Skip to main content

ครั้งหนึ่งข้อสอบอัตนัยสอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในระบบรับตรง ถามว่าอะไรคือปัญหาสังคมที่น่าเป็นห่วงในปัจจุบัน นักเรียนกว่าครึ่งของผู้เข้าสอบซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้นเกือบสองร้อยคนตอบทำนองเดียวกันว่า “การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร” ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ในสังคมขณะนั้นที่มีข่าวว่าพบศพทารกจากการทำแท้งนับพัน อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เกิดความขัดแย้งทางการเมืองและการชุมนุมเดินขบวนมากมาย และเกิดปัญหาอื่น ๆ อีกหลายอย่างในสังคมไทย แต่กลับแทบไม่นักเรียนคนใดเขียนถึงปัญหาเหล่านั้นเลย

เมื่อเร็ว ๆ นี้การสัมภาษณ์เข้ามหาวิทยาลัยแห่งเดียวกัน นักเรียนสองคนถูกกำหนดให้พูดคุยกันเพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้  ข่าวดีคือนักเรียนทั้งสองพอจะรู้อยู่บ้างว่าเกิดอะไรขึ้นในภาคใต้ แต่ข่าวร้ายก็คือประเด็นที่พวกเธอพูดคุยกันวนเวียนอยู่กับคำอธิบายที่ว่า “น่าจะมีคนแก้ปัญหา ยังไงเราก็คนไทยเหมือนกัน น่าจะรักกัน” จนกระทั่งเวลา 7 นาทีผ่านไปทั้งสองคนไม่สามารถมีเนื้อหา การวิเคราะห์ หรือความคิดเห็นอื่นใดมากกว่านั้น ฉันแอบคิดว่าหากบอกให้นักเรียนบรรยายเรื่องวัฒนธรรมไทย จริยธรรม และศีลธรรมแบบไทย ๆ พวกเธออาจใช้เวลาได้คุ้มค่ามากกว่า

ล่วงเลยวัยมัธยมมาหลายสิบปี ฉันไม่ค่อยเข้าใจว่าเด็กนักเรียนสมัยนี้ผ่านเนื้อหาและกระบวนการเรียนการสอนแบบใดมา แต่เดาว่าคงได้รับการปลูกฝังเรื่องจริยธรรมประเพณีแบบไทย ๆ ความสามัคคีปรองดอง และที่สำคัญคือการรู้จักรักนวลสงวนตัวและไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร แต่การปลูกฝังแบบนั้นไปกันได้แค่ไหนกับวิถีชีวิตวัยรุ่นไทยในยุคนี้ และความเป็นจริงในสังคมไทย การหลับหูหลับตาปลูกฝังคุณค่าเชิงอุดมคติช่วยทำให้เข้าใจความเป็นจริงหรือไม่ และทำให้อะไรดีขึ้นมาหรือเปล่า

เรื่องลับที่เปิดเผย

ครูมัธยมในโรงเรียนประจำแห่งหนึ่งเล่าให้ฟังว่าในแต่ละค่ำคืนเธอต้องคอยเดินไปตามเตียงนอนต่าง ๆ และเปิดผ้าห่มของนักเรียนเพื่อยับยั้งการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนหญิงกับหญิงในระดับมัธยมต้นและปลาย และในแต่ละวันเธอต้องคอยตรวจดูตามซอกคอของนักเรียนว่ามีรอยแดงจ้ำ ๆ หรือไม่ เธอบอกว่าป่วยการณ์จะห้ามปราม เพียงแต่บอกว่าให้เลือกตำแหน่งในร่มผ้าน่าจะดีกว่า

นักศึกษาในระดับอุดมศึกษาจากมหาวิทยาลัยมีชื่อเล่าว่า เขามีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกตั้งแต่อายุประมาณ 13 ปี และทำให้เขาเรียนรู้ว่ารสนิยมทางเพศของตนเองเป็นแบบชายรักชาย มิใช่ชายรักหญิงเพราะเขาไม่ชอบ “เห็ดหูหนู” ด้วยคำถามเริ่มต้นว่า “เย กันหรือยัง” ในวงเหล้าวงนั้นนักศึกษาชายและหญิงอีกหลายคนนั่งแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทางเพศด้านต่าง ๆ ทั้งเรื่องหญิงรักหญิง จูบครั้งแรก การมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกและอีกหลายครั้ง การช่วยตัวเองครั้งล่าสุด ขนาดอวัยวะเพศ ฯลฯ ในการสนทนามีทั้งคนที่ยังรู้สึกเหนียมอาย คนที่พูดแบบตลกโปกฮา และคนที่พูดให้มันเป็นเรื่องธรรมดา ๆ 

“ยังนะยังไม่ได้ ‘เย’ กัน ไปเที่ยวด้วยกันเฉยๆ”

“อ่ะ! ทำไมล่ะ? ก็ช่วยตัวเองมันผ่อนคลายสบายดี บางทีก็ดีกว่า ‘เย’ กับใครเสียอีก”  

“แล้ว !  ตั้งแต่ปีหนึ่ง เธอเป็นคนแรกของผม แต่ผมไม่ใช่คนแรกของเธอ”

ด้วยวัยและการเติบโตมาในบริบททางสังคมที่แตกต่างกัน เรื่องเล่าพวกนี้จึงน่าตื่นตาตื่นใจมากสำหรับฉันผู้นั่งฟังประสบการณ์ทางเพศที่เปิดเผยกันจนแทบจะหมดจด ฉันได้เรียนรู้ศัพท์แสงแปลกใหม่มากมายเกินกว่าจะจดจำครบถ้วน นอกเหนือจากเรื่องเล่าของนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้แล้ว บ่อยครั้งที่ฉันได้ยินเรื่องราวความสัมพันธ์ทางเพศอันยุ่งเหยิงระหว่างอาจารย์หนุ่มกับนักศึกษาสาวในมหาวิทยาลัยแห่งอื่นอีกหลายต่อหลายคู่ เรื่องที่ดูเหมือนจะปิดลับแต่กลับกระฉ่อนข้ามมหาวิทยาลัยข้ามภูมิภาคมาเลยทีเดียว

เรื่องเพศไม่ใช่เรื่องผิด

กิจกรรมทางเพศของวัยรุ่นไทยเกิดขึ้นในหลายที่หลายเวลา รวมทั้งในรั้วมหาวิทยาลัย แต่เรื่องเพศ และการมีเพศสัมพันธ์ยังถูกตีเส้นว่าเป็นเรื่องของ “ผู้ใหญ่” ไม่ใช่เรื่องของ “วัยเรียน” ว่ากันว่าการเรียนได้ขยายเวลาความเป็น “เด็ก” ให้ยืดยาวออกไป เพราะนอกจากจะทำให้คนในวัยเรียนไม่มีเวลาทำมาหากินเลี้ยงตัวเองแล้ว ยังทำให้พวกเขาถูกกำหนดว่าควรหรือไม่ควรทำอะไรในฐานะที่ยังเป็น “เด็ก” หรือเป็น “นักเรียนนักศึกษา” สังคมไทยมีบรรทัดฐานที่กำหนดว่าการมีเพศสัมพันธ์ของ “วัยเรียน” เป็นเรื่อง “ผิด” ในแทบทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นเพศสัมพันธ์แบบปลอดภัยหรือไม่ก็ตาม และมันยังถูกทำให้เป็นความผิดใหญ่โตมากเมื่อนักเรียนนักศึกษาถูกผู้ปกครองจับได้ว่าไปหลับนอนกับใครมา

เป็นเรื่องน่าคิดว่าเหตุใดการมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียนจึงถูกทำให้เป็น “ความผิด” ร้ายแรงถึงเพียงนั้น เพราะเอาเข้าจริง ๆ การมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ หรือหากไม่มีก็ไม่นับว่าผิดปกติ  คนในวัยเรียนหากมีเพศสัมพันธ์แบบปลอดภัยอาจไม่สร้างความเสียหายอันใดเลย หากว่าไม่ท้องก่อนที่จะทำมาหากินรับผิดชอบตนเองได้ ไม่ติดโรค และไม่หมกมุ่นจนไม่เป็นอันเรียน ถ้าจะเสียก็เพียงเวลาที่ใช้ทำกิจกรรมทางเพศไม่กี่นาที แล้วก็สามารถลุกขึ้นมากินข้าวอาบน้ำไปโรงเรียนได้ตามปกติ เอาเข้าจริงคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขาที่ไม่ได้ร่ำเรียนก็ถูกนับเป็น “ผู้ใหญ่”  ทำมาหากินเลี้ยงตัวเองและมีผัวมีเมียกันไปแล้วตั้งมากมาย

การกำหนดว่าวัยเรียนยังเป็น “เด็ก” ที่ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์เป็นส่วนหนึ่งในการอธิบายว่าเหตุใดนักเรียนนักศึกษาจึงควรใส่เครื่องแบบที่สุภาพเรียบร้อย ไม่โป๊ ไม่ยั่วยวน ซึ่งถูกบังคับทั้งโดยระเบียบมหาวิทยาลัย ผู้สอน รวมทั้งรุ่นพี่ในระบบว๊ากและเชียร์ ทั้งยังเป็นเหตุผลที่ใช้กำหนดว่าไม่ควรมีสถานบันเทิงอยู่ใกล้บริเวณสถานศึกษา กำหนดเวลาปิด-เปิดหอพักในมหาวิทยาลัย และการปลูกฝังค่านิยม จริยธรรม และศีลธรรมอันดีแบบไทย ๆ ให้แก่นักเรียนนักศึกษา ขณะเดียวกันก็มีการสร้างคุณค่าว่าสถานศึกษาควรเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์หรือสูงส่งปลอดจากกิจกรรมอันไม่เป็นมงคลในลักษณะดังกล่าว ร้านสะดวกซื้อในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งถูกกำหนดไม่ให้ขายถุงยางอนามัย เช่นเดียวกันกับที่ไม่มีเหล้าและบุหรี่ขาย นัยว่าถ้าหาซื้อไม่ได้ง่าย ๆ นักศึกษาก็จะยับยั้งการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งความจริงอาจกลับกลายเป็นว่าหากหาซื้อได้ยากนักก็มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ต้องใช้มันเลยดีกว่า

ปัญหาเรื่องเพศ ปัญหาของ “ผู้ใหญ่”

ทุกวันนี้วัยรุ่นไทยมีเพศสัมพันธ์ เรียนรู้และเข้าใจเรื่องเพศด้วยตนเองผ่านสื่อต่าง ๆ และจากเพื่อน ๆ ซึ่งไปไกลกว่าเนื้อหาโบร่ำโบราณที่ครูพร่ำสอนในสถานศึกษา การอยู่หอด้วยกันเป็นคู่ ๆ ของวัยเรียนเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ดาษดื่น ไม่ต่างจากการมีเพศสัมพันธ์กับเพื่อนต่างเพศหรือเพื่อนเพศเดียวกันเป็นครั้งคราวที่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อันใดเลยสำหรับวัยรุ่นไทย

นักศึกษาหลายคนอยู่หอพักในมหาวิทยาลัย แต่ก็ออกมานอนกับเพื่อนหอนอกเป็นประจำเมื่อไปเที่ยวกลางคืนจนเลยเวลาหอปิด ผู้ปกครองเลือกให้บุตรสาวพักหอพักหญิงจึงไม่ได้หมายความว่าเธอจะไปหลับนอนกับผู้ชายในหอพักรวมไม่ได้  นักศึกษาชายหญิงหลายคนอาศัยนอนในหอพักห้องเดียวกันบ่อย ๆ หลังจากไปเที่ยวกลางคืนกลับมาด้วยกันซึ่งก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาและเธอจะต้องมีอะไรกัน คนชอบแต่งตัวเซ็กซี่อาจไม่เคยมีเพศสัมพันธ์เลย แต่คนที่แต่งกายมิดชิดอาจไม่ใช่คนรักนวลสงวนตัว เหล่านี้คือความเป็นจริงของวัยรุ่น-วัยเรียนที่สลับซับซ้อนกว่าบรรทัดฐานและกฎเกณฑ์อันแข็งทื่อที่พวก “ผู้ใหญ่” พยายามตีกรอบให้กับพวกเขา

ฉันเขียนเรื่องนี้ขึ้นมามิได้คิดที่จะส่งเสริมหรือชักชวนให้วัยรุ่นไทยมามีเพศสัมพันธ์ เพียงแต่อยากจะให้พวกที่คิดว่าตนเองเป็น “ผู้ใหญ่” ลองเปิดหูเปิดตารับรู้ความเป็นไปที่เป็นจริงกันบ้างก่อนจะคิดอ่านทำประการใดแบบทื่อมะลื่อ  เรื่องเพศในสังคมไทยยังคงเป็นเรื่องที่ “ผู้ใหญ่” ไม่กล้าเผชิญหน้ากับความเป็นจริงอย่างตรงไปตรงมา บางทีการสร้างความเข้าใจเรื่องการมีเพศสัมพันธ์แบบปลอดภัยอาจสำคัญเร่งด่วนเสียยิ่งกว่าการแก้ไขปัญหาด้วยการปลูกฝังค่านิยม และจริยธรรม การปิดล้อมสถาบันการศึกษา หรือสร้างระเบียบวินัยที่เคร่งครัดซึ่งไม่เกิดผลในทางปฏิบัติ

ยิ่งไปกว่านั้น การปลูกฝังและยึดมั่นถือมั่นกับค่านิยมย้อนยุคจนเกินพอดียังกลายเป็นการสร้างปัญหาครอบครัว เพิ่มช่องว่างระหว่างคนต่างวัยที่เติบโตมาต่างยุคสมัย และทำให้วัยรุ่นวัยเรียนมีปัญหาชีวิตมากเกินความจำเป็น ดังเช่นหากพ่อแม่หรือผู้ปกครองจับได้ว่าบุตรหลานของตนมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียนจะเป็นเรื่องที่ใหญ่โตมากของครอบครัว  อาจบิ้ว กันจนกลายเป็นบาดแผลร้าวลึกในความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่-ลูก หรือถึงกับทำลายอนาคตนักเรียนนักศึกษาได้เลยทีเดียว หากคิดอีกแบบหนึ่งเรื่องนั้นอาจไม่ใช่ “ปัญหา” อะไรเลยตราบที่วันรุ่งขึ้นบุตรหลานของท่านยังสามารถไปโรงเรียนและใช้ชีวิตได้ตามปกติ (โดยไม่ตั้งครรภ์หรือติดโรคร้ายแรง)

การที่นักเรียนชั้น ม.6 ตอบข้อสอบว่าปัญหาสังคมที่สำคัญคือปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร เป็นเพียงการท่องจำมาตอบแบบเดาใจว่าผู้ตรวจข้อสอบคงจะโบราณคร่ำครึเหมือนครูมัธยมของพวกเขา และคงอยากได้ยินคำตอบแบบนี้ก็เท่านั้นเอง

บล็อกของ "ไม่มีชื่อ"

"ไม่มีชื่อ"
ฉันรู้สึกรำคาญคุณพ่อคุณแม่รู้ดีที่ทำเป็นเข้าอกเข้าใจต้นข้าว ก่อนอื่นใดขอให้ทำความเข้าใจชีวิตคนจริง ๆ ก่อนดีไหม   
"ไม่มีชื่อ"
"ไม่มีชื่อ"
ถ้าจะมีคนในสังคมที่ไม่ทำงานทำการอะไร ก็น่าจะเป็นพวกคนร่ำรวย ที่สามารถสะสมทุนและใช้เงินจากดอกผลของมันซึ่งขับเคลื่อนด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของลูกจ้างที่มีทุนน้อยเสียมากกว่า
"ไม่มีชื่อ"
นักศึกษาจบใหม่ มีทางให้เลือกดำเนินชีวิตได้มากสักเท่าไหร่กัน นักเรียนของข้าพเจ้าเรียนจบเกือบหนึ่งปีแต่พวกเขายังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่าจะนำพาชีวิตตัวเองไปในทิศทางไหนต่อ
"ไม่มีชื่อ"
ในบริบทที่สังคมเต็มไปด้วยรอยปริแตกและการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ผู้คนจำนวนมากระมัดระวังที่ไม่ตกอยู่ฟากข้างใดของความขัดแย้ง “ความเป็นกลาง” ถูกทวงถามในทุกแวดวง ไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชน นักวิชาการ นักศึกษา นักพัฒนา ราวกับว่าคำนี้มีความหมายชัดเจนและเป็นธรรมชาติในตัวเอง 
"ไม่มีชื่อ"
 
"ไม่มีชื่อ"
 ภาพมวลมหาประชาชนนำธนบัตรมากมายไปยื่นให้ สุเทพ เทือกสุบรรณ บนถนนกลางกรุงสร้างความตื่นตะลึงปนขุ่นเคืองใจให้แก่คนมีเงินไม่ค่อยพอใช้อย่างข้าพเจ้ายิ่งนัก นี่ยังไม่นับรวมกับเสียงของผู้เข้าร่วมชุมนุมกับม็อบนกหวีดที่ย้ำซ้ำ ๆ ผ่านสื่อต่าง ๆ ว่าพวกเขาเป็นชนชั้นกลางและชนชั้นสูงฐานะดีมีอันจะกิน 
"ไม่มีชื่อ"
เมื่อตื่นเช้ามาพบว่าสังคมไทยกำลังถกเถียงกันเรื่องความเหมาะสมของหลัก “หนึ่งสิทธิหนึ่งเสียง” ในการเลือกตั้ง ข้าพเจ้าหลงคิดไปว่าขณะหลับไปเมื่อคืนโลกได้หมุนย้อนเวลากลับไปกว่า 81 ปี ก่อนที่ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งครั้งแรกภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย
"ไม่มีชื่อ"
ไม่ว่าจะเห็นด้วยกับเสียงของ “ชาวบ้าน” หรือไม่ เสียงของพวกเขาก็ควรมีความหมาย มีสิทธิที่จะเปล่งออกมา และควรได้รับความสำคัญเท่า ๆ กับเสียงของชนชั้นกลางด้วยเช่นกัน แต่สังคมยังให้พื้นที่แก่เสียงของคนเหล่านี้น้อยมาก เมื่อเทียบกับพื้นที่ที่ให้แก่เสียงของชนชั้นกลาง ทั้ง ๆ ที่หลายกรณีเสียงและความต้องการของชนชั้นกลางที่อยู่ห่างออกไปจากพื้นที่ส่งผลต่อปากท้องและการทำมาหากินของพวกเขาโดยตรง     
"ไม่มีชื่อ"
เนื่องจากมันเป็นขบวนการและกระบวนการตอกย้ำความไม่เท่าเทียมกันของอำนาจในการแสดงออกซึ่งสิทธิเสียงระหว่างชนชั้นกลางกับชนชั้นล่างอย่างเห็นได้ชัด โดยผ่านการจัดลำดับชั้นสูงต่ำของ  “จิตสำนึกทางสิ่งแวดล้อม”
"ไม่มีชื่อ"
การบังคับสวมเครื่องแบบนักเรียน-นักศึกษาด้วยข้ออ้างว่าจะไม่ทำให้เกิดความแตกต่างหรือเพื่อลดความเหลื่อมล้ำนั้น เอาเข้าจริง ๆ มันก็แค่การกลบเกลื่อนความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่จริง และแสดงถึงการไม่ยอมรับความแตกต่างหลากหลายอย่างตรงไปตรงมามากกว่า