นั่งบนตอไม้เล็กๆ หลังพิงโอ่งน้ำขนาดเท่าช้างพังตั้งท้อง ในปากกำลังเคี้ยวมะม่วงแก้วที่สุกพอห่ามๆ รสชาดกำลังดีมีความเปรี้ยวนิดๆ ทั้ง “เจ้าเสือ” หมาหนุ่มคู่บารมี ยังนอนหมอบราบคาบแก้ว ทำท่าขอแบ่งกินอยู่ตรงเท้า ดูสิ..ฉันใช้ชีวิตราวกับพระราชาในเทพนิยาย เพราะเบื้องหน้าไกลโพ้นโน่น ตรงขอบฟ้าเหนือดงไม้นั่น คือการแสดงพลังพิเศษของเหล่าสามัญมนุษย์ เพื่อสื่อสารกับเทวดาพญาแถน จนท้องฟ้าสั่นสะเทือน ม่านเมฆเคลื่อนอยู่ไปมา
เนื่องจากบ้านไร่เป็นที่ๆ ห่างไกลชุมชนทั้งในระยะทาง และด้วยสายตา แต่ฉันก็สามารถมองเห็นที่ตั้งของทุกหมู่บ้านรายรอบได้เป็นอย่างดี ในวันเวลาเช่นนี้ ทุกทิศทางจะมีเสียงดังฟู่ยาวๆ บ้างก็ดังเฟี้ยวววววว ยาวเหยียด พร้อมกับมีบางอย่างพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าสูงลิ่ว มีแนวโคจรเป็นเส้นควันสีเทาฟุ้ง ข้างล่างมีเสียงบรรยายประกอบ ทั้งหมดที่เคยได้ยินจะเป็นเสียงของผู้ชายที่ตะโกนผ่านเครื่องขยายเสียง เพื่อประกอบการลุ้นกันสนั่นฟ้า ท้องนาสะดุ้ง ท้องทุ่งสะเทือนกันทีเดียว
วันนี้ฉันตั้งใจนั่งดูบั้งไฟทะยานขึ้นฟ้าอย่างเป็นงานเป็นการ ตั้งใจฟังเสียงโฆษกที่ประกาศบอกว่า บั้งที่เพิ่งถูกส่งขึ้นไปใช้เวลาในการพุ่งไปสู่จุดสูงสุดกี่วินาที นี่ล่ะ...ฉันกำลังเสี่ยงทายอยู่ในใจคนเดียว นั่น..บั้งนี้จะต้องไม่ต่ำกว่า 300 วินาที แต่เอ..ทำไมกรรมการบอกว่า 275 วินาที อีกบั้งกำลังขึ้น ท่าทางไม่ปกติ วิถีโคจรโค้งมากไป รีบดิ่งหัวลงพาเปลวไฟลุกโชนทิ้งดิ่งลงมาด้วยอย่างน่าหวาดเสียว
ไม่ต้องเข้าไปดูใกล้ๆ ฉันก็พอจะนึกภาพออกได้ว่า ขณะที่บั้งไฟพุ่งจู๊ดขึ้นท้องฟ้า เพื่อบูชาพญาแถนให้ส่งฝนลงมาให้นั้น ยังมีชายฉกรรจ์หลายคนถือกล้องส่องทางไกลเล็งไปที่บั้งไฟ เพื่อดูวิถีที่สูงสุดแล้วก็กดเครื่องมือจับเวลาเอาไว้ ให้รู้ว่าบั้งไหนทะยานไปพบพญาแถนได้สูงที่สุด
เบื้องหลังก้อนเมฆนั่น ยากที่จะมองเห็นด้วยสายตาเปล่า แต่เจ้าเครื่องส่องทางไกลมองเห็น เสี้ยววินาทีที่บั้งไฟไปถึงท้องฟ้าสูงแล้วดิ่งหัวกลับลงมา ฉันนึกหวาดเสียวทุกครั้งไป บั้งที่ดิ่งลงมาตรงๆ อาจเจอกับกลุ่มคนกลุ่มนั้น ในขณะที่กำลังเต้นรำทำฟ้อนด้วยความเมามายอย่างลืมระวัง ถ้ามันหล่นตุ๊บลงข้างๆ ตัว เฉียดหัวไปนิดเดียว จะหายเมากันไหมนี่
เมื่อสองวันก่อน เป็นงานบุญบั้งไฟของบ้านถ้ำเข้ หมู่บ้านที่อยู่ใกล้ป่าหินแม่ช้างและบ้านไร่ของฉันมากที่สุด พวกเขาคงคะเนแล้วว่าทิศทางนี้ไม่มีบ้านคน นั่นสิ..ใครจะรู้ว่ามันเพิ่งจะมีบ้านฉันขึ้นมาในปีนี้นี่เอง การตั้งแท่นยิงบั้งไฟจึงหันหัวบั้งให้เอนมาทางนี้นิดๆ (คิดว่าเป็นอย่างนั้น) แต่บังเอิญมีอยู่บั้งหนึ่งที่เอนมากไปหน่อย ขณะที่ฉันกำลังเพลิดเพลินในการหว่านปุ๋ยให้ต้นไม้ เสียงดังฟี่ๆ ยาวๆ พุ่งขึ้นฟ้าแล้วดังยิ่งขึ้นเหมือนกำลังวิ่งมาทางนี้ ฉันเงยหน้าขึ้นดู แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะวิถีโคจรโค้งเหลือเกิน โค้งมาไกลเกือบพันเมตร เปลวไฟยังลุกโชนพุ่งดิ่งลงมาด้วย ฉันวิ่งหลบไปทางหลังบ้าน พระเจ้าช่วย..ฉันเผลอเรียกหาเทวดาผิดองค์ ขออย่าให้หล่นลงบนหลังคาบ้านลูกช้างเลย
ตุ๊บ !! ฟี่ ฟี่ ฟี่
เฉียดชายคาบ้านฉันไปนิดเดียว เสียงหล่นลงกระแทกดิน แล้วเปลวไฟยังลุกโพลงเผาไหม้ตัวเองต่อไปอีกชั่วอึดใจ ฉันยืนดูอยู่ไกลๆ อย่างขยาด กลัวมันจะระเบิดตูมตามมา
จนกระทั่งไฟมอดลง จึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เห็นไม้ไผ่สดเขียวยาวประมาณหนึ่งเมตร ปักอยู่ในหลุม มีควันไฟกรุ่นๆลอยออกมา หลุมขนาดกว้างพอเอาขาแหย่ลงไปได้ลึกถึงเข่า อานุภาพขนาดนี้ หากปักหัวลงบนแผ่นสังกะสีหลังคาบ้านคงทะลุมาถึงพื้นไม้
หากมันเกิดขึ้นจริงๆ ฉันคงยืนตาค้าง หรือไม่ก็คงเป็นบ้าร้องโวยวายลั่นป่า หาคนมาช่วยดับไฟ จะเรียกหาเทวดาพญาแถนมาช่วยหรือก็คงยาก เพราะท่านติดภาระกิจการทำน้ำฝนเสียแล้ว
วันนี้ ฉันจึงนั่งลุ้นบั้งไฟบ้านดงน้อยอย่างสบายใจ แม้บั้งไฟจะหันหัวมาทางนี้ก็ตาม แต่เชื่อว่ามันจะมาไม่ถึงที่นี่ เพราะอยู่ห่างออกไปราวๆ สองกิโลเมตร
แต่ความหวั่นใจและความคิดแบบพาลๆ ของฉันยังคงหลอนตัวเอง ปีหน้าฉันอาจจะต้องทำประกันบั้งไฟหล่นใส่หลังคาบ้าน ทั้งที่ฉันไม่เคยสนใจจะทำประกันชีวิตอะไรทั้งนั้นในชาตินี้ สาเหตุที่ต้องคิดหนักก็เพราะ ถ้าหากแรงจูงใจจากรางวัลของการเป็นผู้ชนะบั้งไฟเพิ่มขึ้น หากการพนันขันต่อมีความเข้มข้นขึ้น บั้งไฟอาจจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น โอกาสได้รับบั้งไฟอย่างไม่เต็มใจย่อมมีมากขึ้น
มองในแง่ที่ดี พญาแถนได้รับแรงศรัทธามากขึ้น เอ..หรือว่าเรื่องฟ้าฝนไม่เกี่ยว เพราะปีนี้ฝนตกมาให้ก่อนหน้าเทศกาลบุญบั้งไฟนานนับเดือน จนน้ำเจิ่งนอง
ดูแล้วไม่น่าจะเป็นเรื่อง แต่มันอาจจะเป็นเรื่อง เพราะที่เชิงภูเวียง มีรอยหลุมกว้างใหญ่ของบั้งไฟล้านปรากฏอยู่ ยายแดงผู้เชี่ยวชาญการข่าวแห่งบ้านป่า บอกว่ามันพุ่งดิ่งมาจากเมืองเวียงจันท์ จริงเท็จอย่างไรไม่รู้
แต่บั้งไฟหลงทาง ช่างหวาดเสียวดีแท้