Skip to main content

ฉันสังเกตดูรอบๆ บ้านหลังน้อยของลุงลี แทบไม่มีพืชผักที่พอจะเก็บกินได้ สงสัยอยู่ครามครันว่า ทำไมไม่ปลูก ในเมื่อแกเป็นคนเก่าแก่และเป็นคนเดียวที่อยู่ในป่านี้มานานถึง 20 กว่าปี

ตอนที่ฉันได้หน่อกล้วยหอมพันธุ์ดีมาจากหนองคาย แกก็ยังอุตส่าห์เอาปุ๋ยขี้ควายมาให้ตั้งสามกระสอบ แถมยังสอนวิธีปลูกให้อีกด้วย เมื่อเห็นฉันลงมือขุดหลุมห่างๆ เพราะคิดว่าในอนาคตมันต้องแตกหน่อมาชนกันเอง แกกลับบอกว่าให้ชิดๆกันหน่อยจะดีกว่า เป็นแรงดึงดูดให้กล้วยโตเร็วขึ้น ฉันก็เอาตามนั้น ก้นหลุมกว้างลึกรองด้วยปุ๋ยมูลสัตว์สลับหญ้าแห้ง ดูเป็นวิชาการมากๆ ตามคำแนะนำของแก

1

ถามแกว่าจะเอาไปปลูกเองสักต้นไหม แกบอกว่าให้มันแตกหน่อจากกอที่นี่ก่อนแล้วค่อยเอาไปปลูก ซึ่งอีกนานเลยล่ะลุง  แกยืนยันตามนั้น และยังให้กำลังใจอีกว่าปลูกกล้วยรอบๆบ้านนี่แหละดีแล้ว โตเร็วชื่นใจดี  จริงของแก ทุกวันนี้ฉันรู้สึกดีทุกครั้งที่เห็นกล้วยแทงยอดใบอ่อนๆให้ชม

แต่ที่ชื่นใจกว่านั้น คือถั่วฝักยาว ชนิดที่เรียกว่า “ถั่วปี” เป็นถั่วที่แม่มาหว่านไว้ตามพื้นตั้งแต่ฤดูฝนที่แล้ว ได้งอกงามเลื้อยเถาว์ยาวเหยียด ออกฝักดกดื่นให้เก็บกิน จนได้แบ่งปันไปถึงบ้านลุงลี

2

โครงการแลกเปลี่ยนอาหารของเราพัฒนาไปไกลมากขึ้น ป้าแดงเมียลุงลีถามว่ากินข้าวเหนียวเป็นไหม แน่นอนอยู่แล้วของชอบ ฉันว่า

“งั้นจะแบ่งให้นะ รอเดี๋ยว” แกทำท่าจะกลับเข้าไปในกระท่อม ฉันต้องบอกว่า กินเป็น แต่นึ่งเองไม่เป็น

ป้าแดงหันมาอธิบายวิธีนึ่งข้าวเหนียว ซึ่งฉันพอจะรู้ แต่ที่บอกไปอย่างนั้นเพราะไม่อยากรบกวน รู้ว่าข้าว ปลา อาหารทั้งหลายเป็นสิ่งที่ครอบครัวนี้ต้องใช้อย่างประหยัด

อีกวันหนึ่ง ป้าจัน เมียลุงสำรอง เดินเล่นๆมาที่กระท่อมของฉัน จึงหยิบมะขามหวานที่ได้มาจากไร่ของเพื่อนที่เมืองเลย แบ่งให้แกเพื่อเอาไปฝากลุงสำรองให้ชิมด้วย เนื่องด้วยครั้งที่ฉันยังไม่ได้สร้างที่พักเป็นเรื่องเป็นราว ได้แวะไปพักอาศัยเถียงนาของแกหลบแดดหลบฝน นับว่าเป็นคนมีบุญคุณต่อกันอยู่

“แล้วจะเอาข้าวใหม่มาให้เน้อ” เมียลุงสำรองว่าอย่างนั้น ก่อนจะหันหลังเดินกลับไป ฉันบอกว่าไม่ต้องหรอก อีกไม่กี่วันก็ออกไปข้างนอกแล้วล่ะ

อีกราย เมื่อวันก่อนโน้น ที่ตลาดในตัวอำเภอ เมียเถ้าแก่ใหญ่ร้านขายเครื่องมือการเกษตร คุ้นเคยกันพอประมาณ คะยั้นคะยอให้แบกข้าวสารข้าวจ้าวกลับมาที่ไร่ เพราะที่บ้านเขาปลูกข้าวเพื่อขายกันเป็นอาชีพรอง ฉันปฏิเสธอีกนั่นแหละเพราะคิดว่าคงจะอยู่ในไร่ไม่นาน

แต่ในที่สุด ข้าวสารสองกระสอบก็มาถึงบ้านฉันจนได้ กระสอบหนึ่งเป็นข้าวจ้าว อีกกระสอบเป็นข้าวเหนียว โดยลุงลีเป็นผู้พามาให้ แกใส่รถอีแต๊ก ส่งเสียงแต๊กๆๆๆ  เห็นมาแต่ไกลๆ เพราะกว่าจะเลี้ยวเข้ามาจากปากทางเข้าไร่ มาถึงที่บ้านก็หลายร้อยเมตร

ฉันชอบดูเวลาที่ลุงแกขับอีแต๊ก หรือใครๆก็ตามที่ห้ออีแต๊กแบบสุดฤทธิ์ ความเร็วพอๆกับสุนัขไล่กวดแย้  ฉันนึกถึงคนยิบซีที่ขับเกวียนกลางทุ่งกว้างอย่างที่เห็นในหนัง  และในบริเวณนี้ มีแต่อีแต๊กที่สัญจรเป็นพาหนะหลัก ขาดก็แต่ม้าลากพา บางทีอาจไม่นาน โลกเราอาจต้องพึ่งพาแรงงานสัตว์อีกหน เพราะน้ำมันขาดแคลน...นอกเรื่องมาไกล

สรุปว่า ฉันมีข้าวใหม่กินหอมชื่นใจ แต่ไม่มีปลามันๆ เพราะว่าที่นี่ไม่มีแหล่งน้ำสำคัญ และที่มีอยู่คือฝายน้ำล้นขนาดเล็ก ที่ปีนี้มีกฏใหม่เพิ่มขึ้น คือห้ามจับสัตว์น้ำทุกชนิด

ฉันคิดเล่นๆ ตามประสาคนจิตอยู่ไม่สุขว่า เป็นเพราะเราต่างมีความลำบากกันอยู่หรือเปล่า จึงยังมีน้ำใจต่อกัน ถ้าพวกเราละแวกไร่นี้ มีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายกว่านี้ ต่างคนต่างซื้อหาอะไรก็ได้ เราจะยังมีอะไรแบ่งปันกันหนอ เพราะการจะมีเงินได้ ต้องมาจากการขาย การขายและการซื้อ เป็นการแลกเปลี่ยนที่ลดทอนรสชาดิของความสุขไปเยอะเลย หรือบางครั้ง ไม่เหลือความสุขอีกเลย เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าตนเองถูกเอารัดเอาเปรียบ

แต่ถ้าต้องหาที่อยู่ที่ลำบากลำบน เพื่อค้นหาการแบ่งปัน ฉันว่าในโลกร้อนๆ ของทุกวันนี้ คงหายากเต็มทน เพราะไม่นานความสะดวกสบายทั้งหลายจะเข้าไปถึงอย่างแน่นอน เพราะคนเรามักจะคิดว่า มันคือคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า

ฉันอาจจะมองสุดโต่ง เพราะบังเอิญได้มาอยู่ในที่ๆ ยังมีการแบ่งปันหลงเหลืออยู่อย่างไร้จริตจะก้านมารยาใดๆ

ทุกวันศุกร์ ฉันมักจะไปหาเสบียงมาเพิ่มเติมจากตลาดนัดในหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปราวๆ 4 กิโลเมตร

ศุกร์นี้ ฉันชะลอเจ้าสองล้อเพื่อนยาก หยุดพักที่เถียงนาลุงลี เพื่อแวะเอาปลาตะเพียนตัวเล็กๆ ที่แม่ค้าบอกว่าจับมาจากลำน้ำเซิน แบ่งให้ป้าแดงไว้แกงกิน

อย่างน้อยข้าวใหม่กับปลา (ที่น่าจะ) มัน ก็ได้เจอกันแล้ว นะป้านะ

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
ตอนที่ 3 กว่าจะรู้ว่าเป็นมะเร็ง "แม่ ป่านเบื่อกินยาจังเลย"ลูกบ่นเบาๆ ขณะที่หยิบยาออกมากินตามปกติทุกวันอย่างมีวินัย เป็นเวลาสามปีกว่าแล้ว ที่ลูกต้องเข้าออกโรงพยาบาลแล้วได้ยามากินระงับอาการปวดท้อง โดยที่ไม่มีใครเฉลียวใจเรื่องอื่น
เงาศิลป์
ก้อนเมฆหนาสีเทาทึมทึบ ขยับเคลื่อนช้าๆมาจากทิศตะวันตก จากโค้งฟ้าไกลๆค่อยๆเคลื่อนผ่านศรีษะฉันไปอย่างไม่เร่งร้อน คล้ายลังเลว่าจะแวะพักสักครู่ดีหรือไม่ คงไม่อาจรีรอได้ จึงบ่ายคล้อยต่อไปยังทิศตรงข้าม ทิ้งไอฉ่ำระเรี่ยพื้นพอให้คนรอคอยใจหายเล่น ชีวิตบางชีวิตก็เช่นกัน ..............
เงาศิลป์
    กองฟอนถูกตระเตรียมอย่างรวดเร็วภายในเช้าวันรุ่งขึ้น พิธีศพเป็นไปอย่างเรียบง่าย ท่ามกลางญาติมิตรที่รักใคร่ผูกพัน ตกบ่าย ณ ลานหินริมหน้าผา เปลวเพลิงลุกโชน ลามเลียกองไม้และร่างกายผ่ายผอมนั้นให้หม่นไหม้กลายเป็นผงธุลี พร้อมๆกับน้ำตาที่หยาดลงบนร่องแก้มของใครหลายคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น
เงาศิลป์
ใครที่เคยสูญเสียสิ่งรัก คงจะรู้จักอาการปวดแสบปวดร้อนคล้ายถูกมือยักษ์ควักใจหัวใจออกมาบี้เล่น อย่างไม่ปราณีปราศรัยได้ดียิ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาการเหล่านั้นค่อยๆจางหายสวนทางกับสติปัญญาที่เพิ่มมากขึ้น เราเรียกสิ่งนี้ว่าประสบการณ์ชีวิต แน่ล่ะ ทุกคนจะต้องจ่ายด้วยราคาที่สูงลิบลิ่ว อย่างไม่เต็มใจ เสมอมา   ความทุกข์ จากความพลัดพรากในสิ่งที่รัก จึงเสียดแทงหัวใจเป็นที่สุด
เงาศิลป์
วันจากไปนิรันดร์ของใครบางคน ทำให้ใครหลายคนมาเจอกัน วันเช่นนั้น มักจะมีม่านแห่งความเศร้าคลี่คลุมไปทั่ว บางคนที่ตั้งสติได้ อาจย้อนถามใจตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งฉันจะต้องเป็นผู้ไปบ้าง อะไรจะเกิดขึ้น  อะไรจะเกิดขึ้น หมายถึงอะไรเล่าหมายถึงความเศร้าโศกเสียใจของใครบ้างหรือเปล่าหรือหมายถึง ความชื่นชมยินดีในวิถีแห่งการตาย พร้อมคำว่า....สาธุ
เงาศิลป์
ทุกอณูเนื้อบนผืนโลก เราล้วนต่างเหยียบย่ำซ้ำรอย น่าแปลก ที่ไม่มีใครจำได้ว่าได้ย่ำมาแล้วกี่ครั้งกี่หน ฉันหมายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นซ้ำซากในปัจจุบันชาติ หรืออาจลากพาย้อนกลับไปหลายอสงไขยชาติ มีบ้างไหมที่พบว่าบางพื้นถิ่นเรารู้สึกคุ้นชินเหมือนเคยอยู่ มีบ้างไหม กับบางคนที่รู้สึกคุ้นเคยเหมือนได้ชิดใกล้กันมาก่อน ถ้าไม่แข็งขืนปฏิเสธการมีอยู่ของความทรงจำซ้ำซาก ที่ไม่เคยชัดเจนแต่ทิ้งเค้าลางเอาไว้อย่างแนบเนียน ฉันว่าใครหลายคนที่แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมฉัน และทิ้งคำจำนรรเอาไว้บ้างนั้น เราล้วนเคยเป็นพี่น้องกัน ไม่เช่นนั้นหนทางโคจรจะวกวนให้มาเจอกันได้อย่างไร
เงาศิลป์
เสียงเห่าโฮ่งๆ ดังกังวานมาจากในป่า เป็นเสียงที่ดุกร้าวบอกเหตุบางอย่างว่าเร่งด่วน เจ้าหลาม...แม่หมา เจ้าเสือ...พี่หมารีบหันหลังกระโจนพรวดไปทางเสียงนั้น เจ้าตัวเล็กอีกสามตัววิ่งตามกันไปเป็นพรวน ฉันชะเง้อตามดู เห็นเจ้าด๊อกกี้กำลังตั้งหน้าตั้งตาเห่าบางอย่างราวกับจะเปิดฉากต่อสู้ และเมื่อทุกตัวไปถึงที่เกิดเหตุ เจ้าตัวดีกลับวิ่งมาทางฉัน ในปากมีอะไรคาบอยู่ ฉันจึงเรียกให้หยุด มันทำตามแต่โดยดี พลางคายสิ่งนั้นลงบนพื้นดิน
เงาศิลป์
ค่ำคืนหนึ่ง... เม็ดฝนทิ้งรอยให้แกะรอยเช้าตรู่ ยังไม่ทันเงยหน้าดูท้องฟ้า ฉันรีบก้มหน้าดูพื้นดิน เห็นรูพรุนเล็กๆ ที่ฟ้าทิ้งรอยไว้ให้อย่างมีเงื่อนงำ ไฉนไม่ยอมทำลายซากของฝุ่นผงให้หมดสิ้น ทำแบบนี้ทำไมกัน ไม่รู้หรือว่าฉันปวดร้าวหัวใจ ฝนเอ๋ย จนสาย อาการกระหายใคร่จะให้หยาดฝนริน ยังไม่ยอมจางหายไปจากใจ เทียวเดินเข้าเดินออกใต้ถุนบ้านเงยหน้าดูท้องฟ้า พลางนึกถึงอดีตที่เคยถูกทักถาม ยามที่ทำงานเร่ร่อนตามหมู่บ้าน บ้านแล้วบ้านเล่า ซอกซอนไปเรื่อยๆ ยุคสมัยที่อีสานยังรุ่มรวยไปด้วยถนนสายฝุ่นสีทองแดง คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านย่านป่าลึก มักจะเอ่ยปากถามเป็นคำแรกว่า "ที่บ้านฝนตกบ่หล่า" ตอนนั้นตอบไปเรื่อยๆ…
เงาศิลป์
ไอชื้นของลมฝนที่โชยผ่านผิวมาจากที่ไกลแสนไกล ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือนั่น มันคงเดินทางมาไกลมาก ไกลจนมองไม่เห็นแม้แต่เค้ารางของม่านฝนที่จะมาถึง แต่เพียงแค่นี้ก็ช่วยขับไล่ความร้อนอ้าวให้หนีห่าง พร้อมมอบความหวังใหม่ให้แก่ชีวิต ทั้งคนทั้งสัตว์ทั้งต้นไม้ให้เริงรำได้อีกครั้ง ดูนั่นสิ..สีน้ำตาลจากราวป่ารอบๆ ไร่ เริ่มระบายสีเขียวอ่อนลงไปแทน อีกไม่นานดอกไม้สีเหลือง สีขาว กลิ่นกรุ่นก็จะผลิแย้มกำจายกลิ่นไปทั่วป่า
เงาศิลป์
ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่คละเคล้าก่อตัวกันเป็นโลกและชีวิต มีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ อย่างปกติ..... ลมหนาวพัดกรรโชกไร้ทิศทาง พัดพาเอาควันไฟจากกองฟืนใต้ถุนกระท่อมเล็ดลอดผ่านช่องว่างแผ่นกระดานปูพื้นทำให้รู้สึกแสบตาแสบจมูกอยู่เป็นระยะ
เงาศิลป์
ฉันมีเรื่องราวจะแลกเปลี่ยน ลองฟังดูนะ ตาเก้กับการลงทุน “คนอย่างผม ถ้าทำอะไรก็ต้องทุ่มหมดตัว” ตาเก้พูดเสียงต่ำ สีหน้ายิ้มเหยียดหน่อยๆ บ่งถึงความสาสมใจในชีวิต ขณะย่ำเดินไปบนพื้นดินทรายที่เพิ่งถูกผานไถพลิกพรวนให้กอหญ้าคว่ำหน้าลง แกกำลังจะลงทุนอีกรอบบนผืนดินนี้ ทั้งที่เจ้าหน้าที่ของโรงงานน้ำตาลฟันธงแล้วว่า “ดินเสื่อมสภาพหมดแล้ว”
เงาศิลป์
๑. ยามพลบค่ำ อาณาจักรบ้านไร่อาบแสงจันทร์ผ่องนวล ลมหนาวพัดเคล้าคลอพอให้เหน็บหนาว สลับไออุ่นจากไฟฟืนที่กรุ่นกำจายจนรู้สึกได้ถึงความต่างระหว่างอุ่นกับหนาว ที่ห่มพัน คืนแสงจันทร์จ้าจนแทบมองเห็นใบหน้าคนที่เดินอยู่ไกลๆ กับถนนสายฝุ่นที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่นับสิบสาย ด้วยรอยเท้าคนและล้ออีแต๊ก แต่ละเส้นทางล้วนตั้งต้นมาจากหมู่บ้านรอบนอก พาดผ่านทุ่งนาที่กลายเป็นดินแข็งกระด้างปกคลุมเพียงตอซังข้าวที่รอเวลาถูกเผาทิ้ง ถนนทุกสายมุ่งสู่ป่าชุมชนผืนใหญ่นี้อีกครั้ง หลังจากสายน้ำหลากล้นปิดกั้นการสัญจรในหลายเดือนที่ผ่านมา ฤดูแล้งของพื้นที่แห่งนี้ จึงเป็นฤดูกาลที่คึกคักพลุ่งพล่านไปด้วยกลิ่นอายของการเข่นฆ่า