Skip to main content

แม่กับพ่อเริ่มทำสวนผักข้างๆ กุฏิ ผักที่ปลูกง่ายที่สุดคือต้นอ่อมแซ่บ พืชตระกูลล้มลุก กลีบดอกบอบบางสีม่วงอมชมพู สีของมันสวยหวานสดใส คนทั่วไปเรียกว่า บุษบาริมทาง แต่คนอีสานมองเห็นเป็นของกินได้ จึงเรียกอ่อมแซ่บ คงมาจากการแกงอ่อมแล้วอร่อยกระมัง ลูกแม่ต้องกินทุกวัน เป็นเมนูผักลวก


ผักที่ปลูกเพิ่มเติม จำพวกตำลึง บวบ ผักบุ้ง หญ้าปักกื่งซึ่งเป็นสมุนไพร ใช้พื้นที่เดียวกับสวนผักของวัด ซึ่งมีแม่ชีและโยมดูแลอยู่ แต่เดิมจะเป็นผักจำพวกต้นหอม ผักชี ผักบุ้ง พริก เพราะอาหารจากการบิณฑบาตรอาจไม่พอเลี้ยงทุกคน วัดเล็กๆที่มีคนอยู่ประจำไม่มากนัก แต่บางครั้งคณะลูกศิษย์ของหลวงพ่อก็มาอยู่ปฏิบัติหลายคน


สำหรับลูก อาหารหลักคือผัก ผลไม้ โชคดีที่ตอนนี้เป็นฤดูผลไม้หลากหลายพอดี ลูกจึงมีของชอบหลายอย่าง โดยเฉพาะมังคุด แต่ก็กินได้ครั้งละน้อยนิด มีสิ่งหนึ่งที่แม่กับพ่อต้องหามาให้ได้จากที่ใกล้หรือไกลก็ตาม คือมะพร้าวอ่อน ลูกต้องกินน้ำมะพร้าวอ่อนต่างน้ำ บางคืนแม่ต้องแบกมะพร้าวทั้งทะลายค่อยๆเดินไต่ระดับความสูงชันของเส้นทางขึ้นวัด ที่มีเพียงแสงสลัวจากไฟฉายนำทาง แต่เพราะหัวใจของแม่อยู่ที่ลูกตลอดเวลา แม่ไม่เคยเหนื่อยเลย


8/6/51

ตื่น 05.30 . ยกแขนข้างล่ะ 40 ครั้ง ยกขาข้างล่ะ 40 ครั้ง พ่อมานวด บริหารขา เท้าให้ หลับถึง 06.18 . ตื่นกินน้ำผึ้ง 2 อึกเล็ก กินธัญพืช แม่ทำยาธิเบตให้กิน พ่อปั่นน้ำเขียว น้ำอุ่น ชงยาญี่ปุ่นกิน แม่ไปทำกับข้าว

ออกมาด้านนอก ถ่าย กินน้ำเขียว พ่อไปทำกับข้าวช่วยแม่

กินขาไก่ กินทองม้วน หมดงบของผิดกฏหมายวันนี้

อ่านละคร อ่านทุ่งหญ้าแอฟริกา นอนหลับ ตื่นกินลวกผักบุ้ง ตำลึง บวบ(กินนิดหน่อย)ถั่ว นอนต่อ กินข้าวเหนียว 1ปั้นเล็กกับแกงปลาใส่ฟักทอง กินนึ่งฟักทอง กินมันนึ่ง กินต้มจืดผัก 2 ช้อน

หลวงพ่อมาสอนธรรมะประมาณ 30 นาทีแล้วกลับ กินข้าวเหนียว 1 ปั้นเล็กกับแกงปลา ต้มจืดหลัก 3 ช้อน กินมันนึ่ง ดูละครธรรมะเรื่องพระเรวตะ-ลีลาวดี แม่นวดน้ำมัน กดลมปราณ ขูดซาให้ กินยาธิเบต น้ำอุ่น นอนหลับนาน ฝนตกหนัก ฟ้าร้อง ลมเย็นสบาย ตื่น กินยาธิเบต บ่าย 3 โมง น้ำอุ่น ยังไม่กินข้าวเที่ยง ฝนเริ่มหยุดตก พ่อให้กินยาธิเบตผิดเวลา ตอนนี้บ่ายโมง พ่อคิดว่าบ่าย 3 โม ง กินมันต้ม กินข้าวเหนียวกับกล้วย มาอยู่ข้างใน ฉี่ พ่อกอด แม่เข้ามา เปิด CDการ์ตูนธรรมะ อาแจ๋ว อาเกริก ย่า ปุ้ย น้องก้องมาเยี่ยม เอามุ้ง ปลา มัน มาให้ แม่นวดมือให้ข้างหนึ่ง แล้วไปทำกับข้าว พวกอาแจ๋วกลับ ฝนยังไม่หยุดตก พ่อนวดให้ต่อ ดู CD ไปด้วย กินมังคุด 2 ลูก น้ำอุ่น นอนหลับ พ่อไปทำกับข้าวช่วยแม่ เอามัน เอาน้ำไว้ให้ ฟังเพลงจีนออกแนวธิเบตด้วยเพราะดี กินมันต้ม อ่านหนังสือ นอนเล่น พ่อมา เอาถั่วเขียวมาให้กิน 2 คำใหญ่ รู้สึกอืด ดูการ์ตูน พ่อไปเอาผักกับแม่ ลุกนั่ง กินน้ำผึ้ง 2 อึกเล็ก แก้อืด CD การ์ตูนจบ ฟังเพลงไป นอนหลับไป พ่อแม่มา กินน้ำเขียว กินยาญี่ปุ่น ดู CD การ์ตูนแผ่น 2 ต่อ

กินลวกผักบุ้ง ผักสลัดสด กินข้าวปลาปิ้ง ต้มจืดผัก แกงปลา ล้างมือ ล้างปาก ถ่าย ฉี่

แม่ชีมาเยี่ยม คุยเรื่องการรักษา แม่ชีมาอยู่วัดตอนปี 2545 แม่ชีกลับ

กินน้ำอุ่น กินมัน แม่อ่านเรื่องคำอธิษฐานบารมี เพื่อสร้างเหตุปัจจัยตราไว้ในดวงจิตให้ฟัง แม่เช็ดตัวให้ กินยาธิเบต กินน้ำไม่ค่อยอุ่นเท่าไหร่ แม่อาบน้ำแล้วจะมานวดให้ นอนหลับ ฉี่ตอน 3 ทุ่ม กินกล้วย 1 ลูก ฉี่ตอน 5 ทุ่ม

หิวข้าว พ่อแม่ยังไม่เอามาให้กิน ร้องไห้ พ่อลุกขึ้นมา กินข้าวเหนียว น้ำผึ้ง ปิ้งปลา มังคุด นอน แม่เช็ดตัวให้ นอนหลับสบาย


ตอนนั้น ลูกร้องไห้ด้วยความหิวในเวลากลางคืน แม่รู้ว่าลูกฝืนความรู้สึกอยากในเรื่องอาหาร ที่ต้องกินเฉพาะผัก ผลไม้ น้ำผึ้ง มานาน มีของคาวบ้างคือปลาน้ำจืดหมกด้วยใบตองกล้วยแล้วนึ่ง เพราะอาหารของลูกต้องไม่มัน ลูกจึงยังมีอาการหงุดหงิดต่อความอยาก แต่ก็ไม่เคยเรียกร้องขอกินในสิ่งที่ต้องห้าม นอกจากขอให้ได้กินขนม “ขาไก่” และ “ทองม้วน” จนกว่าจะหมด


เมื่อหมดแล้ว ลูกเขียนไว้ว่า “สิ่งผิดกฏหมายหมดไปแล้ว” และไม่ได้ขอกินอีกเลย

บันทึกของลูกวันต่อมา บอกว่าอาปุ่นมาเยี่ยม มีคนมากันเยอะมาก และเรื่องการกินอาหาร กินยาตามปกติ สิ่งพิเศษที่ลูกบันทึกเอาไว้ คือเรื่องคำเทศนาของหลวงพ่อ


9/6/51

หลวงพ่อมาเทศน์สอนเรื่องจิต นอนฟังแล้วก็นอนสมาธิอยู่นาน หลวงพ่อมาเทศน์แล้วทำให้สบายจิตใจดี สิ่งที่หลวงพ่อนำมาเทศน์ให้ฟังนั้น ยิ่งใหญ่กว่าได้ทอง 10 บาท ได้รถ 10 คัน ธรรมะนี้แหละคือยาดีที่หลวงพ่อให้ฉัน ก่อนหลวงพ่อกลับ บอกว่าจะเอาCD เรื่องกรรมมาให้ ตอนนอนสมาธิฝันว่า หลวงพ่อเอาของมาให้ไม่รู้ว่าเป็นอะไรแล้วหลวงพ่อก็ขอกล่อง กางกล่องออก แล้วเดินกลับ หลวงพ่อบอกว่าต้องหาสายพานให้ปุ้ย เราบอกว่าจะหาช่วย

อาติ๋มเช็ดตัวให้ ลุกนั่งกินมังคุด พวกอาปุ่นกินข้าว ส้มตำ แกงหน่อไม้ ลวกผัก อาหารมากมายน่ากินมากเลย พ่อเอาแกงปลาไปอุ่น กินบ้าง ปิ้งปลากับข้าวสวย ต้มจืดผัก แกงปลากับข้าวเหนียว 1 ปั้น กินมัน นอนเล่นคุยกันไป


อาปุ่น พ่อ แม่ ช่วยกันนวดน้ำมันให้ลูก ลูกพูดว่าอยากไปธิเบต อยากบวชชี อยากได้บ้านแบบที่วัด จากนั้นอาปุ่นสอนแม่ให้ตรวจอาหาร ถ้าต่อมไทมัสเปิด แสดงว่ากินได้ วิชาตรวจอาหารนี้ มีวิธีการที่ซับซ้อน แต่เป็นวิชาที่ลุงยุทธของลูกไปเรียนมาจากญี่ปุ่น อาปุ่นเป็นศิษย์เอกของลุงยุทธได้ถ่ายทอดวิชานี้เอาไว้ ตลอดเวลาต่อมา แม่จะตรวจอาหารทุกอย่างก่อนที่จะให้ลูกกิน


ก่อนที่แม่จะไปทำกับข้าว แม่อุ้มลูกเข้ามานอนข้างใน แล้วเปิด CDธรรมะ เรื่องชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน ให้ฟัง


วันที่ 10 เช้า ลูกบันทึกไว้ว่า อาปุ่นช่วยนวดให้ลูก พ่อเช็ดมือให้ พ่อนวดบริหารให้ แม่กับอาปุ่นไปทำกับข้าว พ่อไปรอรับหลวงพ่อที่กลับจากบิณฑบาตร และเรื่องการกินอาหารตามปกติของลูก

ที่พิเศษคือ แม่ไปส่งอาปุ่นที่สกลนคร เคลียร์งาน และพาน้านีมาด้วย แม่ทำอาหารแล้วตรวจอาหาร กินได้ทุกอย่าง ยกเว้นถั่วเขียว ลูกกินอาหารแล้ว แม่เปิด CD เรื่องหลวงปู่มั่นให้ฟังด้วย แล้วลูกก็นอนหลับยาวนาน


พ่ออ่านบันทึกที่เขียนไว้ในเล่มที่หมอสุธีให้มา พ่ออ่านแล้วร้องไห้ แอบดู ตื่น พ่อยังร้องไห้ พ่อเขียนเรื่องบุญกรรมของป่าน กินแตงโม แตงขาว ลวกผักบุ้ง กำลังกินข้าวคั่วปลา นึ่งปลา ต้มจืดผัก หลวงพ่อมาดู เห็นกำลังกินข้าวเลยไปเดินเล่นรอ กินเสร็จ ล้างมือ หลวงพ่อมาเทศน์สอนเรื่องจิต บันทึกเสียงหลวงพ่อเอาไว้ (ด้วยโทรศัพท์มือถือ/คนเขียน) หลวงพ่อบอกว่า “ความลับแตก” หัวเราะกันใหญ่ หลวงพ่อเชิญหมอเทวดามาช่วยรักษา ตอนนั้นลมพัดมาเย็น เหมือนฝนจะตก หลวงพ่อกลับ ฝนก็รินนิดหน่อย พ่อเช็ดตัวนวดหลังให้ นอนหลับ กินยาธิเบต น้ำอุ่น พ่อไปเอาอ่อมแซ่บที่โรงครัว เตรียมทำน้ำเขียว อ่านละคร กินกล้วย กินน้ำเขียว พ่อนวดขาให้ กินน้ำเขียว อ่านละคร ฉี่ดี จะ 6โมงแล้วแม่ยังไม่มา หิว กินนึ่งปลา ข้ามเหนียว ล้างมือ กินมังคุด ดู CDการ์ตูนธรรมะ ฉี่ ถ่ายดี

วันนี้อารมณ์ดี หน้าตาแจ่ใส ตัวไม่ร้อน


แม่ภูมิใจในตัวลูกนะ ที่จิตใจลูกเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าลูกมีเป้าหมายในการดูแลตัวเองชัดเจน คือจดหมายที่ลูกเขียนถึงลุงยุทธ


จดหมายฉบับที่หนึ่ง ที่ส่งถึงลุงยุทธ ลูกเขียนไว้ว่า


ถึง ลุงอ้วน แสนนักสู้ (ลุงยุทธ)

ป่านเป็นกำลังใจให้ลุงยุทธสู้ต่อไปนะคะ

ป่านอยู่ที่นี่สบายดี ป่านพยายามกินอาหารแบบลุงยุทธ แต่ป่านจะมีผักตุ๋น ฟักทอง มังคุด ไข่ขาว มาเสริมด้วย ป่านก็เลยพอกินได้ เวลาว่างป่านจะอ่านหนังสือธรรมะ บันทึกประจำวัน คัดเมล็ดข้าว ฝึกจิต กำหนดลมหายใจ เข้าออก ตั้งจิตอธิษฐานภาวนาแผ่เมตตา และอีกหลายๆ อย่าง ทำให้จิตใจป่านสงบมากขึ้น

ป่านอยากให้ลุงยุทธบันทึกการรักษาโรคของตัวเอง ประวัติตัวเอง กวี กลอน หรือบทโศลกบ้าง ป่านจะได้ศึกษาเป็นความรู้ เอามารักษาตัวเองบ้าง ป่านก็จะสู้ เราจะสู้ไปพร้อมๆกัน ไม่ท้อแท้ แม้อุปสรรคนั้นจะเป็นอย่างไรก็ตาม

เป็นกำลังใจให้เสมอ”

จาก ลูกเขียด แสนน่ารัก


ท้ายจดหมาย ลูกยังวาดดอกไม้ที่มีกลีบแปดกลีบ สลับใบไม้รูปทรงง่ายๆ สัญลักษณ์ประจำตัวของลูก

 

 

 

 

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
ประมาณตีสาม เราค่อยๆไต่ขึ้นสู่เขตภูเขาสูง ฉันนึกเดาเอาว่าที่นี่น่าจะเป็นเขตรัฐสลังงอร์ เพราะว่าเผอิญสายตาปะทะกับป้ายที่เขียนว่า เกนติ้ง ไฮแลนด์ มีลูกศรชี้ไปทางซ้ายมือ แต่รถยังมุ่งหน้าตรงไป กระทั่งฉันเห็นเมืองเล็กๆมีไฟฟ้าสว่างไสว สาดจับที่รูปปั้นขององค์พระศิวะสีทองอร่ามความสูงร่วมร้อยเมตร ยืนตระหง่านตรงปากทางขึ้นถ้ำซึ่งมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ไม่น้อยไปกว่ากัน ฉันรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นถ้ำบาตู ฮินดูสถานที่สำคัญของคนมาเลเซียเชื้อสายอินเดีย และถัดมาอีกไม่เกินครึ่งชั่วโมง มีป้ายเขียนไว้ว่า พิพิธภัณฑ์โอรัง อัสลี…
เงาศิลป์
คุณเคยเดินทางไปในทิศทางที่ไม่คุ้นเคยบ่อยไหม ขณะนั้นหัวใจของคุณเต้นเป็นจังหวะอะไร มันระทึกตื่นเต้นโครมครามปานช้างป่าตกมันหรือเปล่า หรือว่าเรียบเรื่อยราวห่านหงส์กระดิกปลายเท้าแผ่วใต้สายน้ำนิ่ง แล้วเคลื่อนร่างไปข้างหน้าอย่างละมุน แม้แต่ผิวน้ำก็แทบจะไม่กระจาย
เงาศิลป์
กำแพงบางๆ ที่กั้นระหว่างความทุกข์กับความสุข คือความกระหายใคร่รู้ในบางสิ่งบางอย่างที่ต้องหาคำตอบด้วยตนเอง จะเรียกสิ่งนั้นว่า ความท้าทาย การผจญภัย หรือความใฝ่รู้ ก็น่าจะได้ แต่บางทีมันกลับเป็นเครื่องจองจำบีบรัดหัวใจให้อึดอัดจนหายใจไม่ออก และฉันไม่ชอบอารมณ์นั้นเลย ฉันจึงต้องพยายามจะเป็นฝ่ายชนะมันด้วยการออกเดินทางเพื่อไปหาคำตอบ แม้จะอยู่สุดหล้าฟ้าเขียวก็ตาม  
เงาศิลป์
ป่าในสำนึก คือวิหารอันโอฬาร ที่เปลี่ยนแปลงรูปทรงทุกขณะที่เคลื่อนเข้าใกล้ มีพลังดึงดูด มีมนต์สะกด มีความยิ่งใหญ่ที่ข่มให้เราตัวเล็กลง ฉันจึงหลงรักการถูกครอบงำนี้ อย่างไม่อยากถอนใจ
เงาศิลป์
ฉันได้ตายลงแล้วจริงๆ เพราะเบื้องหน้าที่มองเห็นคือท่านท้าวพญายมราช "ทำไมเจ้าจึงเลือกประตูบานที่สาม"น้ำเสียงเข้มขรึมไม่ด้อยไปกว่าท่วงท่าอันน่าเกรงขามบนบัลลังค์ ฉันซึ่งนั่งคุกเข่าก้มหน้าหลบสายตา ยิ่งต้องทำตัวห่อลีบ ประหนึ่งหลบหลีกคมหอกดาบที่พุ่งมาพร้อมกับคำถามนั้น
เงาศิลป์
  ลูกรักของแม่ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทำให้เรารู้จักคำว่าสูญเสียได้อย่างลึกซึ้ง แม้แต่แม่เองก็ยังต้องครุ่นคิดย้อนหลังไปว่า ถ้าสามารถย้อนเวลาไปแก้ไขหรือป้องกันการจากพรากที่แสนจะรันทดนี้ได้ ในตอนไหนได้บ้าง แม่ก็จะทำ ถ้าแม่รู้ว่าลูกจะอยู่กับเราไม่นาน แม่จะไม่ส่งลูกไปอยู่กับคนอื่น แม้คนนั้นจะเป็นปู่กับย่าก็ตาม ถ้าแม่รู้ว่าลูกป่วยหนักและมีเวลาเหลืออีกไม่นานนัก แม่จะไม่เชื่อหมอที่วินิจฉัยในครั้งแรก ถ้ารักษาลูกได้ด้วยวิธีใดๆ เพื่อให้ลูกหายขาด แม่ก็จะทำ แต่ก็นั่นล่ะ พูดไปเมื่อสายเสียแล้ว จะมีประโยชน์อะไร ที่จะรำพัน ดังนั้น สิ่งที่พอจะทำได้ คือ แม่อยากบอกกับคนที่เป็นพ่อแม่ทุกคนว่า…
เงาศิลป์
รุ่งขึ้นอีกวัน หลังจากเก็บอัฐิของลูกแล้ว ความเศร้าโศกค่อยๆ ถอยห่างไปจากเรา ในตอนสาย พ่อได้ประกาศเจตนารมย์ให้แก่ญาติมิตรทั้งหลายทราบว่า พ่อจะตั้ง “กองบุญแม่ชีป่าน” ขึ้น เพื่อเป็นการสนับสนุนกิจกรรมด้านธรรมะ แก่เยาวชนตามเจตจำนงค์ของลูกที่เคยบอกกับใครๆไว้ว่า อยากทำงานสืบต่อพระพุทธศาสนา แม่เชื่อว่า ในขณะที่พ่อกล่าวคำขอบคุณทุกๆคนที่นั่งอยู่ในถ้ำ ตอนนั้น ลูกได้รับรู้ด้วยเป็นแน่แท้
เงาศิลป์
    ลูกสิ้นใจท่ามกลางวงล้อมของเหล่าผู้ที่รักและเมตตาลูก โดยเฉพาะหลวงพ่อซึ่งนั่งสมาธิสงบนิ่งตลอดเวลา ตั้งแต่ลูกมีอาการใกล้จะดับ จนผ่านนาทีแห่งการพลัดพรากนิรันดร์ไปแล้ว ท่านก็ยังนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่อย่างนั้น อีกหลายนาที
เงาศิลป์
แม่ไล่สายตามองหาคำว่ามะเร็ง ในหน้ากระดาษบันทึกของลูก ตั้งแต่หน้าแรกจนกระทั่งหน้าสุดท้าย ในจำนวนกว่า 300 หน้า ไม่มีสักคำเดียวที่ลูกจะเขียนถึงมัน  
เงาศิลป์
  อาจเป็นเพราะว่าแม่อยู่กับลูกตลอดเวลา จนกระทั่งคิดว่าความสงบนิ่งคืออาการปกติที่ลูกเป็นอยู่ แน่ล่ะ นิสัยของลูกไม่เหมือนเด็กอื่นๆมาตั้งแต่เล็กๆแล้ว ลูกเป็นเด็กที่มีสมาธิมาตั้งแต่ตัวน้อยๆ บางครั้งแม่เคยเห็นลูกนั่งเล่นตุ๊กตาบาร์บี้อยู่คนเดียว ทั้งแต่งตัวและหวีผมให้มันครั้งละนานๆ เป็นชั่วโมง สองชั่วโมง โดยไม่เบื่อหน่าย ก็นั่นคือกิจกรรมของเด็ก ภายในใจอาจมีจินตนาการมากมาย แต่ขณะที่เป็นคนป่วย การใช้เวลานิ่งเงียบอยู่กับตัวเองของลูก คือการเขียนบันทึกและอ่านหนังสือ ความนิ่งเงียบที่เกิดขึ้น ทำให้ลูกดูคล้ายผู้ใหญ่คนหนึ่ง ที่แม้กระทั่งพ่อกับแม่ก็ยังเกรงใจ ไม่กล้ารบกวน  
เงาศิลป์
  วันที่ 1 สิงหาคม 2551 เวลาประมาณ 18 .30 น. ลูกของแม่ได้กลายเป็นลูกขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในนามนักบวชหญิง ผู้ถือศีล 8
เงาศิลป์
  ชีวิตในแต่ละวันเป็นไปอย่างสงบเงียบ เพราะกิจกรรมหลักของลูกคือกินยา กินอาหาร อ่านหนังสือ สลับเขียนบันทึก ส่วนพ่อกับแม่ นอกจากจะต้องทำอาหาร ตรวจอาหาร นวด พอกยา อาบน้ำให้ อุ้มลูกไปห้องน้ำ อุ้มมานอกห้อง ระยะหลังยังต้องอุ้มลงมาอาบแดดยามเช้าๆ ที่แคร่ไม้ไผ่หน้ากุฏิ และต้องผลัดเปลี่ยนกันลงไปข้างล่างเพื่อทำธุระส่วนตัว กับซื้อหาอาหาร