Skip to main content

ในราวกลางเดือนมิถุนายน ลูกยังลุกขึ้นนั่งได้เองบ้าง และบันทึกประจำวัน นอกจากจะเป็นเรื่องการกินยา อาหาร ที่คล้ายๆกันในแต่ละวัน จะแตกต่างไปบ้างเมื่ออาหารบางอย่างที่ตรวจต่อมไทมัสแล้วกินไม่ได้ ทั้งที่วันก่อนๆเคยกินได้ เช่น บันทึกของวันที่ 19 มิถุนายน ลูกเขียนว่า กินแกงอ่อมไม่ได้
\\/--break--\>

"ล้างมือด้วยมะกรูด แปรงฟัน เช็ดมือ ปาก  กินน้ำอุ่น พ่อซักกางเกงให้ ฟัง CD หลวงพ่อเทศน์ อ่านหนังสือ นอน พ่อนวดให้"

"หลวงพ่อมาดูสมุดบันทึก และภาวนาให้หมอเทวดามาช่วยรักษา ส่วนเราท่องพุทโธไปด้วย หลวงพ่อบอกว่าวันนี้หน้าตาแจ่มใสดี หลวงพ่อกลับ กินยาธิเบต น้ำอุ่น กินยาญี่ปุ่น นอนพัก กินฟักทอง กินมังคุด (พ่อผ่าดูแต่ละลูกเน่าหมด เหลือลูกสุดท้าย พ่ออธิษฐานว่าถ้าลูกข้าพเจ้าจะหายขอให้ได้กิน ผ่าลูกสุดท้าย ลูกนี้สีสวยเนื้อขาวสด น่ากินมาก) กินข้าวนึ่งปลา ล้างมือ บ้วนปาก กินน้ำอุ่น อ่านหนังสือ"

"ฝนตก นอนกอดพ่อ .........ฝนเริ่มหยุดตก มีหมอก พ่อเปิด CD ขลุ่ยธิเบต แม่ยังไม่มา พ่อนวดหัว +หู ให้ แล้วพูดเรื่องภารกิจของป่าน 1 บวช  2 เป็นหมอแผนโบราณ  ท่องพุท-โธไปด้วย พ่อนวดหลังกับก้นกบ"

"แม่ชีเล็กมาเยี่ยม ดูสมุดบันทึก คุยกันเรื่องอาหารของจิต คือ ความสุข และอีกหลายเรื่อง แม่ชีลูบหัว มือ แขน ให้ หลับ ตื่น พ่อเช็ดตัวให้ เช็ดน้ำอุ่น ฟังขลุ่ยธิเบต  5 โมง 20 นาทีแล้ว แม่ยังไม่มา พ่อเตรียมทำกับข้าว พ่อไปเอาถ่านมา อ่านหนังสือ พ่อมา ฉี่(พ่อต้องอุ้มไปห้องน้ำ) อ่านหนังสือต่อ กินยาญี่ปุ่น อ่านหนังสือ (กินอาหาร กินยา) เข้ามาข้างใน(ห้อง) แม่มาพอดี (ตรวจอาหาร  กินอาหาร")

"กินยาธิเบต เท้าบวมคงเพราะกินไข่+ฟักทอง แม่กดลมปราณให้ พ่อนวดเท้า+มือให้ ท่องพุท-โธไปด้วย  พ่อพูดเรื่องหมอสามคน

หลวงพ่อครรชิต ศาสตร์ด้านธรรมะ+จิตใจ
หมอโซนัม ศาสตร์ด้านยา
หมอเขียว ศาสตร์ด้านอาหาร

เราก็เปิดร่างกายให้หมอเทวดามารักษา+อุทิศบุญให้หมอเทวดา+อโหสิกรรมให้เจ้ากรรมนายเวร ท่องพุท-โธ ฉี่ ถ่ายเยอะ ตอนตี 2 พ่อลูบหัว ท่องพุท-โธ นอนหลับสบายดี ฝนตกนิดหน่อย"

เดือนนี้ฝนตกเกือบทุกวัน ทุกๆเช้าลูกจะเขียนว่า มีหมอกลอยขึ้นมาจากหุบเขา ฟังเสียงสายน้ำกระทบแก่งหิน มีความสดชื่นเบิกบาน

ความสดชื่อของลูกยิ่งมากขึ้น และลูกยังรู้สึกถึงความเอร็ดอร่อยของอาหาร แต่บางครั้งยังมีความหิวอย่างรุนแรง

20/6/51

ตื่น 06.10 น. ลุกได้เอง พ่อแม่ทำกับข้าว มีหมอกลอยขึ้นมา ตาบวมนิดหน่อย ออกมาด้านนอก (กินอาหาร ตรวจข้าวสวยกินไม่ได้)

วันนี้กินเยอะอาหารอร่อย ล้างมือ แปรงฟัน เช็ดหน้า มือ พ่อกับแม่กินแกงเห็ด+หน่อไม้ (ในบันทึก ลูกชมว่าพ่อทำอาหารอร่อย)

กิจกรรมซ้ำเดิมที่ลูกทำในแต่ละวันคือ ดู CD อ่านหนังสือธรรมะ สลับอ่านละคร ในบันทึกที่ยังไม่ได้เขียนเรียงเวลาไว้ชัดเจน มีแต่กิจกรรมการกินยา อาหาร ฉี่ถ่าย และอ่านหนังสือ ดู CD ส่วนเรื่องแทรกที่มี คือเรื่องลุงยุทธและรายชื่อคนมาเยี่ยม ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนพ่อและพี่น้องชาวบ้านเครือข่ายอินแปง

29/6/51

นอนสมาธิ 05.05 น. ถึง 05.30น. (เปิดร่างกาย+อุทิศบุญให้หมอเทวดา ท่องพุท-โธไปด้วย) นอนต่อ จนถึง 06.30 น. ด้านนอกยังมืด ฝนกำลังตก ว่าจะออกไปข้างนอก แต่ลูกป้าพร คือ พี่แบ้งค์ยังนอนที่นอนอยู่ ปุ้ยก็ตื่นแล้ว เมื่อคืนฝันว่า "เดินได้  แล้วเอาลำไยมากิน แม่ยังทำทอดปลาดุก ส้มตำ คั่วไข่ อาหารมากมาย เดินได้คล่องมากเลย"

4/7/51

อาตุ๊กถ่ายรูปไปให้ลุงยุทธดู ยิ้มให้ ถ่ายท้องกับหลังด้วย .......ต้องเริ่มกินฉี่ตัวเอง  กินยาธิเบต น้ำอุ่น ตอน 15.40 น. มังคุดก็เริ่มหมดฤดูแล้ว หวังว่าพ่อคงหาซื้อได้ มังคุดหมดไม่รู้จะกินอะไร คงจะเป็นหมากเม่า พ่อคงแบกของหนักขึ้นมากับปุ้ย แต่ก็นัดเวลาไว้กับน้านี ว่าจะลงไปช่วยแบกของขึ้นมา คงมาค่ำหน่อยเพราะปุ้ยเลิกเรียน 5 โมงครึ่ง ตอนเย็นต้องกินอาหารแบบแม็คโครไปโอติก ข้าวคูดกับงามั้ง ไม่รู้จะเป็นยังไง น้านีต้องอยู้หน้าเตาตลอด ขนาดตุ๋นข้าวใช้เวลา 2 ชั่วโมง คั่วงาก็ต้องคนต้องเฝ้าอยู่ตลอด ส่วนมากอยากให้กินเครื่องเทศ พวกตะไคร้คั่วกินแล้วตดเยอะมาก เขาบอกว่าดีแล้วช่วยขับลม อาบน้ำก็อาบน้ำต้มตะไคร้ กลิ่นหอมสดชื่นดีเหมือนกัน

ไม่รู้ว่าลุงยุทธจะไปอยู่ถ้ำพระฤาษีที่บ้านบัวตอนไหน ป้าอ้วนก็คิดหนักผอมลง ลูกๆก็อยู่คนละจังหวัด ต้องเรียนหนังสือ น่าสงสาร แต่ว่าก็มีคนให้กำลังใจลุงยุทธเยอะมาก ไม่ว่าจะด้านอาหารทุกคนเอาใจใส่ลุงยุทธเป็นอย่างดี หมออัลซูมา หมอจากญี่ปุ่น มาตรวจร่างกายให้ลุงยุทธ แล้วบอกว่าให้ลูกมาอยู่ด้วยสัก 6 เดือนไม่ต้องเรียน มาให้กำลังใจ ดูแลกันได้ไหม ลุงยุทธถึงกับน้ำตานอง คงสงสารลูก อยากให้ลูกได้เรียน ไม่อยากให้ลูกลำบาก แต่ลุงยุทธเดินได้ เราต้องพยายามเดินให้ได้ ภายใน 2 เดือนนับจากอยู่ที่นี่ แต่นี่ใกล้จะ 1 เดือนแล้ว วันที่ 6 ก็จะครบหนึ่งเดือน ยังเดินไม่ได้เลย หลวงพ่อจะมาวันที่ 6 ไม่รู้จะเล่าเรื่อง ท่านมิลาเรปะให้ฟังยังๆไง

อ่านหนังสือ "ลมหายใจแห่งขุนเขา" รออาบน้ำ ฉี่ใสกว่าตอนเช้า อาตุ๊กกำลังทำกับข้าว กระปุก(หมาของป่าน)ไปไหนก็ไม่รู้ เพราะวันนี้ไม่ได้ผูกไว้ ส่วนน้านี น้าปุ่น ไปไหนก็ไม่รู้ อาบน้ำต้มใบมะขาม+ตะไคร้+ใบมะกรูด สดชื่นดี เปลี่ยนเสื้อผ้า หัวเข่าเริ่มอุ่น อาการดีขึ้นตั้งแต่เปลี่ยนอาหาร อาปุ่นหุงข้าวเหนียว คงอดกินข้าวเหนียวอีกนานเลย แต่ถ้าได้กินจะพยายามเคี้ยวให้นานที่สุด แม่ล้างถ้วยชาม อาตุ๊ก อาปุ่น คงกลับพรุ่งนี้ ไม่รู้ว่าน้านีจะกลับด้วยหรือเปล่า วันนี้ไม่รู้จะได้กินไข่ต้มหรือเปล่า แต่คงได้กิน

ตอนนี้ต้องควบคุมอาหารการกินมากขึ้น น้านีก็ได้เรียนรู้วิธีทำอาหารสุขภาพมากขึ้น บางทีน้านีก็อาจจะกลับไปทำให้พี่แจนกินบ้าง เพาะพี่แจนไม่ค่อยได้กินอาหารสุขภาพ เพราะต้องกินที่โรงเรียน ยิ่งแย่กว่าเราเสียอีก (กระปุกก็วิ่งไปวิ่งมา เพราะปล่อยเชือกแล้ว) น้านี อาปุ่น อาตุ๊ก ช่วยกันยกแคร่มาตั้งแต่เที่ยง เอามาตากถ้วยชาม ทำเป็นที่หั่นผัก วางนั่นวางนี่  กินยาญี่ปุ่น น้านีขูดชอล์กตามขาแคร่ไม่ให้มดไปตอมอาหาร ต้มไข่เสร็จพอดี อยากกินไข่แดงบ้าง แต่ไม่เป็นไร กินไข่ขาวใส่ซอสก็อร่อยเหมือนกัน

ฉี่ อาตุ๊กเตือนแม่ว่าอย่าลืมเก็บฉี่ไว้ตรวจ อาตุ๊ก อาปุ่น ตรวจฉี่ ให้กินได้ แต่ต้องเจือจางกับน้ำ กินฉี่ แม่ซักผ้า น้านีกำลังปิ้งมะเขือเทศกับพริก อาปุ่นนึ่งผักที่หั่นไว้ อาตุ๊กลงไปรอถ่ายรูปพ่อกับปุ้ยที่แบกของขึ้นมา

6 โมงกว่าแล้ว แต่ยังสว่างอยู่เลย อากาศเย็นสบาย แต่เปิดพัดลมไล่ยุง สุดท้ายฝนก็ไม่ตก มีแต่เสียงฟ้าร้อง น้านีตำแจ่วไว้สำหรับผู้ใหญ่กิน เย็นนี้มีไข่ต้มหรือเปล่าไม่รู้ ที่ว่าไว้คงไม่ใช่ไข่ น่าจะเป็นอย่างอื่น แต่อาตุ๊กก็บอกให้ต้ม

อ่าน "ลมหายใจแห่งขุนเขาแชงกรี-ลา ลีเจียง-ยาดิง" ต่อ นอนลงเอง ฉี่ถ่าย ตอน 18.31 น. ถ่ายเหลืองปกติ น้านีทักทายกับกระปุกเหมือนพูดกับคนเลย  ยุงเริ่มมาอีกแล้ว ดู CD การ์ตูนธรรมะ เริ่มหิวขึ้นมา ณ บัดนี้ อาตุ๊กขึ้นมา รอไม่ไหวแล้ว อาปุ่น อาตุ๊ก ตรวจอาหาร กิน............พ่อกับปุ้ยมาถึง เหนื่อยกันใหญ่เลย ซื้อ CD หนังสือมาด้วย ฝนตก อาตุ๊ก พ่อ อาปุ่น แม่กินข้าว  อ่านหนังสือ "ธิเบตหลั่งเลือดบนหลังคาโลก" อยากกินกล้วยกับข้าวเหนียว ก็กินไม่ได้ เลยประชดไม่พูดกับใคร

5/7/51

อ่านหนังสือ "ธิเบตหลั่งเลือดบนหลังคาโลก" อ่านแล้วสงสารธิเบต แต่เขาก็สู้ "เป็นกำลังใจให้เด้อ" ต้องไปธิเบตให้ได้

ฉี่ ถ่าย ตอน 06.32 น. แม่เก็บฉี่เอาไว้ เหลือมังคุดอยู่แค่ 3 ลูก แต่ไม่รู้ว่าจะกินได้หรือเปล่า เพราะมีแต่ลูกแข็งๆ แม่เปิดเพลงธรรมะฟัง ปุ้ยยังไม่ตื่นเลย วันนี้ไม่รู้ว่าจะได้อาบน้ำตอนเช้าหรือเล่า แต่อยากอาบเพราะอาบแล้วสบายตัว สดชื่นดี แม่อุ้มออกมาด้านนอก อากาศดีมาก เย็นสบาย มีหมอกลอยขึ้นมา น้านี อาปุ่น ช่วยกันหั่นผักเตรียมนึ่ง

อ่าน "ธิเบตหลั่งเลือดบนหลังคาโลก" ต่อ ท้องยุบลงกว่าเมื่อวาน (......ตรวจอาหาร....กินอาหาร......) พยายามลดงาลง เพราะกินแล้วหน้าบวม แม่นวดน้ำมันให้ นอนแต่ได้ยินทุกอย่าง อาปุ่น อาตุ๊ก พ่อ แม่ น้านี ปุ้ย กินข้าว

นอนไม่หลับเลย ช่วงนี้อารมณ์ไม่ค่อยดี อาหารไม่ถูกปาก แต่มีประโยชน์ต้องพยายามกิน ก็กินเท่าที่กินได้ อยากกินข้าวเหนียวเหมือนกับคนอื่นบ้าง ทั้งๆที่เคยกินได้ น่าจะให้กิน เห็นใจกันบ้างสิ ก็ลุงยุทธโตแล้ว ลุงยุทธก็อดกินได้น่ะสิ นี่เรายังเด็กอยู่ ก็อยากจะกินเหมือนเด็กอื่นๆบ้าง ฟ้า ดิน ช่วยเห็นใจเด็กน้อยคนนี้ด้วยเถิด ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง กลับมามีสุขภาพที่แข็งแรงอีกสักครั้ง แล้วเด็กน้อยคนนี้จะปฏิบัติตนเป็นคนดี ช่วยรักษาพระพุทธศาสนาเอาไว้โดยการบวชชี และศึกษาการแพทย์แผนธิเบต เอาไว้รักษาคนที่ยากจนและคนอื่นๆที่เจ็บไข้ได้ป่วย ขอให้คำขอของเด็กน้อนคนนี้ เป็นจริงด้วยเถิด

ฉี่ ถ่าย ดีที่พ่อไม่เก็บฉี่ไว้ จะได้ไม่ต้องกินฉี่
พ่อแม่ตรวจร่างกาย ตรวจอาหาร ตรวจเม็ดบัวให้ กินได้ แต่ไม่กิน น้อยใจ

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
ตอนที่ 3 กว่าจะรู้ว่าเป็นมะเร็ง "แม่ ป่านเบื่อกินยาจังเลย"ลูกบ่นเบาๆ ขณะที่หยิบยาออกมากินตามปกติทุกวันอย่างมีวินัย เป็นเวลาสามปีกว่าแล้ว ที่ลูกต้องเข้าออกโรงพยาบาลแล้วได้ยามากินระงับอาการปวดท้อง โดยที่ไม่มีใครเฉลียวใจเรื่องอื่น
เงาศิลป์
ก้อนเมฆหนาสีเทาทึมทึบ ขยับเคลื่อนช้าๆมาจากทิศตะวันตก จากโค้งฟ้าไกลๆค่อยๆเคลื่อนผ่านศรีษะฉันไปอย่างไม่เร่งร้อน คล้ายลังเลว่าจะแวะพักสักครู่ดีหรือไม่ คงไม่อาจรีรอได้ จึงบ่ายคล้อยต่อไปยังทิศตรงข้าม ทิ้งไอฉ่ำระเรี่ยพื้นพอให้คนรอคอยใจหายเล่น ชีวิตบางชีวิตก็เช่นกัน ..............
เงาศิลป์
    กองฟอนถูกตระเตรียมอย่างรวดเร็วภายในเช้าวันรุ่งขึ้น พิธีศพเป็นไปอย่างเรียบง่าย ท่ามกลางญาติมิตรที่รักใคร่ผูกพัน ตกบ่าย ณ ลานหินริมหน้าผา เปลวเพลิงลุกโชน ลามเลียกองไม้และร่างกายผ่ายผอมนั้นให้หม่นไหม้กลายเป็นผงธุลี พร้อมๆกับน้ำตาที่หยาดลงบนร่องแก้มของใครหลายคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น
เงาศิลป์
ใครที่เคยสูญเสียสิ่งรัก คงจะรู้จักอาการปวดแสบปวดร้อนคล้ายถูกมือยักษ์ควักใจหัวใจออกมาบี้เล่น อย่างไม่ปราณีปราศรัยได้ดียิ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาการเหล่านั้นค่อยๆจางหายสวนทางกับสติปัญญาที่เพิ่มมากขึ้น เราเรียกสิ่งนี้ว่าประสบการณ์ชีวิต แน่ล่ะ ทุกคนจะต้องจ่ายด้วยราคาที่สูงลิบลิ่ว อย่างไม่เต็มใจ เสมอมา   ความทุกข์ จากความพลัดพรากในสิ่งที่รัก จึงเสียดแทงหัวใจเป็นที่สุด
เงาศิลป์
วันจากไปนิรันดร์ของใครบางคน ทำให้ใครหลายคนมาเจอกัน วันเช่นนั้น มักจะมีม่านแห่งความเศร้าคลี่คลุมไปทั่ว บางคนที่ตั้งสติได้ อาจย้อนถามใจตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งฉันจะต้องเป็นผู้ไปบ้าง อะไรจะเกิดขึ้น  อะไรจะเกิดขึ้น หมายถึงอะไรเล่าหมายถึงความเศร้าโศกเสียใจของใครบ้างหรือเปล่าหรือหมายถึง ความชื่นชมยินดีในวิถีแห่งการตาย พร้อมคำว่า....สาธุ
เงาศิลป์
ทุกอณูเนื้อบนผืนโลก เราล้วนต่างเหยียบย่ำซ้ำรอย น่าแปลก ที่ไม่มีใครจำได้ว่าได้ย่ำมาแล้วกี่ครั้งกี่หน ฉันหมายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นซ้ำซากในปัจจุบันชาติ หรืออาจลากพาย้อนกลับไปหลายอสงไขยชาติ มีบ้างไหมที่พบว่าบางพื้นถิ่นเรารู้สึกคุ้นชินเหมือนเคยอยู่ มีบ้างไหม กับบางคนที่รู้สึกคุ้นเคยเหมือนได้ชิดใกล้กันมาก่อน ถ้าไม่แข็งขืนปฏิเสธการมีอยู่ของความทรงจำซ้ำซาก ที่ไม่เคยชัดเจนแต่ทิ้งเค้าลางเอาไว้อย่างแนบเนียน ฉันว่าใครหลายคนที่แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมฉัน และทิ้งคำจำนรรเอาไว้บ้างนั้น เราล้วนเคยเป็นพี่น้องกัน ไม่เช่นนั้นหนทางโคจรจะวกวนให้มาเจอกันได้อย่างไร
เงาศิลป์
เสียงเห่าโฮ่งๆ ดังกังวานมาจากในป่า เป็นเสียงที่ดุกร้าวบอกเหตุบางอย่างว่าเร่งด่วน เจ้าหลาม...แม่หมา เจ้าเสือ...พี่หมารีบหันหลังกระโจนพรวดไปทางเสียงนั้น เจ้าตัวเล็กอีกสามตัววิ่งตามกันไปเป็นพรวน ฉันชะเง้อตามดู เห็นเจ้าด๊อกกี้กำลังตั้งหน้าตั้งตาเห่าบางอย่างราวกับจะเปิดฉากต่อสู้ และเมื่อทุกตัวไปถึงที่เกิดเหตุ เจ้าตัวดีกลับวิ่งมาทางฉัน ในปากมีอะไรคาบอยู่ ฉันจึงเรียกให้หยุด มันทำตามแต่โดยดี พลางคายสิ่งนั้นลงบนพื้นดิน
เงาศิลป์
ค่ำคืนหนึ่ง... เม็ดฝนทิ้งรอยให้แกะรอยเช้าตรู่ ยังไม่ทันเงยหน้าดูท้องฟ้า ฉันรีบก้มหน้าดูพื้นดิน เห็นรูพรุนเล็กๆ ที่ฟ้าทิ้งรอยไว้ให้อย่างมีเงื่อนงำ ไฉนไม่ยอมทำลายซากของฝุ่นผงให้หมดสิ้น ทำแบบนี้ทำไมกัน ไม่รู้หรือว่าฉันปวดร้าวหัวใจ ฝนเอ๋ย จนสาย อาการกระหายใคร่จะให้หยาดฝนริน ยังไม่ยอมจางหายไปจากใจ เทียวเดินเข้าเดินออกใต้ถุนบ้านเงยหน้าดูท้องฟ้า พลางนึกถึงอดีตที่เคยถูกทักถาม ยามที่ทำงานเร่ร่อนตามหมู่บ้าน บ้านแล้วบ้านเล่า ซอกซอนไปเรื่อยๆ ยุคสมัยที่อีสานยังรุ่มรวยไปด้วยถนนสายฝุ่นสีทองแดง คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านย่านป่าลึก มักจะเอ่ยปากถามเป็นคำแรกว่า "ที่บ้านฝนตกบ่หล่า" ตอนนั้นตอบไปเรื่อยๆ…
เงาศิลป์
ไอชื้นของลมฝนที่โชยผ่านผิวมาจากที่ไกลแสนไกล ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือนั่น มันคงเดินทางมาไกลมาก ไกลจนมองไม่เห็นแม้แต่เค้ารางของม่านฝนที่จะมาถึง แต่เพียงแค่นี้ก็ช่วยขับไล่ความร้อนอ้าวให้หนีห่าง พร้อมมอบความหวังใหม่ให้แก่ชีวิต ทั้งคนทั้งสัตว์ทั้งต้นไม้ให้เริงรำได้อีกครั้ง ดูนั่นสิ..สีน้ำตาลจากราวป่ารอบๆ ไร่ เริ่มระบายสีเขียวอ่อนลงไปแทน อีกไม่นานดอกไม้สีเหลือง สีขาว กลิ่นกรุ่นก็จะผลิแย้มกำจายกลิ่นไปทั่วป่า
เงาศิลป์
ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่คละเคล้าก่อตัวกันเป็นโลกและชีวิต มีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ อย่างปกติ..... ลมหนาวพัดกรรโชกไร้ทิศทาง พัดพาเอาควันไฟจากกองฟืนใต้ถุนกระท่อมเล็ดลอดผ่านช่องว่างแผ่นกระดานปูพื้นทำให้รู้สึกแสบตาแสบจมูกอยู่เป็นระยะ
เงาศิลป์
ฉันมีเรื่องราวจะแลกเปลี่ยน ลองฟังดูนะ ตาเก้กับการลงทุน “คนอย่างผม ถ้าทำอะไรก็ต้องทุ่มหมดตัว” ตาเก้พูดเสียงต่ำ สีหน้ายิ้มเหยียดหน่อยๆ บ่งถึงความสาสมใจในชีวิต ขณะย่ำเดินไปบนพื้นดินทรายที่เพิ่งถูกผานไถพลิกพรวนให้กอหญ้าคว่ำหน้าลง แกกำลังจะลงทุนอีกรอบบนผืนดินนี้ ทั้งที่เจ้าหน้าที่ของโรงงานน้ำตาลฟันธงแล้วว่า “ดินเสื่อมสภาพหมดแล้ว”
เงาศิลป์
๑. ยามพลบค่ำ อาณาจักรบ้านไร่อาบแสงจันทร์ผ่องนวล ลมหนาวพัดเคล้าคลอพอให้เหน็บหนาว สลับไออุ่นจากไฟฟืนที่กรุ่นกำจายจนรู้สึกได้ถึงความต่างระหว่างอุ่นกับหนาว ที่ห่มพัน คืนแสงจันทร์จ้าจนแทบมองเห็นใบหน้าคนที่เดินอยู่ไกลๆ กับถนนสายฝุ่นที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่นับสิบสาย ด้วยรอยเท้าคนและล้ออีแต๊ก แต่ละเส้นทางล้วนตั้งต้นมาจากหมู่บ้านรอบนอก พาดผ่านทุ่งนาที่กลายเป็นดินแข็งกระด้างปกคลุมเพียงตอซังข้าวที่รอเวลาถูกเผาทิ้ง ถนนทุกสายมุ่งสู่ป่าชุมชนผืนใหญ่นี้อีกครั้ง หลังจากสายน้ำหลากล้นปิดกั้นการสัญจรในหลายเดือนที่ผ่านมา ฤดูแล้งของพื้นที่แห่งนี้ จึงเป็นฤดูกาลที่คึกคักพลุ่งพล่านไปด้วยกลิ่นอายของการเข่นฆ่า