Skip to main content
เช้าวันที่ 6 มิถุนายน ลูกตื่นเต้นมาก แม่รู้ เมื่อถึงวันที่ต้องเดินทางมาอยู่วัดกับหลวงพ่อ วันนั้นลูกตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ เตรียมเก็บเข้าของเครื่องใช้ส่วนตัวใส่กระเป๋าคิดตี้ใบเล็กสีชมพูหวานแหววของลูก แต่เพราะลูกยังมีอาการตัวร้อนเป็นไข้รุมๆ ทำให้แม่กับพ่อเป็นห่วง เราจึงวางแผนเดินทางในตอนเย็น วันนั้นลูกร่าเริงมาก และเขียนบันทึกว่า

วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน 2551

วันแห่งความสุขและความสงบ

วันนี้ตื่นขึ้นมายิ้มรับวันใหม่ด้วยใจที่เบิกบาน มีความสุข

ในสมุดบันทึกสุขภาพอีกเล่ม ลูกเขียนไว้ว่า

\\/--break--\>

ตื่น 05.16 . ยกขาข้างละ 20 ครั้ง นอนต่อ พ่อนวดขาให้ ยิ้มให้พ่อ กอดพ่อ แล้วยกขา 20 ครั้ง พ่อดีใจมาก

กินยาธิเบต น้ำอุ่น กินยาญี่ปุ่น กินน้ำนาโน เขียนบันทึก กินข้าวเหนียว (ขาวเย็น) กับน้ำผึ้ง ขนมปังกับน้ำผึ้งน้อยมาก อ่านหนังสือยอดเขาเอเวอร์เรสต์ ถ่าย กินพายสับปะรด 1 คำ น้ำผึ้ง 2 อึกเล็ก อ่านหนังสือต่อ

แม่เช็ดตัว กดลมปราณ พอกท้อง นอนหลับ กินน้ำเขียว พ่อกับแม่กำลังเก็บข้าวของเตรียมไปวัด ตัวยังร้อนเหมือนเดิม แต่ก็ดีกว่าเมื่อคืน แปรงฟัน เช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า กินมังคุด กินน้ำผึ้ง 2 อึกเล็ก อ่านหนังสือต่อ กินลวกผักบุ้ง ตำลึง ดอกฟักทองอ่อน กินข้าวเหนียวกับกล้วย 2 คำ กินข้าว 1 คำ กินต้มจืด 3 คำ อ่านหนังสือต่อ กินน้ำเขียว 1 แก้วเล็ก กินน้ำผึ้ง 1 อึกเล็ก กินยาธิเบต กินน้ำหนอนฯ นอน เช็ดตัว กินมังคุด กินข้าวเหนียว 1 ปั้นเล็กกับกล้วย นอนต่อ

 

เดินทาง(มาวัด) (แวะ)มานวดตัวที่ร้านคนตาบอดที่มุกดาหาร กินยาธิเบต น้ำอุ่น กินพายสับปะรดหมด กินธัญพืช กินทองม้วน 1 แท่ง หลับนาน เดินทางมาวัด

 

พ่อได้โทรฯไปประสานงานกับกลุ่มพี่น้องชาวบ้านย่านตำบลกกตูมที่เป็นเครือข่ายอนุรักษ์ป่าภูพาน ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว ให้ช่วยเตรียมแคร่หามไว้ให้ด้วย เมื่อเราไปถึงที่เชิงภูในเวลาพลบค่ำพอดี ทุกคนรออยู่ ทุกอย่างพร้อมพรั่กสำหรับพาลูกรักขึ้นไปบนวัด ลูกนอนอย่างสบายบนเปลหาม ระยะทางที่สูงชันราวๆ 500 เมตร มีก้อนหินตะปุ่มตะป่ำต้องคอยระวังยามเหยียบย่าง แต่ทุกคนไม่มีใครเหนื่อยเลย ทุกคนเต็มใจทำให้ลูก นับเป็นความซึ้งใจของพ่อกับแม่มาจนทุกวันนี้ ที่มีคนที่รักและดูแลเราราวกับญาติมิตรตลอดมา แม้แต่ในเวลาต่อๆมาก็ตาม อาหารของลูกประเภทผักผลไม้สดๆ ปลอดสารเคมีล้วนแต่ได้มาจากบ้านพี่น้องทั้งใกล้และไกล โดยเฉพาะมังคุดที่เป็นผลไม้สุดโปรดของลูก บางส่วนส่งมาจากคีรีวง นครศรีธรรมราช บางส่วนส่งมาจากจันทบุรี ระยอง

 

ดูสิลูก ความรักความเมตตาที่ทุกคนมีให้ลูกมากมายกว้างไกลจนเราตอบแทนได้ไม่สิ้น แม้แต่วัดป่าภูไม้ฮาวแห่งนี้ พ่อกับแม่ไม่เคยรู้จักมาก่อน หลวงพ่อ ที่ใครๆเรียกว่าหลวงพ่อนั้น ท่านมีชื่อว่า พระอาจารย์ครรชิต สุทธิจิตโต ประวัติของท่านเราก็ไม่เคยรู้ แต่เมื่อลูกผูกพันกับท่านอย่างลึกซึ้งในทางธรรม นับว่าเป็นบุญของพ่อกับแม่ที่ได้ตามลูกมา และดำเนินวิถีธรรมมาจนถึงวันนี้

 

บ้านหรือกุฏิที่พัก ถูกเตรียมพร้อมไว้แล้ว ทันทีที่ลูกมาถึง สายฝนก็พรมสายลงมาเบาๆ คล้ายต้อนรับเราอย่างร่มเย็น

 

 

บันทึกของลูกในตอนค่ำวันนั้น เขียนไว้ว่า

 

นอนเปลหามขึ้นมา เห็นที่พักแล้วน่าอยู่มาก

กินยาญี่ปุ่น

พ่อไปส่งชาวบ้านที่หมู่บ้าน

กินมังคุด 2 ลูก กินมัน แม่ไปทำกับข้าว อยู่กับย่า ฝนตกแต่ไม่ค่อยหนัก

อ่านละคร เรื่องหาบของแม่ ฝนตกหนัก ลมแรง เข้ามาอยู่ข้างใน ย่าอุ้มเข้ามา ย่าออกไป

กินข้าวกับกล้วย กินธัญพืช กินขาไก่

อ่านละครต่อสนุกดี แม่ยังไม่มาเลย หิวข้าวนิดหน่อย กินลวกผักบุ้ง ตำลึง

พ่อมา กินนึ่งปลา นอน กินยาธิเบต

พ่อแม่นวดให้ นอนหลับ ฝนตกหนักทั้งคืน

ฉี่ 2 ครั้ง ถ่าย กินกล้วย 1 ลูก นอนหลับสบาย

 

(ตลอดเวลาที่ลูกบันทึกไว้ ไม่มีตอนไหนเลยที่เขียนไว้ว่าปวดท้อง หรือเจ็บที่ร่างกายส่วนใด นอกจากอุบัติเหตุในคราวหนึ่ง หลังจากที่อาบน้ำเสร็จแม่ประคองลูกออกจากห้องน้ำมานั่งที่ระเบียงด้านนอก แม่ปล่อยให้ลูกนั่งเอง เพราะแม่ต้องเข้าไปเอาเสื้อผ้าในห้องมาใส่ให้ ตอนนั้นมีพ่ออยู่ใกล้ๆ แต่พ่อไม่ทันดูลูก ลูกหงายหลังศรีษะโดนพื้นเสียงดังนิดหน่อย แม่วิ่งออกมาอย่างตกใจประคองให้ลุกขึ้น ลูกส่ายศรีษะเล็กน้อยเพราะมึนจากการถูกกระแทก แม่โกรธตัวเองมากไม่อยากให้อภัยตัวเองเลยดวงใจของแม่เจ็บมากกว่าลูกร้อยเท่าพันเท่า วันนั้นมีคนมาเยี่ยมหลายคนแต่นั่งห่างจากลูกพอสมควรจึงไม่ทันรับไว้ เพราะเกิดขึ้นชั่วพริบตาเดียว)

 

เช้าวันใหม่ คืนฟ้าฉ่ำฝนผ่านไป ทิ้งละไอหมอกหนาค้างคาไว้เต็มหุบเขา กลบร่องน้ำบางทรายกว้างใหญ่จนมิดชิด ได้ยินเพียงเสียงกระซิบกระซาบของสายน้ำกับหินผาที่คุ้งโค้งไกลโน่น ทุกอย่างใกล้ตัวเหมือนถูกยกขึ้นมาไว้อีกชั้นหนึ่งของสวรรค์ นานๆครั้งจึงจะแว่วเสียงเครื่องยนต์ผ่านมา ความสงบเงียบสวยงามอย่างนี้ ใช่หาได้ง่ายดายนัก และยิ่งเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยรอยธรรมด้วยแล้ว นับว่าหายากยิ่ง

แม่ตื่นแต่เช้า ไปเตรียมอาหารให้ลูกที่โรงครัวของวัด วันนี้ล่ะ ที่ทุกคนจะต้องช่วยกันจัดการเตรียมห้องครัวใหม่สำหรับลูก ทุกอย่างจะต้องทำให้เหมือนกับที่สวนป่านาบุญ แม้กระทั่งภาชนะใส่อาหารก็ต้องเป็นวัสดุที่ทำจากสแตนเลสเท่านั้น ส่วนหม้อที่ใช้ปรุงทำจากดิน หรือหม้อดินเป็นหลัก เชื้อเพลิงจะต้องใช้ถ่านไม่มีการใช้แก๊ส ตามที่หมอเขียวกำชับ

ทั้งหมดนี้ ไม่มีอะไรที่ยุ่งยากเกินไปสำหรับเรา ถ้าช่วยให้ลูกมีสุขภาพที่ดีขึ้น

 

บันทึกของลูก วันที่ 7 มิถุนายน

ตื่น 05.18 . ยกขาข้างล่ะ 30 ครั้ง ยกแขนข้างล่ะ 30 ครั้ง

นั่งดูบรรยากาศ ฝนเริ่มหยุดตก กินธัญพืช ขาไก่ หิวข้าว บรรยากาศข้างนอกห้องเป็นหน้าผา มีเสียงน้ำไหล ต้นไม้ กุฏิน่าอยู่

กินข้าวเหนียว (ข้าวเย็น)กับน้ำผึ้ง

อ่านละครหาบของแม่ กินน้ำผึ้ง 2 อึก ทองม้วน ออกมานอนด้านนอก นอนหลับ กินมังคุด

พ่อไปหาหลวงพ่อ แม่ไปทำกับข้าว อยู่คนเดียวกินขาไก่ อ่านละคร อ่านเรื่องยอดเขาเอเวอร์เรสต์ (รูป เงา ทะเลสาปและขุนเขา ของภิกษุณี เทนสิน ปาลโม/คนเขียน) นอนหลับ กินกล้วย 1 ลูก นอนต่อ กินลวกผักบุ้ง ตำลึง อ่อมแซ่บ สลัดสด ดอกอัญชัน กินข้าวปิ้งปลา ต้มจืดผัก แตงไทย

หลวงพ่อมาสอนเรื่องจิต คุยปกติ "ใจ คือ ผู้รู้ กาย คือ ผู้ถูกรู้ หมายความว่า กายกับใจนั้นนั้นแตกต่างกัน

ใจ เป็นธาตุที่รู้

กาย เป็นธาตุที่ถูฏรู้

หลวงพ่อกลับ

 

บันทึกต่อมาของลูกในวันนั้น เกี่ยวกับเรื่องกิน เรื่องอ่านหนังสือเล่มเดิมๆ จนจบ มีเพิ่มมาใหม่คือเรื่อง ทุ่งหญ้าแอฟริกา และดู CD ธรรมะที่หลวงพ่อเอามาให้

แม่ซักผ้าในตอนเที่ยง ลูกบันทึกเอาไว้ด้วย และเขียนว่าพ่อเป็นคนตากผ้า จากนั้น พ่อกับแม่ช่วยกันนวดมือ เท้า เข่าให้ลูก (นวดน้ำมัน)

 

พ่อนวดมือ เท้า (นวดน้ำมัน) แม่นวดเข่า ขา ขูดซา นวดหลัง

พ่อไปส่งย่ากลับมุกดาหาร

 

ตกตอนเย็น

เข้ามาอยู่ข้างในห้อง แม่เช็ดตัวให้ ประคบท้อง พ่อกลับมา พ่อกับแม่ไปทำกับข้าวด้วยกัน ฟัง CD หลวงพ่อเทศน์ นอนหลับยาว กินยาญี่ปุ่น กินน้ำเขียว กินลวกผักบุ้ง กินปิ้งปลา ต้มจืดผัก สลัดผัก 1คำ เปลี่ยนกางเกง นอนหลับ กินยาธิเบต แม่นวดหลังให้ กินกล้วย 1 ลูก กินข้าวเหนียวกับน้ำผึ้งตอนดึก แม่ขูดซาที่ไหล่ซ้ายให้ นอนทับเลยปวดฉี่ 2 ครั้ง พ่อกวาดมดที่เข้ามทั้งคืน เลยนอนไม่หลับเท่าไหร่

 

 

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
  ภูเขาหัวโล้นลูกนี้ อยู่ในเทือกเดียวกับภูหลวง จังหวัดเลย "ถามจริงๆ เถอะ คนแบบเราๆ นี่ ถ้าไปเป็นคนทำสวนจะหาเลี้ยงตัวเองได้จริงหรือ"เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งถามฉัน ในวันที่ฉันยังไม่ได้มีอาชีพทำสวน คงเป็นคำถามเพื่อนำไปสู่การสนทนาเชิงวิเคราะห์ว่าความคิดที่จะพึ่งตนเองจากอาชีพนี้เป็นไปได้จริงหรือ และฉันจำได้ว่าคำตอบของตัวเอง คือ"ไม่ได้" "ไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าการพึ่งตนเองหมายถึงการตัดเส้นเลือดทางการเงินจากอาชีพอื่นโดยสิ้นเชิง สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นปลูกต้นไม้ในปีแรกๆ และไม่มีเงินเก็บ หรือไม่มีคนสนับสนุนทางการเงิน คงไปไม่รอด"ฉันตอบจากประสบการณ์ที่เห็นปัญญาชนหลายคนอยากจะเป็นชาวไร่…
เงาศิลป์
ยามค่ำคืนที่เหน็บหนาวออกปานนี้ หนาวจนต้องสวมเสื้อกันหนาวหนาๆ ถึงสองชั้น หวังทนทานต่อความแหลมคมของไอหนาวที่แทรกซอนเข้ามาบาดเนื้อ เสื้อผ้าอาจปกป้องร่างกายไว้ได้บ้าง แต่บางความหนาวที่แทรกซึมเข้ามาได้กลับกระพือความร้อนรุ่มภายในให้ลุกโชน  ภาพถ่ายสุดท้ายของเจ้าเก๋า ในวันก่อนจะจากไปเพียงไม่กี่วัน สิ้นสุดเสียทีอีกหนึ่งชีวิต ไม่ต้องทรมานอีกต่อไป เพราะพิษของสารเคมีที่เข้าไปทำลายตับไตไส้พุงจนหมดสิ้น ในเวลาสี่วัน วันสุดท้ายของมันกับความรู้สึกห่วงใยของฉัน มันคงรับรู้ได้ นาทีสุดท้าย มันจึงสะท้อนลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงทิ้งตัวลงบนตักฉัน แล้วจากไปนิรันดร์
เงาศิลป์
พวกมันพากันเลื้อยไปบนผิวดิน ในสภาวะอากาศอุ่นๆ คล้ายทุรนทุรายรีบร้อนที่จะไปที่ไหนสักที่ แต่กลับหลงทางวกวนจนขาดใจตายไปในที่สุด เพียงชั่วเวลาไม่ถึงชั่วโมงยามนี้ ไอแดดไม่ผ่าวร้อนอีกต่อไป ละไอหมอกที่ห่อหุ้มรอบๆตัว สร้างความมัวซัวทั้งแนวป่า มันจึงปกป้องผิวดินให้เย็นฉ่ำ และเก็บความชุ่มชื้นไว้ด้วยหยาดน้ำค้าง แต่ทำไมไส้เดือนผู้รักดินจึงคิดทิ้งถิ่นอาศัย ดิ้นรนไปสู่ความตายเช่นนี้ด้วยเล่าสำหรับฉัน รอยต่อของฤดูฝนชนฤดูหนาว ธรรมชาติมีของกำนัลที่น่ารักมามอบให้มากมาย โดยเฉพาะแม่นกทั้งหลายที่มีลูกน้อยและสั่งสอนลูกๆให้หัดบิน มีมาให้เห็นใกล้ๆอยู่บ่อยครั้ง เพราะนี่คือช่วงเวลาที่ดี สำหรับการหาอาหาร…
เงาศิลป์
ละไอหมอกลอยเรี่ยอาบยอดไม้ ยามแสงเช้าสาดส่องทั่วลานไร่ รอบๆ กายคล้ายความฝัน นานนับปีแล้ว ที่ฉันไม่ได้เดินทางไกล ฤดูกาลเช่นนี้ มักกระซิบเรียกหาให้โลดแล่นออกไปตามใจตน แต่คราวนี้งานหนักในไร่ยังคงเร่งเร้าอยู่ตรงหน้า ยิ่งยามต้นไม้โบกไหว สบัดเรียวใบชุ่มเขียวให้คลายสี แล้วปล่อยให้ลมแล้งแต้มสีเหลืองจางๆ ลงแทน ฉันยิ่งต้องเร่งทำงาน หยิบสมุดบันทึกออกมาอ่านอย่างไม่ตั้งใจ กลับพบบางอย่างที่ชวนขำ ฤดูหนาวของปีนั้น ฉันได้เร่ร่อนท่องเที่ยวไปท่ามกลางความขัดแย้งที่บานปลายไปจนถึงขั้นสู้รบฆ่าฟันกันรายวัน และได้เห็นภาพการประท้วงที่วุ่นวายบนท้องถนน เกือบทั่วทั้งประเทศ บนรถไฟ จากเมืองแคนดี้…
เงาศิลป์
“ทำไมพี่ไม่ใช้ตัวพ่วงท้ายที่ไถพรวนไปพร้อมๆ กับตัดหญ้าล่ะครับ ดินจะได้ไม่แข็ง” เป็นคำแนะนำของยุทธ ซึ่งแวะมาที่ไร่แต่เช้า เพื่อขอยืมพลั่วไปตักปุ๋ยขี้ไก่ ไว้หยอดใส่หลุมแตงโมที่เถาว์เริ่มเลื้อยยาว ขณะที่ฉันขับรถแทรกเตอร์ตัดหญ้าในสวน เจตนารมณ์ของการทำสวนที่คิดว่าจะเบียดเบียนชีวิตอื่นให้น้อยที่สุด และเพื่อประโยชน์ตนอันสูงสุด เท่าที่จะทำได้ ฉันจึงตั้งใจว่าจะไม่ไถพรวน แม้บางทฤษฎีของบางนักวิชาการจะบอกว่า ดินทรายต้องไถพรวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายฤดูฝน เพราะการไถพรวนพลิกหน้าดิน จะช่วยลดการสูญเสียน้ำใต้ดินจากการดูดซึมของต้นหญ้า ใช่สิ ในภาคอีสานฉันเห็นการไถพรวนในเกือบทุกแปลงการเกษตร…
เงาศิลป์
นานๆ จึงจะมีเพื่อนบ้านแวะมาเยี่ยม ยิ่งยามนี้ยิ่งยากที่จะได้พบเจอคนผ่านทาง เพราะเส้นทางรถอีแต๊กถูกกระแสน้ำเชี่ยวลากพาดินทรายพัดหายไปทางลำธารข้างล่างโน่น จนกลายเป็นร่องน้ำลึกมีรากไม้ขนาดเล็กใหญ่พาดพันกันยุ่งเหยิง ส่วนพื้นที่ในไร่ ต้นไม้ยังเล็กนัก ร่องน้ำเล็กใหญ่เกิดขึ้นมากมาย แต่ที่ดินไม่พังทลายลงไปมาก เพราะผิวดินยังมีรากกอหญ้าสูงยึดดึงเอาไว้ ฉันหวังว่าปีต่อๆไป ผิวดินจะปลอดภัยมากกว่านี้ ถนนทางทิศตะวันออกของไร่กลายเป็นลำธาร จักรยานหรือมอเตอร์ไซค์เป็นสิ่งเกินจำเป็นไปในทันที ไม่ต้องพูดถึงรถยนต์ที่ฉันไม่มีใช้ รถอีแต๊กที่เคยผ่านเส้นทางนี้ทุกเช้า…
เงาศิลป์
ทุกชีวิตย่อมมีศักยภาพในการใช้ชีวิต หากยอมรับว่า “เกมการล่า” ว่าเป็นวิถีทางที่มีอยู่จริง และเราสามารถยอมรับความเจ็บปวดได้เมื่อตนเองถูกล่า ชีวิตฉันมักจะเป็นดั่งนี้… สิบกว่าปีที่แล้ว ณ ริมธาร “ห้วยแก้ว” เชียงใหม่ สายฝนที่ตกลงมาอย่างหน่วงหนักตลอดคืน ทำให้หลังคากระท่อมที่มุงด้วยใบหญ้าคา ทรุดฮวบลงมากองทับตัวฉันและกองหนังสือของฉันจนเปียกปอน ฉันได้แต่หัวเราะอย่างขำขื่น สาสมใจ วันนี้...ในหุบเขากว้าง บนแผ่นดินที่ราบสูง หลังจากฟ้าฝนกระหน่ำสายติดต่อกันหลายวันหลายคืน ฟ้าจึงบรรณาการแสงแดดอันอุ่นเอื้อมาให้ ต้นไม้ของฉันจึงได้หายใจบ้าง ต้นไม้ใหญ่ อาจพอมีเวลาต่อรอง…
เงาศิลป์
ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นตื่นตระหนกเบิกโพลงอยู่ในความมืดสลัวของกระสอบปุ๋ย ทันทีที่ฉันเปิดปากถุงพวกมันต่างเงยหน้าจ้องมองมาที่ฉัน ดวงตาอีกสี่คู่เป็นสีน้ำตาลกลมกลืนกับความมืดจึงไม่สะดุดใจเท่าดวงตาคู่ที่เป็นสีน้ำทะเลกระจ่างจ้าคู่นั้น“โถ ลูกหนอลูก” ฉันร้องครางอยู่ในใจ นั่นคือเหตุการณ์ในเวลาเช้าตรู่ ที่ฟ้าฝนกระหน่ำสายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กาลเช่นนี้ได้ลักพาความสดชื่นแห่งวันใหม่ไปซุกซ่อนไว้ในม่านเมฆฝนหนาทึบริมฟ้า ราวกับมันเป็นจำเลยที่ต้องโทษหนัก และเช่นกัน ฉันผู้เคยเสพสุขจึงต้องร่วมรับโทษทัณฑ์นั้นไปด้วย เพราะเวลาที่อึมครึมในแต่ละนาทีดูเหมือนเนิ่นช้าและหน่วงทับอารมณ์มากขึ้นและมากขึ้นทุกขณะ  …
เงาศิลป์
ฉันสำเหนียกถึงแรงสะเทือนที่ดิ้นสะท้านอยู่ภายในอก ยามที่เผลอใจไปยึดมั่นกับเรื่องราวความขัดแย้งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราขณะนี้ ทั้งที่ฉันตั้งใจวางตัวเองไว้ตรงชายขอบของสังคม... ไม่ได้ตั้งใจปิดหูปิดตาตัวเอง แต่เพราะการสื่อสารทั้งหลายที่ไม่สะดวก ฉันจึงหลุดออกมานอกวงสนทนาของความขัดแย้งเกลียดชัง เพราะ...ถูกและผิด ใช่และไม่ใช่เป็นเรื่องซับซ้อน วันวาน...สภาพชีวิตของฉันเป็นเสมือนวัชพืชของสังคมวันนี้...ฉันเป็นผู้แผ้วถางวัชพืชตัวจริงอย่างสำนึกรู้ผิดบาป แม้จะเลือกใช้เครื่องมือที่ปลอดภัยที่สุดแล้วต่อชีวิตเล็กๆ แต่กระนั้นฉันก็ยังทำลายชีวิตบางชีวิตอยู่ดี
เงาศิลป์
“เมื่อวานนี้คนในหมู่บ้านถูกหวยกันหลายคน”ยายแดงเริ่มเรื่อง ขณะที่นั่งจุมปุ๊กบนพื้นหญ้าหน้าบ้าน พลางเอาเสียมปากแบนแซะหญ้าเล่น ใบหน้ายังแดงก่ำ หยาดเหงื่อยังเปียกชื้นที่ไรผม เพราะงานดายหญ้า“แล้วยายแดงไม่ถูกกะเขาด้วยเหรอ” ฉันนั่งบนที่พักเชิงบันได หลังจากจัดเรียงกล้าไม้ใกล้โอ่งน้ำเสร็จไปแล้วหนึ่งชุด“ไม่ได้ซื้อกับเขาหรอก ไม่ค่อยได้ซื้อหวย” นับว่าเป็นบุคคลที่น่ายกย่อง ฉันชื่นชมในใจ“แล้วชาวบ้านได้เลขมาจากไหนกันละยายแดง”“เขาว่าเป็นเลขผีบอก ผีจากวัดป่าบอกผ่านเจ้าอาวาสอีกที”“อืม....ไม่เลวแฮะ แสดงว่าผีมีจริง”....ฉันนึกถึงกุศโลบายของตัวเอง ที่บอกกับใครๆว่าทุกวันนี้อาศัยอยู่กับ “ผีโนนบ้านคึม…
เงาศิลป์
นั่งบนตอไม้เล็กๆ หลังพิงโอ่งน้ำขนาดเท่าช้างพังตั้งท้อง ในปากกำลังเคี้ยวมะม่วงแก้วที่สุกพอห่ามๆ รสชาดกำลังดีมีความเปรี้ยวนิดๆ ทั้ง “เจ้าเสือ” หมาหนุ่มคู่บารมี ยังนอนหมอบราบคาบแก้ว ทำท่าขอแบ่งกินอยู่ตรงเท้า ดูสิ..ฉันใช้ชีวิตราวกับพระราชาในเทพนิยาย  เพราะเบื้องหน้าไกลโพ้นโน่น ตรงขอบฟ้าเหนือดงไม้นั่น คือการแสดงพลังพิเศษของเหล่าสามัญมนุษย์ เพื่อสื่อสารกับเทวดาพญาแถน จนท้องฟ้าสั่นสะเทือน ม่านเมฆเคลื่อนอยู่ไปมาเนื่องจากบ้านไร่เป็นที่ๆ ห่างไกลชุมชนทั้งในระยะทาง และด้วยสายตา แต่ฉันก็สามารถมองเห็นที่ตั้งของทุกหมู่บ้านรายรอบได้เป็นอย่างดี ในวันเวลาเช่นนี้ ทุกทิศทางจะมีเสียงดังฟู่ยาวๆ…
เงาศิลป์
มันคงเป็นเรื่องเล่าที่ชวนพิศวง ฉันคงสงสัยว่ามันมีความจริงปนอยู่สักเท่าใด หากไม่ได้ถูกบันทึกไว้ด้วยมือของฉันเองภาพในอดีตเมื่อยี่สิบปีที่แล้วฉันเห็นตัวเองเกาะแน่นอยู่บนอานรถมอเตอร์ไซค์ที่ไต่ไปตามคันนาเล็กๆ คนขับชำนาญทางเป็นอย่างดี เพราะไม่เช่นนั้นอาจได้ลงไปนอนแช่น้ำในผืนนากันทั้งคู่“พี่หวาด” เป็นหมอยาพื้นบ้านและเป็นเพื่อนร่วมงานของฉัน แกทำหน้าที่เป็นสารถีรวมทั้งเป็นเนวิเกเตอร์ในการไปพบเจอกับแหล่งข้อมูล และนั่นคือที่มาของเรื่องราวที่เหลือเชื่อ ที่หลงเหลือไว้ให้ฉันหยิบจับขึ้นมาอ่านซ้ำอย่างประหลาดใจไม่น่าเชื่อว่าฉันจะเคยพบเจอกับบุคคลที่มีบุคลิกพิเศษมากมาย ปัจจุบันเขาเหล่านั้นลาจากโลกนี้ไปแล้ว…