Skip to main content
ฉันได้ตายลงแล้วจริงๆ เพราะเบื้องหน้าที่มองเห็นคือท่านท้าวพญายมราช

"ทำไมเจ้าจึงเลือกประตูบานที่สาม"
น้ำเสียงเข้มขรึมไม่ด้อยไปกว่าท่วงท่าอันน่าเกรงขามบนบัลลังค์ ฉันซึ่งนั่งคุกเข่าก้มหน้าหลบสายตา ยิ่งต้องทำตัวห่อลีบ ประหนึ่งหลบหลีกคมหอกดาบที่พุ่งมาพร้อมกับคำถามนั้น


"ดิฉันเพียงต้องการเลือกหนทางของตัวเองจริงๆเจ้าค่ะ"รู้ได้ว่าน้ำเสียงที่ตอบนั้นสั่นพร่า แต่ไม่ได้เกิดจากความลังเลในคำตอบแม้แต่น้อย

"ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้านี่ช่างโง่บัดซบ อวดดีเหลือเกิน ที่กล้าประกาศว่าความตายของเจ้าคือหนทางที่ได้เลือกแล้วด้วยตนเอง ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
เสียงหัวเราะเสียดเย้ยกระแทกกระทั้นเข้ามาในวิญญาณของฉัน จนแทบปริร้าวอีกหน แต่จำทนก้มหน้านิ่งเอาไว้ เพราะในนรกคงไม่มีประตูบานที่สี่ ให้คนพยศอย่างฉันดิ้นรนค้นหาหนทางไปต่อได้อีกแล้ว

"เอาล่ะ เมื่อเจ้ายืนยันเช่นนี้ ข้าจะให้โอกาสแก่เจ้าอีกหน แล้วเราค่อยมาดูกันใหม่ว่าที่เจ้าเลือกนั้นผิดหรือถูกกันแน่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
เสียงหัวเราะกังวานอย่างชอบใจสะเทือนสะท้านไปทั่วทุกขุมนรก จนเหล่าผู้คุมที่กำลังลงโทษวิญญานบาปทั้งหลายต่างชะงักงันชั่วครู่ คล้ายเรื่องราวเช่นนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นเลยสักครั้งเดียวในแดนนรกโลกันต์นี้

"ข้าจะให้เจ้ากลับไปใช้ชีวิตบนโลกมนุษย์ใหม่อีกครั้ง แล้วค่อยกลับมายืนยันอีกหนว่าเจ้าเลือกประตูบานที่สามนี้แล้วอย่างแน่นอน อย่างมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ครบถ้วน"
สิ้นเสียงพิพากษา ฉันรู้สึกชาวาบไปทั้งวิญญาณ ความหวาดกลัวจู่โจมจับจิตจับใจ มันน่ากลัวยิ่งกว่าตอนที่เลือกเดินเข้าสู่ความตายที่ผ่านมาหยกๆหลายร้อยหลายพันเท่า ฉันไม่อยากกลับไปมีชีวิตอีกแล้ว

ถ้าการมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความเกลียดชังของเพื่อนมนุษย์ ที่เป็นดั่งสายน้ำขุ่นคลั่กเชี่ยวกรากถาโถมท่วมนองไปทุกหย่อมหญ้าบนพื้นโลก ฉันขออยู่ในนรกที่มีกฏกติกาอันชอบธรรมเสียยังจะดีกว่า
ฉันจึงเลือกประตูที่สาม เพื่อหนีแรงดูดดึงของสองประตูนั้น ที่เบื้องหลังของประตูเต็มไปด้วยเรื่องราว ลับ ลวง พราง

ฉันจึงตัดสินใจต่อรองอย่างงกเงิ่นหวาดหวั่น
"ท่านเจ้าคะ ขอให้ดิฉันอยู่รับโทษทัณฑ์ในนรกขุมไหนก็ได้ โปรดอย่าส่งดิฉันกลับคืนไปอีกเลยเจ้าค่ะ"
"ทำไมล่ะ ไหนบอกข้ามาซิ" แสงเรืองแห่งความเมตตาที่เปล่งประกายออกมาจนฉันรู้สึกได้ ช่วยเพิ่มความกล้าหาญในจิตได้เล็กน้อย
"ดิฉันไม่อยากกลับไปอยู่ในโลกมนุษย์ที่มีการเข่นฆ่ากันอย่างเลือดเย็น อย่างไร้กฏกติกา แต่อ้างว่าทำตามกติกาเจ้าค่ะ"
"เจ้าจึงยอมตายเพื่อจะอยู่ในที่ๆเจ้าเชื่อมั่นว่ามีกฏกติกาอย่างนั้นหรือ"
"เจ้าค่ะ"
"ทำไมเจ้าจึงเชื่อมั่นในกฏของนรกนักเล่า ไม่คิดบ้างหรือว่าในนรกอาจมีการฉ้อฉลกลโกงในการลงทัณฑ์เหมือนเมืองมนุษย์"
"นั่นเป็นสิ่งที่ดิฉันไม่บังอาจคิดเจ้าค่ะ เพราะว่าหากขาดความเชื่อมั่นในนรกเสียแล้ว ดิฉันก็สิ้นไร้สิ่งยึดถือหน่วงเหนี่ยว เมื่อนั้นดิฉันก็คงเคว้งคว้างจนแทบจะฆ่าตัวตายซ้ำอีกหลายร้อยหน"
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าอย่าเพิ่งประมาทไป เอาล่ะๆ ในเมื่อเจ้าไม่อยากกลับไปเมืองมนุษย์ ข้าจะส่งเจ้าขึ้นสวรรค์ก็แล้วกัน"
"ไม่นะเจ้าคะ ไม่นะ ได้โปรด อย่าส่งดิฉันไปที่นั่นเลยเจ้าค่ะ"
ฉันแทบจะลนลานถลาเข้าไปกอดขาท่าน เพื่ออ้อนวอนให้เปลี่ยนใจ
"ที่นั่นน่ากลัวกว่านรกหลายล้านเท่า"
"ทำไมหรือ เจ้าเคยไปที่นั่นมาก่อนหรืออย่างไร" เสียงเข้มอย่างขัดใจกับเจ้าวิญญาณดื้อตนนี้
"ไม่เคยเจ้าค่ะ แต่รู้มาว่า นักรบพลีชีพทั้งหลายล้วนรู้จุดหมายของตัวเองดีเจ้าค่ะ พวกเขาเชื่อว่าการฆ่าคนอื่นแล้วได้ไปสวรรค์เจ้าค่ะ"

ฉันเห็นท่านท้าวพญายมมีสีหน้าเครียดขึง ยกไม้เท้าคู่กายกระแทกพื้นนรกดังสนั่นหวั่นไหว
"อุเหม่ ๆ เจ้านี่ สมควรตายสักล้านล้านครั้ง ช่างรู้มากเสียจริงหนอ เอาล่ะๆ เราจะให้เจ้ากลับไปล่องลอยอยู่ระหว่างภพเสียให้เข็ด ให้รู้สึกโดดเดี่ยววังเวงจนเกินจะทนไหว แล้วร้องไห้คร่ำครวญหาคนอยู่เคียงข้าง ไม่เลือกแม้แต่ศัตรูที่คิดคดทรยศ ฆ่าได้แม้กระทั่งเพื่อนรักอย่างเจ้า ให้เจ้าซาบซึ้งกับคำว่าชีวิต จนรู้สึกรักหวงชีวิตตนเองมากๆ จนไม่กล้าทำลายมันอีก หนนี้ข้าจะยกโทษให้ เพียงเพราะเจ้าหลงผิดคิดว่านรกคือสวรรค์ และคิดว่าสวรรค์คือนรก"
"ไม่จริงเจ้าค่ะ ไม่จริง ดิฉันเห็นทุกอย่างในนี้ เห็นแม้กระทั่งนักการเมืองขี้โกงที่ถูกทรมานอยู่ในนี้ ดิฉันรู้ว่านี่คือนรกจริงๆ ขอให้ดิฉันได้อยู่ในนี้เถอะนะคะ"
"อยู่ในนี้งั้นเรอะ ไม่ได้หรอก เจ้าต้องกลับไปแก้ไขเรื่องราวในเมืองมนุษย์เสียก่อน แล้วค่อยกลับมารายงานข้า"
"แก้ไขยังไงเจ้าคะ"
"กลับไปสำรวจเบื้องหลังประตูทั้งสองบาน ว่าที่จริงในนั้นมีอะไรซ่องสุมอยู่บ้าง แล้วค่อยกลับมาใหม่ มายืนยันว่าเจ้ายังคงเลือกประตูบานที่สามเหมือนเดิม"

ฉันตกตะลึง ตัวชาวาบ ได้ยินเสียงตัวเองร้องกรี๊ดอย่างโหยหวน แล้วทรุดฮวบลงกับพื้นนรก
"อิ๊ด ๆ ๆ ๆ" เสียงเล็กๆพร้อมความรู้สึกเย็นๆเหมือนถูกลูบไล้ที่ใบหน้า ลืมตาขึ้นมา พบว่าตัวเองยังนอนอยู่บนที่นอน ทั้งที่สายมากแล้ว เจ้าหมาน้อยคงหิวข้าว ปีนบันไดขึ้นมาปลุกจนถึงที่นอน

โอ...ฉันฝันไปหรือนี่  

 

 

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
ตอนที่ 3 กว่าจะรู้ว่าเป็นมะเร็ง "แม่ ป่านเบื่อกินยาจังเลย"ลูกบ่นเบาๆ ขณะที่หยิบยาออกมากินตามปกติทุกวันอย่างมีวินัย เป็นเวลาสามปีกว่าแล้ว ที่ลูกต้องเข้าออกโรงพยาบาลแล้วได้ยามากินระงับอาการปวดท้อง โดยที่ไม่มีใครเฉลียวใจเรื่องอื่น
เงาศิลป์
ก้อนเมฆหนาสีเทาทึมทึบ ขยับเคลื่อนช้าๆมาจากทิศตะวันตก จากโค้งฟ้าไกลๆค่อยๆเคลื่อนผ่านศรีษะฉันไปอย่างไม่เร่งร้อน คล้ายลังเลว่าจะแวะพักสักครู่ดีหรือไม่ คงไม่อาจรีรอได้ จึงบ่ายคล้อยต่อไปยังทิศตรงข้าม ทิ้งไอฉ่ำระเรี่ยพื้นพอให้คนรอคอยใจหายเล่น ชีวิตบางชีวิตก็เช่นกัน ..............
เงาศิลป์
    กองฟอนถูกตระเตรียมอย่างรวดเร็วภายในเช้าวันรุ่งขึ้น พิธีศพเป็นไปอย่างเรียบง่าย ท่ามกลางญาติมิตรที่รักใคร่ผูกพัน ตกบ่าย ณ ลานหินริมหน้าผา เปลวเพลิงลุกโชน ลามเลียกองไม้และร่างกายผ่ายผอมนั้นให้หม่นไหม้กลายเป็นผงธุลี พร้อมๆกับน้ำตาที่หยาดลงบนร่องแก้มของใครหลายคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น
เงาศิลป์
ใครที่เคยสูญเสียสิ่งรัก คงจะรู้จักอาการปวดแสบปวดร้อนคล้ายถูกมือยักษ์ควักใจหัวใจออกมาบี้เล่น อย่างไม่ปราณีปราศรัยได้ดียิ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาการเหล่านั้นค่อยๆจางหายสวนทางกับสติปัญญาที่เพิ่มมากขึ้น เราเรียกสิ่งนี้ว่าประสบการณ์ชีวิต แน่ล่ะ ทุกคนจะต้องจ่ายด้วยราคาที่สูงลิบลิ่ว อย่างไม่เต็มใจ เสมอมา   ความทุกข์ จากความพลัดพรากในสิ่งที่รัก จึงเสียดแทงหัวใจเป็นที่สุด
เงาศิลป์
วันจากไปนิรันดร์ของใครบางคน ทำให้ใครหลายคนมาเจอกัน วันเช่นนั้น มักจะมีม่านแห่งความเศร้าคลี่คลุมไปทั่ว บางคนที่ตั้งสติได้ อาจย้อนถามใจตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งฉันจะต้องเป็นผู้ไปบ้าง อะไรจะเกิดขึ้น  อะไรจะเกิดขึ้น หมายถึงอะไรเล่าหมายถึงความเศร้าโศกเสียใจของใครบ้างหรือเปล่าหรือหมายถึง ความชื่นชมยินดีในวิถีแห่งการตาย พร้อมคำว่า....สาธุ
เงาศิลป์
ทุกอณูเนื้อบนผืนโลก เราล้วนต่างเหยียบย่ำซ้ำรอย น่าแปลก ที่ไม่มีใครจำได้ว่าได้ย่ำมาแล้วกี่ครั้งกี่หน ฉันหมายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นซ้ำซากในปัจจุบันชาติ หรืออาจลากพาย้อนกลับไปหลายอสงไขยชาติ มีบ้างไหมที่พบว่าบางพื้นถิ่นเรารู้สึกคุ้นชินเหมือนเคยอยู่ มีบ้างไหม กับบางคนที่รู้สึกคุ้นเคยเหมือนได้ชิดใกล้กันมาก่อน ถ้าไม่แข็งขืนปฏิเสธการมีอยู่ของความทรงจำซ้ำซาก ที่ไม่เคยชัดเจนแต่ทิ้งเค้าลางเอาไว้อย่างแนบเนียน ฉันว่าใครหลายคนที่แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมฉัน และทิ้งคำจำนรรเอาไว้บ้างนั้น เราล้วนเคยเป็นพี่น้องกัน ไม่เช่นนั้นหนทางโคจรจะวกวนให้มาเจอกันได้อย่างไร
เงาศิลป์
เสียงเห่าโฮ่งๆ ดังกังวานมาจากในป่า เป็นเสียงที่ดุกร้าวบอกเหตุบางอย่างว่าเร่งด่วน เจ้าหลาม...แม่หมา เจ้าเสือ...พี่หมารีบหันหลังกระโจนพรวดไปทางเสียงนั้น เจ้าตัวเล็กอีกสามตัววิ่งตามกันไปเป็นพรวน ฉันชะเง้อตามดู เห็นเจ้าด๊อกกี้กำลังตั้งหน้าตั้งตาเห่าบางอย่างราวกับจะเปิดฉากต่อสู้ และเมื่อทุกตัวไปถึงที่เกิดเหตุ เจ้าตัวดีกลับวิ่งมาทางฉัน ในปากมีอะไรคาบอยู่ ฉันจึงเรียกให้หยุด มันทำตามแต่โดยดี พลางคายสิ่งนั้นลงบนพื้นดิน
เงาศิลป์
ค่ำคืนหนึ่ง... เม็ดฝนทิ้งรอยให้แกะรอยเช้าตรู่ ยังไม่ทันเงยหน้าดูท้องฟ้า ฉันรีบก้มหน้าดูพื้นดิน เห็นรูพรุนเล็กๆ ที่ฟ้าทิ้งรอยไว้ให้อย่างมีเงื่อนงำ ไฉนไม่ยอมทำลายซากของฝุ่นผงให้หมดสิ้น ทำแบบนี้ทำไมกัน ไม่รู้หรือว่าฉันปวดร้าวหัวใจ ฝนเอ๋ย จนสาย อาการกระหายใคร่จะให้หยาดฝนริน ยังไม่ยอมจางหายไปจากใจ เทียวเดินเข้าเดินออกใต้ถุนบ้านเงยหน้าดูท้องฟ้า พลางนึกถึงอดีตที่เคยถูกทักถาม ยามที่ทำงานเร่ร่อนตามหมู่บ้าน บ้านแล้วบ้านเล่า ซอกซอนไปเรื่อยๆ ยุคสมัยที่อีสานยังรุ่มรวยไปด้วยถนนสายฝุ่นสีทองแดง คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านย่านป่าลึก มักจะเอ่ยปากถามเป็นคำแรกว่า "ที่บ้านฝนตกบ่หล่า" ตอนนั้นตอบไปเรื่อยๆ…
เงาศิลป์
ไอชื้นของลมฝนที่โชยผ่านผิวมาจากที่ไกลแสนไกล ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือนั่น มันคงเดินทางมาไกลมาก ไกลจนมองไม่เห็นแม้แต่เค้ารางของม่านฝนที่จะมาถึง แต่เพียงแค่นี้ก็ช่วยขับไล่ความร้อนอ้าวให้หนีห่าง พร้อมมอบความหวังใหม่ให้แก่ชีวิต ทั้งคนทั้งสัตว์ทั้งต้นไม้ให้เริงรำได้อีกครั้ง ดูนั่นสิ..สีน้ำตาลจากราวป่ารอบๆ ไร่ เริ่มระบายสีเขียวอ่อนลงไปแทน อีกไม่นานดอกไม้สีเหลือง สีขาว กลิ่นกรุ่นก็จะผลิแย้มกำจายกลิ่นไปทั่วป่า
เงาศิลป์
ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่คละเคล้าก่อตัวกันเป็นโลกและชีวิต มีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ อย่างปกติ..... ลมหนาวพัดกรรโชกไร้ทิศทาง พัดพาเอาควันไฟจากกองฟืนใต้ถุนกระท่อมเล็ดลอดผ่านช่องว่างแผ่นกระดานปูพื้นทำให้รู้สึกแสบตาแสบจมูกอยู่เป็นระยะ
เงาศิลป์
ฉันมีเรื่องราวจะแลกเปลี่ยน ลองฟังดูนะ ตาเก้กับการลงทุน “คนอย่างผม ถ้าทำอะไรก็ต้องทุ่มหมดตัว” ตาเก้พูดเสียงต่ำ สีหน้ายิ้มเหยียดหน่อยๆ บ่งถึงความสาสมใจในชีวิต ขณะย่ำเดินไปบนพื้นดินทรายที่เพิ่งถูกผานไถพลิกพรวนให้กอหญ้าคว่ำหน้าลง แกกำลังจะลงทุนอีกรอบบนผืนดินนี้ ทั้งที่เจ้าหน้าที่ของโรงงานน้ำตาลฟันธงแล้วว่า “ดินเสื่อมสภาพหมดแล้ว”
เงาศิลป์
๑. ยามพลบค่ำ อาณาจักรบ้านไร่อาบแสงจันทร์ผ่องนวล ลมหนาวพัดเคล้าคลอพอให้เหน็บหนาว สลับไออุ่นจากไฟฟืนที่กรุ่นกำจายจนรู้สึกได้ถึงความต่างระหว่างอุ่นกับหนาว ที่ห่มพัน คืนแสงจันทร์จ้าจนแทบมองเห็นใบหน้าคนที่เดินอยู่ไกลๆ กับถนนสายฝุ่นที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่นับสิบสาย ด้วยรอยเท้าคนและล้ออีแต๊ก แต่ละเส้นทางล้วนตั้งต้นมาจากหมู่บ้านรอบนอก พาดผ่านทุ่งนาที่กลายเป็นดินแข็งกระด้างปกคลุมเพียงตอซังข้าวที่รอเวลาถูกเผาทิ้ง ถนนทุกสายมุ่งสู่ป่าชุมชนผืนใหญ่นี้อีกครั้ง หลังจากสายน้ำหลากล้นปิดกั้นการสัญจรในหลายเดือนที่ผ่านมา ฤดูแล้งของพื้นที่แห่งนี้ จึงเป็นฤดูกาลที่คึกคักพลุ่งพล่านไปด้วยกลิ่นอายของการเข่นฆ่า