล่อยวางแม้กระทั่งจิต ซึ่งเขาก็ทำได้นะ"

ลูกแม่ คำพูดนี้ของหลวงพ่อ แม่ได้รับฟังในวันที่17 กรกฎาคม 2551 วันนั้นหมออพภิวันท์ นิตยารัมภ์พงศ์ มาถ่ายรูปและสัมภาษณ์ลูก และถามถึงการที่ลูกได้พบกับหลวงพ่อในครั้งแรกว่า ลูกได้เรียนรู้การปฏิบัติธรรมอย่างไร คนที่ตั้งคำถามอาจจะต้องการวิธีการที่ชัดเจน แม่เห็นลูกนิ่งคิด แล้วค่อยๆตอบอย่างช้าๆว่า

"เมื่อหลวงพ่อบอกว่า ให้ปล่อยวาง ก็ค่อยๆแยกความรู้สึกออกไป เห็นชัดเจนว่ากายกับจิตแยกกัน จิตเบาสบายมากขึ้น" น้ำเสียงสดใส คำตอบกระชับชัดเจน เปี่ยมพลังอยู่ภายใน
"ใช้เวลานานแค่ไหนคะ จึงแยกได้ชัดเจน" คุณหมอถามต่อ
"ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีค่ะ"    ลูกตอบช้าๆ น้ำเสียงมั่นคง ทุกคนในที่นั้นส่งเสียงร้อง ฮ้า!! แล้วพากันหัวเราะชอบใจ
"คนที่อายุมากแล้ว ยังทำไม่ได้อย่างหนูเลยนะลูก" หมออพภิวันท์ ว่า

มีวีดีโอที่พ่อบันทึกการพบกับหลวงพ่อในครั้งนั้นด้วย น่าแปลก ที่วันนั้นเป็นวันที่ใครหลายคนมาเยี่ยมลูกกันเต็มห้องไปหมด เขาทั้งหมดได้กราบหลวงพ่อด้วย แม้กระทั่งลุงยุทธที่จากโลกนี้ไปก่อนลูกหนึ่งวัน ก็ยังได้กราบหลวงพ่อ เพราะลุงยุทธยังเดินเหินได้ จึงมาเยี่ยมลูกพร้อมพี่น้องชาวบ้านจากบ้านบัวอีกหลายคน

หลวงพ่อถามลูกว่าชื่ออะไร ลูกตอบว่าชื่อวิมุตตา ใครเป็นคนตั้งให้ ลูกบอกว่า พ่อและแม่ แล้วหลวงพ่อก็พาลูกทำสมาธิ จากนั้นก็ให้ธรรมะ ช่วงที่สอนธรรมะทุกคนออกไปอยู่ข้างนอกห้อง เหลือเพียงพ่อกับย่า เมื่อเสร็จการให้ธรรมะแก่ลูกแล้ว หลวงพ่อหันมาพูดกับคุณย่าว่า

"คนนี้จิตเขาดีมาก" หมายถึงจิตของลูก แล้วชี้ไปที่ตัวคุณย่า
"อย่าห่วงเขาเลยห่วงตัวเองดีกว่า" แล้วท่านก็กลับไป

นับว่าเป็นวันแห่งปรากฏการณ์พิเศษสำหรับลูก เพราะทีมคุณย่า อันมีญาติพี่น้องทางจังหวัดมุกดาหารและสกลนครได้ไปถวายผ้าจีวรองค์พระธาตุพนม เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลแก่ป่านตั้งแต่เช้า ก่อนที่จะมาเยี่ยมป่านและได้กราบหลวงพ่อกันถ้วนหน้า

นับแต่นั้นมา ลูกจะนอนหลับตานิ่งนานๆ ระยะแรกๆ ด้วยความห่วงใยของพ่อ จึงเฝ้าแตะตัวลูกเบาๆ จนลูกบอกว่า
"พ่อ ป่านกำลังทำสมาธิ" จากนั้นเราทุกคนไม่พยายามรบกวนเวลานั้นของลูกอีกเลย

ครั้งที่สอง ที่ลูกได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อ

วันที่ 30 เมษายน 2551 ด้วยความบังเอิญ ที่ลูกและหลวงพ่อต้องเดินทางไปกรุงเทพฯ ด้วยเที่ยวบินโดยสารเดียวกัน หลวงพ่อรับกิจนิมนต์ที่กรุงเทพฯ ส่วนลูกอาการไม่ดีขึ้นญาติก็อยากให้ไปรักษาและตรวจเช็คร่างกายอย่างละเอียดอีกหนที่โรงพยาบาลรามาฯจะได้รักษาที่ดีที่สุดและรู้ว่าเป็นอะไรกันแน่ เพราะผลการตรวจพบว่ามีก้อนเนื้อในตับหลายจุด

หลวงพ่อแวะมาเยี่ยมลูกอีกครั้งที่โรงพยาบาลรามาฯในวันที่ 3 พฤษภาคม ท่านได้ให้ธรรมะ แก่ลูกจนกระทั่งจิตของลูกมีกำลังมากขึ้น ความเจ็บปวดลงไปมาก

"ตอนนั้นก็สอนให้เขาดูเวทนา ให้สู้กับความเจ็บปวด สอนให้วางกาย วางเวทนา และให้วางจิตไปเลยทีเดียว" หลวงพ่อเล่าให้เราฟังทีหลัง และครั้งนั้นหลวงพ่อยังชวนลูกมาอยู่ที่วัดด้วย

"ไปอยู่ที่วัดกับหลวงพ่อไหม" หลวงพ่อถามลูก
"ไปค่ะ" ลูกตอบจริงจัง
"ที่วัดหลวงพ่อไม่มีเครื่องมือพยาบาลนะ ไม่มีอะไรเลยนะ ต้องเดินขึ้นภูเขาด้วย"
"ไปค่ะ"ลูกย้ำ

แม่กับพ่อไม่คาดคิดเลยว่า สิ่งที่ลูกพูดคือความตั้งใจจริงอย่างแน่วแน่ และลูกได้เลือกทำ จนกระทั่งวาระสุดท้าย

การร้องขออยากกลับบ้านของลูก จึงหมายถึงการขอกลับมาอยู่กับหลวงพ่อ จริงอยู่แม้เราจะไม่ได้บอกลูกว่าลูกเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เพื่อไม่อยากให้ลูกทุกข์ใจ แต่ลูกก็น่าจะรู้ว่าความทรมานเพราะเครื่องมือการแพทย์ และการดูแลด้วยการแพทย์ทางเลือกนั้น อะไรเป็นสิ่งที่ลูกน่าจะเลือกมากกว่ากัน ตลอดเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาลลูกไม่ชอบห้องแอร์ ไม่ชอบสายออกซิเจนที่เสียบอยู่ที่จมูกตลอดเวลา ไม่ชอบเข็มน้ำเกลือที่คาแขน ยิ่งนานวันแขนขาและท้องยิ่งบวมเบ่ง

ความเมตตาของพลวงพ่อ ที่มีต่อลูกถึงสองครั้ง คือสายน้ำทิพย์ที่ชะโลมเลี้ยงหัวใจของเราทุกคน ราวกับสวรรค์ประทานมา แต่เบื้องหลังทั้งมวล ย่อมมีเหตุปัจจัยที่พิสูจน์ได้ แม้นว่าพ่อกับแม่ไม่เคยรู้จักหลวงพ่อมาก่อน แต่การที่อาจารย์ชนินทร์ ได้มารู้จักกับเรา และนิมนต์หลวงพ่อมาโปรดลูก เพราะเห็นว่าพ่อทำงานกับพี่น้องชาวบ้านที่ด้อยโอกาสมานาน การย้อนคืนของการดูแลจึงมีวงจรเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ แต่ก็น่าภาคภูมิใจและเป็นกำลังใจแก่เราในวันต่อๆมา ของการดูแลเยียวยาลูก

ไม่ใช่เฉพาะหลวงพ่อเท่านั้นที่เมตตาลูก ยังมีเพื่อนพ้องน้องพี่ที่เป็นเครือข่ายงานพัฒนาทั่วประเทศ ที่แวะเวียนมาเยี่ยมลูกไม่ขาดสาย ตอนที่อยู่ที่โรงพยาบาลรามาฯ พ่อกับแม่ไม่เคยโดดเดี่ยวเลย แม้ความทุกข์ท่วมท้นในอกก็ตาม

อีกหนึ่งบุคคลสำคัญที่แม่ต้องเอ่ยถึง  คือหมอโซนัม หมอชาวธิเบต ท่านได้รับเชิญจากอาจารย์สุลักษณ์ ศิวลักษณ์ ให้มาเปิดคอร์สอบรมและรักษาด้วยการแพทย์แผนธิเบต ที่อาศรมวงศ์สนิท  เมื่อคุณหมอรู้เรื่องของลูก ท่านได้สละเวลาเดินทางมาเยี่ยมลูกที่โรงพยาบาลและที่สวนป่านาบุญ พร้อมทั้งมอบยาธิเบตให้

สายใยที่มีคุณค่าเหล่านี้ ลูกได้สัมผัสด้วยตัวเองจนกระทั่ง ในเวลาต่อมา ลูกอธิษฐานจิตว่า ถ้าลูกหายจากโรคร้ายนี้ ลูกอยากเรียนรู้ด้านการแพทย์แผนธิเบต ที่ประเทศธิเบต

แต่ความป่วยไข้ก็ยังทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ แม้ว่าลูกได้ก้าวข้ามความเจ็บปวดไปแล้วก็ตาม

ในวันที่ 17 กรกฎาคม หมออพภิวันท์ ยังได้ถามลูกว่า
 "ตอนที่อยู่ที่โรงพยาบาลรามาฯ ถ้าเทียบความเจ็บปวดทั้งหมดมี 10 ระดับ ตอนนั้นน้องป่านปวดในระดับไหนคะ" แม่ชีอพภิวันท์ เป็นหมอเชี่ยวชาญด้านเด็ก
"ปวดระดับ 6 ค่ะ" ลูกบอก
"แล้วหลังจากที่ทำสมาธิตามที่หลวงพ่อสอน ความเจ็บปวดลดลงเหลือเท่าไหร่คะ"
"เหลือ 3 ค่ะ" นั่นคือความเจ็บปวดลดลงตั้งแต่ได้เจอหลวงในครั้งแรก แสดงว่าลูกมีความก้าวหน้าทางจิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะลูกบอกว่า
"ไม่ปวดเลย ตั้งแต่ออกมาจากโรงพยาบาลรามาฯ"

พัฒนาการด้านในของลูกยืนยันได้จากสมุดบันทึกของลูก ที่เขียนอย่างละเอียดละออแทบทุกเวลา ทุกกิจกรรม ตลอดเวลา 3 เดือนกว่าที่ลูกออกมาจากโรงพยาบาล บางอย่างทำให้แม่มองเห็นความลึกซึ้งในการมองชีวิตของลูก และทำให้เรามองย้อนเข้ามาที่ตัวเองด้วย

เวลาสายๆ เราออกเดินทางจากโรงพยาบาลรามาฯ มุ่งหน้ามาบนถนนสายมิตรภาพ ไปสู่สวนป่านาบุญของหมอเขียว อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร และที่จังหวัดนครราชสีมา ขณะที่เราแวะพักที่ปั๊มน้ำมัน ลูกพยุงตัวลุกขึ้นนั่งบนเปลพยาบาล พ่อรีบประคองช่วย ลูกยิ้มให้พ่อ โดยที่ไม่ได้พูดจาอะไร ลูกดึงเข็มน้ำเกลือที่มีน้ำเกลือและมอร์ฟีนระงับความปวดออกจากแขนที่บวมเบ่ง แล้วเหวี่ยงมันไปข้างตัวอย่างไม่ใยดี เมื่อแขนทั้งสองเป็นอิสระ ลูกโผมากอดพ่อ พร้อมกับบรรจงหอมแก้มพ่ออย่างซาบซึ้งอยู่นาน

สร้างความแปลกใจและกังวลใจให้กับพี่พยาบาลประจำรถโรงพยาบาล ที่กลัวว่าลูกอาจจะปวดและเป็นอันตราย

 

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
ตอนที่ 3 กว่าจะรู้ว่าเป็นมะเร็ง "แม่ ป่านเบื่อกินยาจังเลย"ลูกบ่นเบาๆ ขณะที่หยิบยาออกมากินตามปกติทุกวันอย่างมีวินัย เป็นเวลาสามปีกว่าแล้ว ที่ลูกต้องเข้าออกโรงพยาบาลแล้วได้ยามากินระงับอาการปวดท้อง โดยที่ไม่มีใครเฉลียวใจเรื่องอื่น
เงาศิลป์
ก้อนเมฆหนาสีเทาทึมทึบ ขยับเคลื่อนช้าๆมาจากทิศตะวันตก จากโค้งฟ้าไกลๆค่อยๆเคลื่อนผ่านศรีษะฉันไปอย่างไม่เร่งร้อน คล้ายลังเลว่าจะแวะพักสักครู่ดีหรือไม่ คงไม่อาจรีรอได้ จึงบ่ายคล้อยต่อไปยังทิศตรงข้าม ทิ้งไอฉ่ำระเรี่ยพื้นพอให้คนรอคอยใจหายเล่น ชีวิตบางชีวิตก็เช่นกัน ..............
เงาศิลป์
    กองฟอนถูกตระเตรียมอย่างรวดเร็วภายในเช้าวันรุ่งขึ้น พิธีศพเป็นไปอย่างเรียบง่าย ท่ามกลางญาติมิตรที่รักใคร่ผูกพัน ตกบ่าย ณ ลานหินริมหน้าผา เปลวเพลิงลุกโชน ลามเลียกองไม้และร่างกายผ่ายผอมนั้นให้หม่นไหม้กลายเป็นผงธุลี พร้อมๆกับน้ำตาที่หยาดลงบนร่องแก้มของใครหลายคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น
เงาศิลป์
ใครที่เคยสูญเสียสิ่งรัก คงจะรู้จักอาการปวดแสบปวดร้อนคล้ายถูกมือยักษ์ควักใจหัวใจออกมาบี้เล่น อย่างไม่ปราณีปราศรัยได้ดียิ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาการเหล่านั้นค่อยๆจางหายสวนทางกับสติปัญญาที่เพิ่มมากขึ้น เราเรียกสิ่งนี้ว่าประสบการณ์ชีวิต แน่ล่ะ ทุกคนจะต้องจ่ายด้วยราคาที่สูงลิบลิ่ว อย่างไม่เต็มใจ เสมอมา   ความทุกข์ จากความพลัดพรากในสิ่งที่รัก จึงเสียดแทงหัวใจเป็นที่สุด
เงาศิลป์
วันจากไปนิรันดร์ของใครบางคน ทำให้ใครหลายคนมาเจอกัน วันเช่นนั้น มักจะมีม่านแห่งความเศร้าคลี่คลุมไปทั่ว บางคนที่ตั้งสติได้ อาจย้อนถามใจตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งฉันจะต้องเป็นผู้ไปบ้าง อะไรจะเกิดขึ้น  อะไรจะเกิดขึ้น หมายถึงอะไรเล่าหมายถึงความเศร้าโศกเสียใจของใครบ้างหรือเปล่าหรือหมายถึง ความชื่นชมยินดีในวิถีแห่งการตาย พร้อมคำว่า....สาธุ
เงาศิลป์
ทุกอณูเนื้อบนผืนโลก เราล้วนต่างเหยียบย่ำซ้ำรอย น่าแปลก ที่ไม่มีใครจำได้ว่าได้ย่ำมาแล้วกี่ครั้งกี่หน ฉันหมายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นซ้ำซากในปัจจุบันชาติ หรืออาจลากพาย้อนกลับไปหลายอสงไขยชาติ มีบ้างไหมที่พบว่าบางพื้นถิ่นเรารู้สึกคุ้นชินเหมือนเคยอยู่ มีบ้างไหม กับบางคนที่รู้สึกคุ้นเคยเหมือนได้ชิดใกล้กันมาก่อน ถ้าไม่แข็งขืนปฏิเสธการมีอยู่ของความทรงจำซ้ำซาก ที่ไม่เคยชัดเจนแต่ทิ้งเค้าลางเอาไว้อย่างแนบเนียน ฉันว่าใครหลายคนที่แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมฉัน และทิ้งคำจำนรรเอาไว้บ้างนั้น เราล้วนเคยเป็นพี่น้องกัน ไม่เช่นนั้นหนทางโคจรจะวกวนให้มาเจอกันได้อย่างไร
เงาศิลป์
เสียงเห่าโฮ่งๆ ดังกังวานมาจากในป่า เป็นเสียงที่ดุกร้าวบอกเหตุบางอย่างว่าเร่งด่วน เจ้าหลาม...แม่หมา เจ้าเสือ...พี่หมารีบหันหลังกระโจนพรวดไปทางเสียงนั้น เจ้าตัวเล็กอีกสามตัววิ่งตามกันไปเป็นพรวน ฉันชะเง้อตามดู เห็นเจ้าด๊อกกี้กำลังตั้งหน้าตั้งตาเห่าบางอย่างราวกับจะเปิดฉากต่อสู้ และเมื่อทุกตัวไปถึงที่เกิดเหตุ เจ้าตัวดีกลับวิ่งมาทางฉัน ในปากมีอะไรคาบอยู่ ฉันจึงเรียกให้หยุด มันทำตามแต่โดยดี พลางคายสิ่งนั้นลงบนพื้นดิน
เงาศิลป์
ค่ำคืนหนึ่ง... เม็ดฝนทิ้งรอยให้แกะรอยเช้าตรู่ ยังไม่ทันเงยหน้าดูท้องฟ้า ฉันรีบก้มหน้าดูพื้นดิน เห็นรูพรุนเล็กๆ ที่ฟ้าทิ้งรอยไว้ให้อย่างมีเงื่อนงำ ไฉนไม่ยอมทำลายซากของฝุ่นผงให้หมดสิ้น ทำแบบนี้ทำไมกัน ไม่รู้หรือว่าฉันปวดร้าวหัวใจ ฝนเอ๋ย จนสาย อาการกระหายใคร่จะให้หยาดฝนริน ยังไม่ยอมจางหายไปจากใจ เทียวเดินเข้าเดินออกใต้ถุนบ้านเงยหน้าดูท้องฟ้า พลางนึกถึงอดีตที่เคยถูกทักถาม ยามที่ทำงานเร่ร่อนตามหมู่บ้าน บ้านแล้วบ้านเล่า ซอกซอนไปเรื่อยๆ ยุคสมัยที่อีสานยังรุ่มรวยไปด้วยถนนสายฝุ่นสีทองแดง คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านย่านป่าลึก มักจะเอ่ยปากถามเป็นคำแรกว่า "ที่บ้านฝนตกบ่หล่า" ตอนนั้นตอบไปเรื่อยๆ…
เงาศิลป์
ไอชื้นของลมฝนที่โชยผ่านผิวมาจากที่ไกลแสนไกล ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือนั่น มันคงเดินทางมาไกลมาก ไกลจนมองไม่เห็นแม้แต่เค้ารางของม่านฝนที่จะมาถึง แต่เพียงแค่นี้ก็ช่วยขับไล่ความร้อนอ้าวให้หนีห่าง พร้อมมอบความหวังใหม่ให้แก่ชีวิต ทั้งคนทั้งสัตว์ทั้งต้นไม้ให้เริงรำได้อีกครั้ง ดูนั่นสิ..สีน้ำตาลจากราวป่ารอบๆ ไร่ เริ่มระบายสีเขียวอ่อนลงไปแทน อีกไม่นานดอกไม้สีเหลือง สีขาว กลิ่นกรุ่นก็จะผลิแย้มกำจายกลิ่นไปทั่วป่า
เงาศิลป์
ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่คละเคล้าก่อตัวกันเป็นโลกและชีวิต มีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ อย่างปกติ..... ลมหนาวพัดกรรโชกไร้ทิศทาง พัดพาเอาควันไฟจากกองฟืนใต้ถุนกระท่อมเล็ดลอดผ่านช่องว่างแผ่นกระดานปูพื้นทำให้รู้สึกแสบตาแสบจมูกอยู่เป็นระยะ
เงาศิลป์
ฉันมีเรื่องราวจะแลกเปลี่ยน ลองฟังดูนะ ตาเก้กับการลงทุน “คนอย่างผม ถ้าทำอะไรก็ต้องทุ่มหมดตัว” ตาเก้พูดเสียงต่ำ สีหน้ายิ้มเหยียดหน่อยๆ บ่งถึงความสาสมใจในชีวิต ขณะย่ำเดินไปบนพื้นดินทรายที่เพิ่งถูกผานไถพลิกพรวนให้กอหญ้าคว่ำหน้าลง แกกำลังจะลงทุนอีกรอบบนผืนดินนี้ ทั้งที่เจ้าหน้าที่ของโรงงานน้ำตาลฟันธงแล้วว่า “ดินเสื่อมสภาพหมดแล้ว”
เงาศิลป์
๑. ยามพลบค่ำ อาณาจักรบ้านไร่อาบแสงจันทร์ผ่องนวล ลมหนาวพัดเคล้าคลอพอให้เหน็บหนาว สลับไออุ่นจากไฟฟืนที่กรุ่นกำจายจนรู้สึกได้ถึงความต่างระหว่างอุ่นกับหนาว ที่ห่มพัน คืนแสงจันทร์จ้าจนแทบมองเห็นใบหน้าคนที่เดินอยู่ไกลๆ กับถนนสายฝุ่นที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่นับสิบสาย ด้วยรอยเท้าคนและล้ออีแต๊ก แต่ละเส้นทางล้วนตั้งต้นมาจากหมู่บ้านรอบนอก พาดผ่านทุ่งนาที่กลายเป็นดินแข็งกระด้างปกคลุมเพียงตอซังข้าวที่รอเวลาถูกเผาทิ้ง ถนนทุกสายมุ่งสู่ป่าชุมชนผืนใหญ่นี้อีกครั้ง หลังจากสายน้ำหลากล้นปิดกั้นการสัญจรในหลายเดือนที่ผ่านมา ฤดูแล้งของพื้นที่แห่งนี้ จึงเป็นฤดูกาลที่คึกคักพลุ่งพล่านไปด้วยกลิ่นอายของการเข่นฆ่า