Skip to main content
คุณเคยเดินทางไปในทิศทางที่ไม่คุ้นเคยบ่อยไหม ขณะนั้นหัวใจของคุณเต้นเป็นจังหวะอะไร มันระทึกตื่นเต้นโครมครามปานช้างป่าตกมันหรือเปล่า หรือว่าเรียบเรื่อยราวห่านหงส์กระดิกปลายเท้าแผ่วใต้สายน้ำนิ่ง แล้วเคลื่อนร่างไปข้างหน้าอย่างละมุน แม้แต่ผิวน้ำก็แทบจะไม่กระจาย


ฉันกำลังอยู่ในอารมณ์สองอย่างนั้น คอยจัดความสัมพันธ์ของมันราวกับกำลังกำกับการแสดงละครของเด็กน้อยและคนชราให้เท่าทันท่วงทำนองกัน

 

ไม่สนุกหรอก ฉันเบื่อนิสัยนี้ของตัวเองจะตายไป แต่ฉันก็ยังตามใจมันอยู่ดี พออายุมากขึ้น ได้แต่แอบครางว่าเมื่อไหร่หนอ เด็กน้อยจอมบ้าดีเดือดจะโตเสียที ฉันจะได้นอนพักผ่อนบนแคร่ไม้ไผ่ใต้เงาไม้ใหญ่อย่างไม่ทุรนทุรายอยากเดินทางอีกต่อไป

 

มนุษย์จำพวกไม่รู้จักหยุดนิ่ง ไม่รู้ประกอบขึ้นด้วยธาตุชนิดไหนจึงได้สั่นไหวทุกครั้งที่มีคนเล่าเรื่องการเดินทาง การผจญภัย แต่การมาป่าหนนี้ ไม่ได้เกิดจากปากคำของใคร ไม่มีใครที่เป็นคนรู้จักมาบอกว่าป่าที่นี่ดูดีที่สุด หรือป่าที่นี่มีความพิเศษสุดที่ควรจะได้เดินทางมา แต่ฉันก็ยังสร้างจินตนาการและดั้นด้นมา

 

ฉันหลงรักป่า รักมานาน รักมากกว่าทะเลหลายร้อยเท่า มีความสามารถในการซุ่มนั่งนิ่งๆ ในซุ้มไม้ทึมทึบได้เป็นวันๆ ตอนเป็นเด็กน้อยยังแอบมุดเข้าไปนอนหลับใต้กอไผ่ข้างบ้าน ที่มีหนามรกๆ เป็นชั่วโมง เพียงเพราะชอบฟังเสียงบ่นออดแอดของกอไผ่ และทุกวันนี้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งหมด ฉันแทบจะละลายกลายเป็นป่า เมื่อเดินเข้าไปในป่า

 

สี่ทุ่มตรง รถคันใหญ่ก็ตะบึงมาบนเส้นทางสายหลักที่วิ่งสู่เมืองหลวง ฉันเห็นภูเขาหินปูนลูกย่อมๆ แหว่งหายไปเป็นซีกๆ ตลอดรายทาง นั่นคือการทำปูนซีเมนต์อุตสาหกรรมหลักของเมือง กระทั่งเข้าสู่เขตอีโปห์ ภูเขาก็ยังแหว่งอยู่ แต่เปลี่ยนเป็นเหมืองดีบุก อย่างไรก็ตามนับว่ามาเลเซียมีความโชคดี เพราะมีปริมาณน้ำฝนมาก ต้นไม้ใกล้ๆภูเขาที่ถูกทลายลง มองเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆวิ่งผ่านตาไปอย่างรวดเร็วนั้น หลายส่วนยังเป็นไม้ป่าธรรมชาติ

 

รถเมล์คันนี้ของมาเลเซียมีเบาะนั่งกว้างมาก แต่ด้วยตัวถังทำจากไม้แม้สภาพรถยังใหม่ แต่ด้วยเทคนิคการสร้างหรืออย่างไรไม่แจ้งชัด ตัวรถจึงครวญครางออดแอด เอี๊ยดอ๊าดไปตลอดทาง โดยเฉพาะยามที่รถตีโค้งอย่างชวนหวาดเสียว แต่ยังไงฉันก็ชอบรถเมล์ของมาเลเซีย ที่มีความสะอาดเกินมาตรฐาน ชอบตรงที่ไม่มีห้องน้ำห้องส้วมบนรถ เรื่องนี้ปิ๋นเป็นคนบอก ฉันจึงได้สังเกต อาจจะเป็นเพราะหลักศาสนาที่เน้นความสะอาด การแวะจอดใช้บริการห้องน้ำสาธารณะของรัฐบาล จึงมีเป็นระยะๆ หาง่าย ทุกที่จะมีอาหารทั้งหนักทั้งเบาท้องให้ซื้อหา และของอร่อยสำหรับฉันคงไม่พ้นไปจากกาแฟแบบโบราณบ้านเรา

 

ทุกๆจุดจอดรถ มีห้องละหมาด ที่สะอาดและสวยงามไว้ให้ประชาชนของเขาได้ปฏิบัติศาสนกิจตลอดทาง นี่คือความสำคัญ

 

ราวเที่ยงคืน รถมาจอดพักตรงที่ใดที่หนึ่งให้เราเข้าห้องน้ำ ฉันจึงเดินเตร่สำราจสถานที่ พร้อมหนีบถ้วยกาแฟร้อนๆราคาหนึ่งเหรียญ (ราวๆ เก้าบาทกว่าๆ) ไว้ในมือ สังเกตว่ามีอ่างล้างมือ มีสบู่ให้ใช้ล้างมือหลายที่

 

เมื่อเลือกที่นั่งที่มีหน้าตาแบบร้านกินด่วนบ้านเรา เพื่อซดกาแฟให้อร่อย เห็นเพื่อนร่วมทางที่ไม่น่าเกิน 20 คน ที่นั่งกระจายกันไป ส่วนใหญ่ผู้โดยสารเป็นผู้ชาย มีผู้หญิงอยู่บ้างก็ล้วนแต่มากับครอบครัว

 

หลังการดื่มกาแฟ ฉันกังวลเล็กน้อยกับสภาพร่างกายที่อาจต้องการห้องน้ำแบบไม่คาดคิดเมื่อรถกำลังแล่นอยู่ จึงถามหนุ่มน้อยที่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันว่า รถคันนี้จะต้องจอดให้เข้าห้องน้ำอีกหรือเปล่า เขาพยักหน้าบอกว่า ยังจอดอีกหลายที่ อย่างนี้ค่อยโล่งใจ


อาจเป็นด้วยคำถามของฉัน แต่เพราะฉันไม่ได้ใช้ภาษาของเขามากกว่า เขาจึงเริ่มสัมภาษณ์ฉัน

"มาจากที่ไหนเหรอครับ"

"มาจากเมืองไทยค่ะ"

"แล้วคุณจะไปไหน"

"ไปทามัน นาการ่า"

"อ้อ บ้านผมอยู่กัวลา ทาหัน ผมกำลังจะกลับบ้าน" เขายิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นอาการตื่นเต้นของฉัน เพราะฉันแค่รู้มาว่าเมืองกัวลา ทาหันนี้ เป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติ (ทามัน) นาการ่า แต่ไม่รู้หรอกว่าจะเล็กจะใหญ่ จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ฉันไม่ได้ค้นหาข้อมูล ตั้งใจว่าจะเสี่ยงดวงไปเจอความจริงในวันพรุ่งนี้ เพื่อความตื่นเต้น (และก็เป็นจริงตามนั้น ฉันได้เต้นจริงๆ เต้นแบบอยากกลับบ้านฉับพลันโดยไม่ต้องค้างคืนในป่า เพราะความโมโหหิว โมโหเหนื่อยกับการหาที่พักของเมืองนั้น)


"คุณสองคนเป็นเพื่อนกัน หรือเป็นพี่น้อง" ฉันหัวเราะขำ หน้าตาของฉันกับปิ๋นไม่ได้ละม้ายคล้ายคลึงกันสักนิด เขายังหาข้อสงสัยมาถามได้ เมื่อฉันบอกว่าเราเป็นเพื่อนกัน เขาก็ถามต่อทันทีว่า

"คุณแต่งงานหรือยัง" โอ้ว.....ฉันอุทานแล้วหัวเราะลั่น

พินิจหนุ่มน้อยตรงหน้า เขายังอ่อนเยาว์ จนอาจนับว่าเป็นลูกชายของฉันก็ได้ แต่เขาก็ช่างกล้าหาญเหลือเกิน กล้าที่จะใช้คำถามตอบสนองความใคร่รู้ของตัวเอง ตามธรรมเนียมผู้ชายเอเชียได้อย่างฉับพลัน นี่เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ที่ต้องขอบคุณผู้ชายไทย ที่เลิกให้ความสำคัญเรื่องทำนองนี้ไปแล้ว เมื่อพบเจอผู้หญิงคนเดียว หรืออาจไม่กี่คน ที่เดินทางไกลโดยไม่มีผู้ชายร่วมทาง

"ช่างเป็นคำถามที่ยอดเยี่ยมจริงๆ" ฉันพูดพลางหัวเราะไปพลาง เขาจะเข้าใจอารมณ์เถื่อนของฉันไหมนี่ ดีว่าเขาเป็นแค่หนุ่มน้อย ฉันจึงยินดีที่จะตอบ

"ยังไม่แต่งงาน และไม่คิดว่าการแต่งงานเป็นสิ่งที่จำเป็น" ตอบไปแบบนี้เพื่อดูปฏิกริยา เขานิ่งเงียบไป ฉันจึงเป็นฝ่ายรุกบ้าง

"แล้วคุณล่ะ คิดยังไงกับการแต่งงาน"

"ผมชอบการมีครอบครัว ผมชอบการแต่งงาน"

"คุณแต่งงานแล้วหรือ" เกมนี้เป็นทีของฉันบ้างล่ะ เขามีท่าขัดเขิน

"ยังครับ ผมยังเรียนอยู่"


เขาเรียนคณะวิทยาศาสตร์ทางทะเล ปีที่ 2 ที่มหาวิทยาลัยเปอร์ลิส เหตุที่ต้องมาเรียนเสียไกล เพราะที่บ้านเกิดไม่มีทะเล เมืองของเขาเป็นเมืองภูเขา

"ถ้าเรียนจบผมจะแต่งงานทันที"

ฉันน่ะชื่นชมคนที่มุ่งมั่นกับความรักแบบนี้อยู่แล้ว

"แสดงว่ามีแฟนแล้ว" เขาหลบตาก้มหน้าจัดการกับจานข้าวที่ใช้มือเปิบของตน

"ครับ มีแล้ว" ฉันเห็นความน่ารักในบุคลิกของเขา ท่าทีอ่อนโยน หน้าตาหล่อเหลา ใบหน้าเรียวยาว ผิวขาว ร่างบางๆ ไม่สูงมากนัก แบบนักศึกษาผู้คงแก่เรียน คงมีสาวหมายตาไม่น้อย

"เรียนที่เดียวกันเหรอ" เขาส่ายหน้า

"เธอเป็นผู้หญิงในหมู่บ้านเดียวกันกับผม เธอไม่ได้เรียนต่อในมหาวิทยาลัย" คำตอบนี้ทำเอาฉันอึ้งไปอึดใจ

"แสดงว่าเธอต้องเป็นคนพิเศษมาก คุณจึงรักเธอขนาดนั้น"

"แน่นอน เธอนิสัยดี สวยด้วย"

"ขอให้คุณสมหวังในความรักนะคะ" เขาก้มหัวขอบคุณ ยิ้มเขินยังไม่จางไปจากใบหน้า

 

ฉันกำลังเดินทางไปในความมัวซัวของจินตนาการ ไม่รู้ว่าอุปสรรคเล็กใหญ่จะดักรออยู่ตรงไหน หลงคิดว่านี่คือความกล้าหาญ แต่ค่ำคืนนี้ บนรถโดยสารคันเดียวกัน ยังมีคนกล้าหาญยิ่งกว่า

 

เพราะเส้นทางของความรัก ต้องใช้ความกล้าหาญอันยิ่งยวด ซึ่งฉันไม่เคยมี

 

 

 

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
  ภูเขาหัวโล้นลูกนี้ อยู่ในเทือกเดียวกับภูหลวง จังหวัดเลย "ถามจริงๆ เถอะ คนแบบเราๆ นี่ ถ้าไปเป็นคนทำสวนจะหาเลี้ยงตัวเองได้จริงหรือ"เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งถามฉัน ในวันที่ฉันยังไม่ได้มีอาชีพทำสวน คงเป็นคำถามเพื่อนำไปสู่การสนทนาเชิงวิเคราะห์ว่าความคิดที่จะพึ่งตนเองจากอาชีพนี้เป็นไปได้จริงหรือ และฉันจำได้ว่าคำตอบของตัวเอง คือ"ไม่ได้" "ไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าการพึ่งตนเองหมายถึงการตัดเส้นเลือดทางการเงินจากอาชีพอื่นโดยสิ้นเชิง สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นปลูกต้นไม้ในปีแรกๆ และไม่มีเงินเก็บ หรือไม่มีคนสนับสนุนทางการเงิน คงไปไม่รอด"ฉันตอบจากประสบการณ์ที่เห็นปัญญาชนหลายคนอยากจะเป็นชาวไร่…
เงาศิลป์
ยามค่ำคืนที่เหน็บหนาวออกปานนี้ หนาวจนต้องสวมเสื้อกันหนาวหนาๆ ถึงสองชั้น หวังทนทานต่อความแหลมคมของไอหนาวที่แทรกซอนเข้ามาบาดเนื้อ เสื้อผ้าอาจปกป้องร่างกายไว้ได้บ้าง แต่บางความหนาวที่แทรกซึมเข้ามาได้กลับกระพือความร้อนรุ่มภายในให้ลุกโชน  ภาพถ่ายสุดท้ายของเจ้าเก๋า ในวันก่อนจะจากไปเพียงไม่กี่วัน สิ้นสุดเสียทีอีกหนึ่งชีวิต ไม่ต้องทรมานอีกต่อไป เพราะพิษของสารเคมีที่เข้าไปทำลายตับไตไส้พุงจนหมดสิ้น ในเวลาสี่วัน วันสุดท้ายของมันกับความรู้สึกห่วงใยของฉัน มันคงรับรู้ได้ นาทีสุดท้าย มันจึงสะท้อนลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงทิ้งตัวลงบนตักฉัน แล้วจากไปนิรันดร์
เงาศิลป์
พวกมันพากันเลื้อยไปบนผิวดิน ในสภาวะอากาศอุ่นๆ คล้ายทุรนทุรายรีบร้อนที่จะไปที่ไหนสักที่ แต่กลับหลงทางวกวนจนขาดใจตายไปในที่สุด เพียงชั่วเวลาไม่ถึงชั่วโมงยามนี้ ไอแดดไม่ผ่าวร้อนอีกต่อไป ละไอหมอกที่ห่อหุ้มรอบๆตัว สร้างความมัวซัวทั้งแนวป่า มันจึงปกป้องผิวดินให้เย็นฉ่ำ และเก็บความชุ่มชื้นไว้ด้วยหยาดน้ำค้าง แต่ทำไมไส้เดือนผู้รักดินจึงคิดทิ้งถิ่นอาศัย ดิ้นรนไปสู่ความตายเช่นนี้ด้วยเล่าสำหรับฉัน รอยต่อของฤดูฝนชนฤดูหนาว ธรรมชาติมีของกำนัลที่น่ารักมามอบให้มากมาย โดยเฉพาะแม่นกทั้งหลายที่มีลูกน้อยและสั่งสอนลูกๆให้หัดบิน มีมาให้เห็นใกล้ๆอยู่บ่อยครั้ง เพราะนี่คือช่วงเวลาที่ดี สำหรับการหาอาหาร…
เงาศิลป์
ละไอหมอกลอยเรี่ยอาบยอดไม้ ยามแสงเช้าสาดส่องทั่วลานไร่ รอบๆ กายคล้ายความฝัน นานนับปีแล้ว ที่ฉันไม่ได้เดินทางไกล ฤดูกาลเช่นนี้ มักกระซิบเรียกหาให้โลดแล่นออกไปตามใจตน แต่คราวนี้งานหนักในไร่ยังคงเร่งเร้าอยู่ตรงหน้า ยิ่งยามต้นไม้โบกไหว สบัดเรียวใบชุ่มเขียวให้คลายสี แล้วปล่อยให้ลมแล้งแต้มสีเหลืองจางๆ ลงแทน ฉันยิ่งต้องเร่งทำงาน หยิบสมุดบันทึกออกมาอ่านอย่างไม่ตั้งใจ กลับพบบางอย่างที่ชวนขำ ฤดูหนาวของปีนั้น ฉันได้เร่ร่อนท่องเที่ยวไปท่ามกลางความขัดแย้งที่บานปลายไปจนถึงขั้นสู้รบฆ่าฟันกันรายวัน และได้เห็นภาพการประท้วงที่วุ่นวายบนท้องถนน เกือบทั่วทั้งประเทศ บนรถไฟ จากเมืองแคนดี้…
เงาศิลป์
“ทำไมพี่ไม่ใช้ตัวพ่วงท้ายที่ไถพรวนไปพร้อมๆ กับตัดหญ้าล่ะครับ ดินจะได้ไม่แข็ง” เป็นคำแนะนำของยุทธ ซึ่งแวะมาที่ไร่แต่เช้า เพื่อขอยืมพลั่วไปตักปุ๋ยขี้ไก่ ไว้หยอดใส่หลุมแตงโมที่เถาว์เริ่มเลื้อยยาว ขณะที่ฉันขับรถแทรกเตอร์ตัดหญ้าในสวน เจตนารมณ์ของการทำสวนที่คิดว่าจะเบียดเบียนชีวิตอื่นให้น้อยที่สุด และเพื่อประโยชน์ตนอันสูงสุด เท่าที่จะทำได้ ฉันจึงตั้งใจว่าจะไม่ไถพรวน แม้บางทฤษฎีของบางนักวิชาการจะบอกว่า ดินทรายต้องไถพรวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายฤดูฝน เพราะการไถพรวนพลิกหน้าดิน จะช่วยลดการสูญเสียน้ำใต้ดินจากการดูดซึมของต้นหญ้า ใช่สิ ในภาคอีสานฉันเห็นการไถพรวนในเกือบทุกแปลงการเกษตร…
เงาศิลป์
นานๆ จึงจะมีเพื่อนบ้านแวะมาเยี่ยม ยิ่งยามนี้ยิ่งยากที่จะได้พบเจอคนผ่านทาง เพราะเส้นทางรถอีแต๊กถูกกระแสน้ำเชี่ยวลากพาดินทรายพัดหายไปทางลำธารข้างล่างโน่น จนกลายเป็นร่องน้ำลึกมีรากไม้ขนาดเล็กใหญ่พาดพันกันยุ่งเหยิง ส่วนพื้นที่ในไร่ ต้นไม้ยังเล็กนัก ร่องน้ำเล็กใหญ่เกิดขึ้นมากมาย แต่ที่ดินไม่พังทลายลงไปมาก เพราะผิวดินยังมีรากกอหญ้าสูงยึดดึงเอาไว้ ฉันหวังว่าปีต่อๆไป ผิวดินจะปลอดภัยมากกว่านี้ ถนนทางทิศตะวันออกของไร่กลายเป็นลำธาร จักรยานหรือมอเตอร์ไซค์เป็นสิ่งเกินจำเป็นไปในทันที ไม่ต้องพูดถึงรถยนต์ที่ฉันไม่มีใช้ รถอีแต๊กที่เคยผ่านเส้นทางนี้ทุกเช้า…
เงาศิลป์
ทุกชีวิตย่อมมีศักยภาพในการใช้ชีวิต หากยอมรับว่า “เกมการล่า” ว่าเป็นวิถีทางที่มีอยู่จริง และเราสามารถยอมรับความเจ็บปวดได้เมื่อตนเองถูกล่า ชีวิตฉันมักจะเป็นดั่งนี้… สิบกว่าปีที่แล้ว ณ ริมธาร “ห้วยแก้ว” เชียงใหม่ สายฝนที่ตกลงมาอย่างหน่วงหนักตลอดคืน ทำให้หลังคากระท่อมที่มุงด้วยใบหญ้าคา ทรุดฮวบลงมากองทับตัวฉันและกองหนังสือของฉันจนเปียกปอน ฉันได้แต่หัวเราะอย่างขำขื่น สาสมใจ วันนี้...ในหุบเขากว้าง บนแผ่นดินที่ราบสูง หลังจากฟ้าฝนกระหน่ำสายติดต่อกันหลายวันหลายคืน ฟ้าจึงบรรณาการแสงแดดอันอุ่นเอื้อมาให้ ต้นไม้ของฉันจึงได้หายใจบ้าง ต้นไม้ใหญ่ อาจพอมีเวลาต่อรอง…
เงาศิลป์
ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นตื่นตระหนกเบิกโพลงอยู่ในความมืดสลัวของกระสอบปุ๋ย ทันทีที่ฉันเปิดปากถุงพวกมันต่างเงยหน้าจ้องมองมาที่ฉัน ดวงตาอีกสี่คู่เป็นสีน้ำตาลกลมกลืนกับความมืดจึงไม่สะดุดใจเท่าดวงตาคู่ที่เป็นสีน้ำทะเลกระจ่างจ้าคู่นั้น“โถ ลูกหนอลูก” ฉันร้องครางอยู่ในใจ นั่นคือเหตุการณ์ในเวลาเช้าตรู่ ที่ฟ้าฝนกระหน่ำสายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กาลเช่นนี้ได้ลักพาความสดชื่นแห่งวันใหม่ไปซุกซ่อนไว้ในม่านเมฆฝนหนาทึบริมฟ้า ราวกับมันเป็นจำเลยที่ต้องโทษหนัก และเช่นกัน ฉันผู้เคยเสพสุขจึงต้องร่วมรับโทษทัณฑ์นั้นไปด้วย เพราะเวลาที่อึมครึมในแต่ละนาทีดูเหมือนเนิ่นช้าและหน่วงทับอารมณ์มากขึ้นและมากขึ้นทุกขณะ  …
เงาศิลป์
ฉันสำเหนียกถึงแรงสะเทือนที่ดิ้นสะท้านอยู่ภายในอก ยามที่เผลอใจไปยึดมั่นกับเรื่องราวความขัดแย้งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราขณะนี้ ทั้งที่ฉันตั้งใจวางตัวเองไว้ตรงชายขอบของสังคม... ไม่ได้ตั้งใจปิดหูปิดตาตัวเอง แต่เพราะการสื่อสารทั้งหลายที่ไม่สะดวก ฉันจึงหลุดออกมานอกวงสนทนาของความขัดแย้งเกลียดชัง เพราะ...ถูกและผิด ใช่และไม่ใช่เป็นเรื่องซับซ้อน วันวาน...สภาพชีวิตของฉันเป็นเสมือนวัชพืชของสังคมวันนี้...ฉันเป็นผู้แผ้วถางวัชพืชตัวจริงอย่างสำนึกรู้ผิดบาป แม้จะเลือกใช้เครื่องมือที่ปลอดภัยที่สุดแล้วต่อชีวิตเล็กๆ แต่กระนั้นฉันก็ยังทำลายชีวิตบางชีวิตอยู่ดี
เงาศิลป์
“เมื่อวานนี้คนในหมู่บ้านถูกหวยกันหลายคน”ยายแดงเริ่มเรื่อง ขณะที่นั่งจุมปุ๊กบนพื้นหญ้าหน้าบ้าน พลางเอาเสียมปากแบนแซะหญ้าเล่น ใบหน้ายังแดงก่ำ หยาดเหงื่อยังเปียกชื้นที่ไรผม เพราะงานดายหญ้า“แล้วยายแดงไม่ถูกกะเขาด้วยเหรอ” ฉันนั่งบนที่พักเชิงบันได หลังจากจัดเรียงกล้าไม้ใกล้โอ่งน้ำเสร็จไปแล้วหนึ่งชุด“ไม่ได้ซื้อกับเขาหรอก ไม่ค่อยได้ซื้อหวย” นับว่าเป็นบุคคลที่น่ายกย่อง ฉันชื่นชมในใจ“แล้วชาวบ้านได้เลขมาจากไหนกันละยายแดง”“เขาว่าเป็นเลขผีบอก ผีจากวัดป่าบอกผ่านเจ้าอาวาสอีกที”“อืม....ไม่เลวแฮะ แสดงว่าผีมีจริง”....ฉันนึกถึงกุศโลบายของตัวเอง ที่บอกกับใครๆว่าทุกวันนี้อาศัยอยู่กับ “ผีโนนบ้านคึม…
เงาศิลป์
นั่งบนตอไม้เล็กๆ หลังพิงโอ่งน้ำขนาดเท่าช้างพังตั้งท้อง ในปากกำลังเคี้ยวมะม่วงแก้วที่สุกพอห่ามๆ รสชาดกำลังดีมีความเปรี้ยวนิดๆ ทั้ง “เจ้าเสือ” หมาหนุ่มคู่บารมี ยังนอนหมอบราบคาบแก้ว ทำท่าขอแบ่งกินอยู่ตรงเท้า ดูสิ..ฉันใช้ชีวิตราวกับพระราชาในเทพนิยาย  เพราะเบื้องหน้าไกลโพ้นโน่น ตรงขอบฟ้าเหนือดงไม้นั่น คือการแสดงพลังพิเศษของเหล่าสามัญมนุษย์ เพื่อสื่อสารกับเทวดาพญาแถน จนท้องฟ้าสั่นสะเทือน ม่านเมฆเคลื่อนอยู่ไปมาเนื่องจากบ้านไร่เป็นที่ๆ ห่างไกลชุมชนทั้งในระยะทาง และด้วยสายตา แต่ฉันก็สามารถมองเห็นที่ตั้งของทุกหมู่บ้านรายรอบได้เป็นอย่างดี ในวันเวลาเช่นนี้ ทุกทิศทางจะมีเสียงดังฟู่ยาวๆ…
เงาศิลป์
มันคงเป็นเรื่องเล่าที่ชวนพิศวง ฉันคงสงสัยว่ามันมีความจริงปนอยู่สักเท่าใด หากไม่ได้ถูกบันทึกไว้ด้วยมือของฉันเองภาพในอดีตเมื่อยี่สิบปีที่แล้วฉันเห็นตัวเองเกาะแน่นอยู่บนอานรถมอเตอร์ไซค์ที่ไต่ไปตามคันนาเล็กๆ คนขับชำนาญทางเป็นอย่างดี เพราะไม่เช่นนั้นอาจได้ลงไปนอนแช่น้ำในผืนนากันทั้งคู่“พี่หวาด” เป็นหมอยาพื้นบ้านและเป็นเพื่อนร่วมงานของฉัน แกทำหน้าที่เป็นสารถีรวมทั้งเป็นเนวิเกเตอร์ในการไปพบเจอกับแหล่งข้อมูล และนั่นคือที่มาของเรื่องราวที่เหลือเชื่อ ที่หลงเหลือไว้ให้ฉันหยิบจับขึ้นมาอ่านซ้ำอย่างประหลาดใจไม่น่าเชื่อว่าฉันจะเคยพบเจอกับบุคคลที่มีบุคลิกพิเศษมากมาย ปัจจุบันเขาเหล่านั้นลาจากโลกนี้ไปแล้ว…