Skip to main content

ฉันสำเหนียกถึงแรงสะเทือนที่ดิ้นสะท้านอยู่ภายในอก ยามที่เผลอใจไปยึดมั่นกับเรื่องราวความขัดแย้งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราขณะนี้

ทั้งที่ฉันตั้งใจวางตัวเองไว้ตรงชายขอบของสังคม...

ไม่ได้ตั้งใจปิดหูปิดตาตัวเอง แต่เพราะการสื่อสารทั้งหลายที่ไม่สะดวก ฉันจึงหลุดออกมานอกวงสนทนาของความขัดแย้งเกลียดชัง

เพราะ...ถูกและผิด ใช่และไม่ใช่เป็นเรื่องซับซ้อน

วันวาน...สภาพชีวิตของฉันเป็นเสมือนวัชพืชของสังคม
วันนี้...ฉันเป็นผู้แผ้วถางวัชพืชตัวจริงอย่างสำนึกรู้ผิดบาป แม้จะเลือกใช้เครื่องมือที่ปลอดภัยที่สุดแล้วต่อชีวิตเล็กๆ แต่กระนั้นฉันก็ยังทำลายชีวิตบางชีวิตอยู่ดี

8_7_01

วิถีของชาวไร่ มีความสุขเล็กๆที่ไม่ต้องซื้อหาด้วยเงินตรา เพราะฉันสามารถชื่นชมและครอบครองดอกไม้ป่าเหล่านี้ได้ โดยไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ก่อความเสียหายแก่ธรรมชาติมากนัก

แต่ในบางครั้ง ฉันกลับทำให้ชีวิตบางชีวิตต้องจบสิ้นลง เพียงเพราะรอยเท้าที่ย่างผ่านเพียงแผ่วเบา เป็นเพราะเราอยู่ใกล้กันเหลือเกิน

8_7_02

วิถีของการทำมาหากิน ที่เชื่อมั่นว่าเป็นผู้สร้างสรรค์มากกว่าการทำลาย บางทีฉันอาจเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวง
แม้ไม่มีริ้วรอยความบอบช้ำของธรรมชาติปรากฏอยู่ตรงหน้าอย่างเด่นชัด แต่
....ใช่ว่าจะไม่มี

8_7_03

เพราะธรรมชาติมีความเป็นไปที่มนุษย์ยากจะเข้าใจ บางครั้งเผลอไผลบังอาจคิดว่าเข้าใจแล้ว

8_7_04

รวงรังนี้ถูกทิ้งร้างไปแล้ว เพราะว่าเมื่อสามวันก่อน ฉันเฉียดกรายมาแผ้วถางป่า เพียงแค่นิดเดียวที่คมมีดเกือบจะเกี่ยวเอารวงรังและไข่ใบน้อยๆ 5 ใบของมันให้แตกกระจาย

ฉันชะงักงัน นิ่งอึ้ง..ผละจากมาอย่างสะเทือนใจ เพราะฉันกำลังได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำลายแล้วอย่างแท้จริง แม้ทุกอย่างจะดูเหมือนเดิม แต่วันต่อๆมา ไร้เงาร่างของผู้เป็นเจ้าของ นั่นเป็นเพราะฉันได้ทำลายความเป็นปกติสุขของมันไปแล้ว

คิดถึงเรื่องของกลุ่มคนที่กำลังขัดแย้งด่าทอ คิดไปถึงโลกของผู้ที่มีอำนาจมากกว่า..มากทั้งอำนาจเงินตรา มากทั้งอำนาจบารมี

อยากถามท่านทั้งหลายว่า แน่ใจแล้วหรือว่า ท่าน "เป็นผู้สร้างสรรค์" แน่ใจหรือว่า "เป็นผู้ให้"แล้วอย่างแท้จริง
โปรดก้มหนาลงดูจานข้าวของคนยากไร้ พิจรณาดูสิว่าในนั้นมีข้าวสุกกี่เม็ดในแต่ละมื้อของแต่ละวัน
แน่ล่ะ..ฉันไม่ได้ร้องขอให้ท่านก้มลงสำรวจมือของตัวเอง ไม่ต้องดูมันก็ได้ แม้ในมือนั้นจะมีเงินทองกองนอนอยู่เป็นกอบเป็นกำ เพราะนั่นไม่ใช่ความสำคัญ

แต่สำคัญที่ว่า..หลังจากนี้ สิ่งเหล่านั้นมันจะถูกยื่นไปสู่ที่ใด....เพื่อใคร

บางวัน..โลกของการสื่อสาร ทำให้ฉันมองเห็นใบหน้าเพื่อนมนุษย์ที่กำลังร่ำไห้เพราะความทุกข์ ความยากเข็ญ
แต่ขณะเดียวกันหัวใจฉัน ก็รุ่มร้อนเพราะความเกลียดชัง

นั่นเพราะ...ฉันลืมคิดไปว่า เราต่างทำมาหากิน ต่างพยายามเอาตัวรอดในสภาพของที่โลกกำลังร้อนระอุ เพราะแรงกิเลสตัณหาทั้งหลายแหล่ของเราเอง
ฉันเองอาจเป็นแม่มดในสายตาของเหล่าแม่นกทั้งหลาย ที่ต้องสูญเสียลูกไปเพราะน้ำมือฉัน

วันนี้...วันที่ฉันสะเทือนสะท้านลึกๆอยู่ในอก อย่างยากที่จะต้านทาน ฉันจึงปล่อยให้มันหลั่งไหลดำเนินไปจนถึงที่สุดของความเกลียดชัง เฝ้าดูมันดิ้นรนสับสนอย่างเงียบๆแต่จริงจัง
ฉันจึงพบว่า...ทุกลมหายใจเข้าออก ฉันล้วนแต่ทำผิด ผิดเพราะหัวใจหวั่นไหวหวาดหวั่นตามประสามนุษย์สามัญ
ฉันปล่อยให้ความเกลียดชังครอบงำหัวใจ เพราะฉันเชื่อมั่นว่าฉันเป็นฝ่ายถูก...ถูกอยู่เสมอ

ทั้งๆที่ฉันทำผิด ผิดที่ไปเกลียดชังความแตกต่างทั้งหลายแหล่ ที่ดำรงอยู่อย่างแท้จริง..ในโลกนี้


บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
ตอนที่ 3 กว่าจะรู้ว่าเป็นมะเร็ง "แม่ ป่านเบื่อกินยาจังเลย"ลูกบ่นเบาๆ ขณะที่หยิบยาออกมากินตามปกติทุกวันอย่างมีวินัย เป็นเวลาสามปีกว่าแล้ว ที่ลูกต้องเข้าออกโรงพยาบาลแล้วได้ยามากินระงับอาการปวดท้อง โดยที่ไม่มีใครเฉลียวใจเรื่องอื่น
เงาศิลป์
ก้อนเมฆหนาสีเทาทึมทึบ ขยับเคลื่อนช้าๆมาจากทิศตะวันตก จากโค้งฟ้าไกลๆค่อยๆเคลื่อนผ่านศรีษะฉันไปอย่างไม่เร่งร้อน คล้ายลังเลว่าจะแวะพักสักครู่ดีหรือไม่ คงไม่อาจรีรอได้ จึงบ่ายคล้อยต่อไปยังทิศตรงข้าม ทิ้งไอฉ่ำระเรี่ยพื้นพอให้คนรอคอยใจหายเล่น ชีวิตบางชีวิตก็เช่นกัน ..............
เงาศิลป์
    กองฟอนถูกตระเตรียมอย่างรวดเร็วภายในเช้าวันรุ่งขึ้น พิธีศพเป็นไปอย่างเรียบง่าย ท่ามกลางญาติมิตรที่รักใคร่ผูกพัน ตกบ่าย ณ ลานหินริมหน้าผา เปลวเพลิงลุกโชน ลามเลียกองไม้และร่างกายผ่ายผอมนั้นให้หม่นไหม้กลายเป็นผงธุลี พร้อมๆกับน้ำตาที่หยาดลงบนร่องแก้มของใครหลายคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น
เงาศิลป์
ใครที่เคยสูญเสียสิ่งรัก คงจะรู้จักอาการปวดแสบปวดร้อนคล้ายถูกมือยักษ์ควักใจหัวใจออกมาบี้เล่น อย่างไม่ปราณีปราศรัยได้ดียิ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาการเหล่านั้นค่อยๆจางหายสวนทางกับสติปัญญาที่เพิ่มมากขึ้น เราเรียกสิ่งนี้ว่าประสบการณ์ชีวิต แน่ล่ะ ทุกคนจะต้องจ่ายด้วยราคาที่สูงลิบลิ่ว อย่างไม่เต็มใจ เสมอมา   ความทุกข์ จากความพลัดพรากในสิ่งที่รัก จึงเสียดแทงหัวใจเป็นที่สุด
เงาศิลป์
วันจากไปนิรันดร์ของใครบางคน ทำให้ใครหลายคนมาเจอกัน วันเช่นนั้น มักจะมีม่านแห่งความเศร้าคลี่คลุมไปทั่ว บางคนที่ตั้งสติได้ อาจย้อนถามใจตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งฉันจะต้องเป็นผู้ไปบ้าง อะไรจะเกิดขึ้น  อะไรจะเกิดขึ้น หมายถึงอะไรเล่าหมายถึงความเศร้าโศกเสียใจของใครบ้างหรือเปล่าหรือหมายถึง ความชื่นชมยินดีในวิถีแห่งการตาย พร้อมคำว่า....สาธุ
เงาศิลป์
ทุกอณูเนื้อบนผืนโลก เราล้วนต่างเหยียบย่ำซ้ำรอย น่าแปลก ที่ไม่มีใครจำได้ว่าได้ย่ำมาแล้วกี่ครั้งกี่หน ฉันหมายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นซ้ำซากในปัจจุบันชาติ หรืออาจลากพาย้อนกลับไปหลายอสงไขยชาติ มีบ้างไหมที่พบว่าบางพื้นถิ่นเรารู้สึกคุ้นชินเหมือนเคยอยู่ มีบ้างไหม กับบางคนที่รู้สึกคุ้นเคยเหมือนได้ชิดใกล้กันมาก่อน ถ้าไม่แข็งขืนปฏิเสธการมีอยู่ของความทรงจำซ้ำซาก ที่ไม่เคยชัดเจนแต่ทิ้งเค้าลางเอาไว้อย่างแนบเนียน ฉันว่าใครหลายคนที่แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมฉัน และทิ้งคำจำนรรเอาไว้บ้างนั้น เราล้วนเคยเป็นพี่น้องกัน ไม่เช่นนั้นหนทางโคจรจะวกวนให้มาเจอกันได้อย่างไร
เงาศิลป์
เสียงเห่าโฮ่งๆ ดังกังวานมาจากในป่า เป็นเสียงที่ดุกร้าวบอกเหตุบางอย่างว่าเร่งด่วน เจ้าหลาม...แม่หมา เจ้าเสือ...พี่หมารีบหันหลังกระโจนพรวดไปทางเสียงนั้น เจ้าตัวเล็กอีกสามตัววิ่งตามกันไปเป็นพรวน ฉันชะเง้อตามดู เห็นเจ้าด๊อกกี้กำลังตั้งหน้าตั้งตาเห่าบางอย่างราวกับจะเปิดฉากต่อสู้ และเมื่อทุกตัวไปถึงที่เกิดเหตุ เจ้าตัวดีกลับวิ่งมาทางฉัน ในปากมีอะไรคาบอยู่ ฉันจึงเรียกให้หยุด มันทำตามแต่โดยดี พลางคายสิ่งนั้นลงบนพื้นดิน
เงาศิลป์
ค่ำคืนหนึ่ง... เม็ดฝนทิ้งรอยให้แกะรอยเช้าตรู่ ยังไม่ทันเงยหน้าดูท้องฟ้า ฉันรีบก้มหน้าดูพื้นดิน เห็นรูพรุนเล็กๆ ที่ฟ้าทิ้งรอยไว้ให้อย่างมีเงื่อนงำ ไฉนไม่ยอมทำลายซากของฝุ่นผงให้หมดสิ้น ทำแบบนี้ทำไมกัน ไม่รู้หรือว่าฉันปวดร้าวหัวใจ ฝนเอ๋ย จนสาย อาการกระหายใคร่จะให้หยาดฝนริน ยังไม่ยอมจางหายไปจากใจ เทียวเดินเข้าเดินออกใต้ถุนบ้านเงยหน้าดูท้องฟ้า พลางนึกถึงอดีตที่เคยถูกทักถาม ยามที่ทำงานเร่ร่อนตามหมู่บ้าน บ้านแล้วบ้านเล่า ซอกซอนไปเรื่อยๆ ยุคสมัยที่อีสานยังรุ่มรวยไปด้วยถนนสายฝุ่นสีทองแดง คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านย่านป่าลึก มักจะเอ่ยปากถามเป็นคำแรกว่า "ที่บ้านฝนตกบ่หล่า" ตอนนั้นตอบไปเรื่อยๆ…
เงาศิลป์
ไอชื้นของลมฝนที่โชยผ่านผิวมาจากที่ไกลแสนไกล ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือนั่น มันคงเดินทางมาไกลมาก ไกลจนมองไม่เห็นแม้แต่เค้ารางของม่านฝนที่จะมาถึง แต่เพียงแค่นี้ก็ช่วยขับไล่ความร้อนอ้าวให้หนีห่าง พร้อมมอบความหวังใหม่ให้แก่ชีวิต ทั้งคนทั้งสัตว์ทั้งต้นไม้ให้เริงรำได้อีกครั้ง ดูนั่นสิ..สีน้ำตาลจากราวป่ารอบๆ ไร่ เริ่มระบายสีเขียวอ่อนลงไปแทน อีกไม่นานดอกไม้สีเหลือง สีขาว กลิ่นกรุ่นก็จะผลิแย้มกำจายกลิ่นไปทั่วป่า
เงาศิลป์
ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่คละเคล้าก่อตัวกันเป็นโลกและชีวิต มีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ อย่างปกติ..... ลมหนาวพัดกรรโชกไร้ทิศทาง พัดพาเอาควันไฟจากกองฟืนใต้ถุนกระท่อมเล็ดลอดผ่านช่องว่างแผ่นกระดานปูพื้นทำให้รู้สึกแสบตาแสบจมูกอยู่เป็นระยะ
เงาศิลป์
ฉันมีเรื่องราวจะแลกเปลี่ยน ลองฟังดูนะ ตาเก้กับการลงทุน “คนอย่างผม ถ้าทำอะไรก็ต้องทุ่มหมดตัว” ตาเก้พูดเสียงต่ำ สีหน้ายิ้มเหยียดหน่อยๆ บ่งถึงความสาสมใจในชีวิต ขณะย่ำเดินไปบนพื้นดินทรายที่เพิ่งถูกผานไถพลิกพรวนให้กอหญ้าคว่ำหน้าลง แกกำลังจะลงทุนอีกรอบบนผืนดินนี้ ทั้งที่เจ้าหน้าที่ของโรงงานน้ำตาลฟันธงแล้วว่า “ดินเสื่อมสภาพหมดแล้ว”
เงาศิลป์
๑. ยามพลบค่ำ อาณาจักรบ้านไร่อาบแสงจันทร์ผ่องนวล ลมหนาวพัดเคล้าคลอพอให้เหน็บหนาว สลับไออุ่นจากไฟฟืนที่กรุ่นกำจายจนรู้สึกได้ถึงความต่างระหว่างอุ่นกับหนาว ที่ห่มพัน คืนแสงจันทร์จ้าจนแทบมองเห็นใบหน้าคนที่เดินอยู่ไกลๆ กับถนนสายฝุ่นที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่นับสิบสาย ด้วยรอยเท้าคนและล้ออีแต๊ก แต่ละเส้นทางล้วนตั้งต้นมาจากหมู่บ้านรอบนอก พาดผ่านทุ่งนาที่กลายเป็นดินแข็งกระด้างปกคลุมเพียงตอซังข้าวที่รอเวลาถูกเผาทิ้ง ถนนทุกสายมุ่งสู่ป่าชุมชนผืนใหญ่นี้อีกครั้ง หลังจากสายน้ำหลากล้นปิดกั้นการสัญจรในหลายเดือนที่ผ่านมา ฤดูแล้งของพื้นที่แห่งนี้ จึงเป็นฤดูกาลที่คึกคักพลุ่งพล่านไปด้วยกลิ่นอายของการเข่นฆ่า