ฉันเล่าให้เพื่อนฟังอย่างฉุนเฉียวถึงนักเขียนหนุ่มคนหนึ่งที่ได้พบ “เขาตอบคำถามธรรมดา ๆ ไม่ได้หรือ ทำไมจะต้อง “เยอะ” ทำให้คำถามง่าย ๆ กลายเป็นเรื่องยากเย็นที่จะตอบแบบตรงไปตรงมา” ฉันถามเขาถึงหนังสือที่เป็นแรงบันดาลใจ แทนที่เขาจะตอบชื่อหนังสือ เขากลับย้อนมาอภิปรายถึงคำถามของฉัน “ไม่ชอบคำว่าแรงบันดาลใจ เพราะว่า...” ต่อด้วยการอภิปรายถึงการอ่านหนังสือว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะแนะนำหนังสือให้ใครอ่าน ถ้าเขาไม่อยากอ่าน...” ตกลงว่าฉันต้องรีดเค้นอยู่หลายประโยคเพื่อให้ได้ชื่อหนังสือมาสามเล่ม ซึ่งกว่าจะได้มาฉันก็เลิกสนใจรายชื่อหนังสือพวกนั้นแล้ว
“เพื่อนเธอคนนี้แปลกประหลาด” ฉันสรุปในตอนท้ายก่อนจะเปลี่ยนมาเล่าเรื่องตลกของตัวเอง
ฉันเล่าถึงการสัมมนาแห่งหนึ่งที่ไปร่วมเมื่อราวสิบปีก่อน ทุกคนแนะนำตัวว่าเป็นศิษย์เก่ารุ่นที่...ของมหาวิทยาลัยแห่งนั้น และยินดีที่ได้กลับมาเยือนอีกครั้ง ก่อนจะพูดเข้าเนื้อหาที่เตรียมมา เมื่อถึงช่วงที่ฉันต้องขึ้นนำเสนอบ้างในขณะที่รู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกจากผู้คนที่แวดล้อมอยู่ถึงขีดสุด ฉันแนะนำตัวว่า “สวัสดีค่ะ ฉันไม่ได้เป็นศิษย์เก่าที่นี่ ไม่ได้เรียนจบด้านนี้ แต่ฉันอยากจะลองพูดเรื่องนี้” ทุกคนในห้องประชุมอึ้ง บางคนยิ้มน้อย ๆ และมีอีกคนหนึ่งถึงกับพลิกหาประวัติสั้น ๆ ของฉันที่แนบมากับเอกสาร ฉันไม่ชอบการอ้างอิงตนเองกับสถาบันใด ๆ อย่างมาก และแน่นอนที่ฉันตั้งใจอย่างยิ่งที่จะกวนประสาทผู้ฟังและผู้ที่นำเสนอก่อนหน้านี้ คำแนะนำตัวของฉันประสบผลที่ตั้งใจไว้อย่างไม่ต้องสงสัยและฉันรู้สึกสะใจ
“เรื่องของเธอที่เล่ามา ต่างอะไรกับเรื่องของนักเขียนคนนั้น” เพื่อนคนหนึ่งโพล่งขึ้นมาทันทีที่ฉันเล่าจบ “เธอก็แปลกประหลาดไม่ต่างกับเขานั่นแหละ” ฉันนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนที่พวกเราจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อม ๆ กัน
มิวายที่ฉันจะถามเพื่อนซ้ำว่า “จริงเหรอ ฉันประหลาดจริง ๆ เหรอ ฉันว่าฉันปกติที่สุดแล้วนะ คนอื่นสิประหลาด”
เพื่อนยืนยันหนักแน่นว่า “ไม่จริง เธอไม่ปกติ เธอนั่นแหละประหลาด” แล้วเราก็หัวเราะกันอีก
ความปกติ-ความประหลาด เป็นหนึ่งในประเด็นที่พวกเราชอบใช้หยอกล้อกัน พวกเราชอบนินทาใครหลายคนว่า “พวกเขาแปลก ๆ” แต่ความจริงพวกเราตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่าพวกเราเองนี่แหละที่แปลกประหลาด มองโลกไม่เหมือนคนอื่น เลือกทางชีวิตที่แปลกกว่าคนอื่น และต่างแปลกประหลาดต่อกันและกัน
พวกเราแทบไม่มีอะไรเหมือนกันเลย มีอาชีพคนละอย่าง มีทางชีวิตคนละแบบ ชอบดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ มีกิจกรรมในชีวิตแตกต่างกัน แม้กระทั่งการจัดสรรเวลาให้ “ว่าง” เหมือนกันเพื่อมาพบกันและทำกิจกรรมเดียวกันบ่อยครั้งยังไม่ใช่เรื่องง่าย ในเรื่องราวต่าง ๆ รอบตัวฉันว่าพวกเราเห็นต่างมากกว่าเห็นพ้อง คุยกันคนละเรื่อง เล่า ถาม แย้ง แต่ก็แทบจะไม่เคยโต้เถียงกัน พวกเรารู้จักและคบหากันท่ามกลางความแปลกแตกต่างอย่างมาก นี่ยิ่งนับว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด
ไม่ใช่ความเหมือนหรือการเห็นพ้อง ไม่ใช่การอยู่ร่วมหรือมีเวลามากพอที่จะเรียนรู้กันจึงทำให้พวกเราคบหากันได้ แต่เป็นความตระหนักและยอมรับในความแปลกประหลาดของกันและกันต่างหากที่ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเราคงอยู่มานานปี
หากมีมาตรฐานของ “ความปกติ” อยู่หนึ่งแบบ ฉันว่าโลกนี้คงมีคนแปลกประหลาดเต็มไปหมด เอาเข้าจริงผู้คนหลายร้อยหลายพันล้านในโลกนี้ไม่มีใครเลยที่เหมือนกัน “คนเหมือนคน แต่คนไม่เหมือนกัน” ฉันเคยได้ยินใครก็ไม่รู้กล่าวไว้
ฉันว่าปัญหาในการอยู่ร่วมกันของผู้คนในโลก ไม่ได้เป็นเพราะว่าใครไม่ปกติ หรือใครแปลกประหลาดกว่าใคร แต่เป็นเพราะว่าเรากำลังยึดเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานของ “ความปกติ” เพื่อที่จะได้ชี้หน้าผู้คนที่คิดเห็นแตกต่างจากเราว่า “ผิดปกติ”
ไม่ใช่เพราะความปกติ-ไม่ปกติ หรือคุณค่าถูก-ผิด ดี-เลว อะไรเลย ที่ทำให้เราอยู่ร่วมกันได้ยาก แต่เป็นเพราะว่าเรากำลังใช้คุณค่าพวกนี้มาสร้างมาตรวัดเพื่อกีดกันคนที่แตกต่างจากเราไม่ให้มีพื้นที่เหยียบยืนในสังคมนี้ต่างหาก
คนที่เราเห็นว่าเขา “แปลก ๆ” นั้นความจริงเขาอาจไม่เคยคุกคามสร้างความเดือดร้อนให้ใครเลย แต่เราเองต่างหากที่กำลังบอกว่าเขาเป็น “ปัญหา” เพื่อที่จะยัดเยียดปัญหาและความเดือดร้อนให้กับเขา
เรากำลังใช้มาตรวัดที่สร้างขึ้นจากตัวเองไปบอกว่าคนที่ต่างจากเราไม่สมควรจะอยู่ร่วมในสังคมเดียวกัน
---
แด่ บัณฑิต อานียา ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ถูกบอกว่า “แปลก” และถูกทำให้ “ป่วย” เมื่อมีความคิดเห็นแตกต่างไปจากคนอื่น
ฉันไม่รู้จักเขาเลย แต่เชื่อว่าเขา “แปลก” เพราะฉันคิดว่าทุกคนในโลกนี้ต่างก็ “แปลก” และทุกคนควรมีสิทธิที่จะแปลกและแตกต่างบนทางที่เขาเลือกเอง