Skip to main content

 

ภาพมวลมหาประชาชนนำธนบัตรมากมายไปยื่นให้ สุเทพ เทือกสุบรรณ บนถนนกลางกรุงสร้างความตื่นตะลึงปนขุ่นเคืองใจให้แก่คนมีเงินไม่ค่อยพอใช้อย่างข้าพเจ้ายิ่งนัก นี่ยังไม่นับรวมกับเสียงของผู้เข้าร่วมชุมนุมกับม็อบนกหวีดที่ย้ำซ้ำ ๆ ผ่านสื่อต่าง ๆ ว่าพวกเขาเป็นชนชั้นกลางและชนชั้นสูงฐานะดีมีอันจะกิน 

ข้าพเจ้าพอเข้าใจอยู่ว่ามวลมหาประชาชนของคุณสุเทพนั้นไม่ได้แค่อยากจะอวดร่ำอวดรวยตามประสาผู้ดีมีเงินเท่านั้น แต่พวกเขาอยากแสดงสัญลักษณ์เพื่อสื่อว่าพวกเขามาชุมนุมด้วยความสมัครใจไม่ได้มีใครจ้างวาน และยังต้องการเปรียบเทียบกับการชุมนุมเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายที่พวกเขาเชื่อว่ามาเพราะการ “ซื้อ” หรือจ้างวานโดยนักการเมือง หรือกล่าวอีกอย่างได้ว่าการเคลื่อนไหวของชาวม็อบนกหวีดนั้น “บริสุทธิ์” กว่าการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายหนึ่ง

วาทกรรมซื้อสิทธิขายเสียงถูกตอกย้ำในสังคมไทยจนกระทั่งเรามักเข้าใจว่า เงิน กับ ประชาธิปไตย เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน  ทั้ง ๆ ที่สองเรื่องนี้อาจเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกันก็ได้

เงินถูกใช้เป็นดัชนีชี้วัด “ความบริสุทธิ์” ของการต่อสู้ทางการเมืองเสมอมา หากพรรคการเมืองใดใช้เงินในการหาเสียงเลือกตั้งเป็นจำนวนมากก็มีแนวโน้มที่จะเชื่อกันว่าชัยชนะที่ได้มานั้นไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม อย่างไรก็ตามมีผลการสำรวจที่เปิดเผยออกมาแล้วว่าการใช้เงินมากก็ใช่ว่าจะทำให้ได้ชัยชนะ ส่วนผู้ที่ได้รับชัยชนะก็ใช่ว่าจะเป็นเพราะเงิน[1]

ขณะที่คนชั้นล่างถูกประณามว่าซื้อได้ด้วยเงิน คนที่เรียกตนเองว่าชนชั้นกลางและชนชั้นสูงในม็อบนกหวีดกลับกำลังใช้เงินซื้อชัยชนะทางการเมืองแบบผิดครรลองด้วยเช่นกัน เพราะเงินของพวกเขาถูกใช้ไปกับการพยายามล้มล้างการต่อสู้ทางการเมืองที่ถูกต้องชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตย กล่าวอย่างที่สุดก็คือพวกเขากำลังสนับสนุนการเคลื่อนไหวที่จะทำอย่างไรก็ได้เพื่อไม่ให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ เพราะอาจเดาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าหากสู้กันตามเกมคงไม่ชนะ

มองไปข้างหน้า หากการเลือกตั้งเกิดขึ้นได้ และบังเอิญว่าพรรคที่ชนชั้นกลางและชนชั้นสูงไม่นิยมได้คะแนนเสียงท่วมท้นขึ้นมาก็จะมีการสร้างคำอธิบายโดยใช้ฐานะทางเศรษฐกิจเป็นดัชนีชี้วัดระดับความเข้าใจเรื่องการเมืองการปกครองกันอีก ด้วยการบอกว่าคนชนบทลงคะแนนด้วยความหลงใหลหรือแม้กระทั่งเป็นเหยื่อของนโยบายประชานิยมที่ทำให้คนยากคนจนอย่างพวกเขามีเงินทองจับจ่ายใช้สอยคล่องมือมากขึ้น ต่างจากผู้ดีมีอันจะกินที่ตัดสินใจเลือกลงคะแนนโดยไม่หวังผลประโยชน์เฉพาะหน้า

ข้าพเจ้าคิดว่าถ้าคนยากคนจนจะตัดสินใจลงคะแนนแบบนั้นหรือแบบไหนมันก็เป็น “สิทธิ” ของพวกเขา เพราะไม่เคยมีกติกาประชาธิปไตยข้อใดที่ระบุว่าเราควรลงคะแนนเสียงให้แก่พรรคที่ทำให้เรายากจนเท่าเดิมหรือย่ำแย่ลงกว่าเดิม และทั้งไม่มีใครจะมากำหนดได้ว่าเหตุผลในการลงคะแนนแบบไหนจึงจะเป็นเหตุผลที่ดีที่ชอบ

กติกาประชาธิปไตยในเรื่องนี้มีเพียงอย่างเดียวคือประชาทุกคนมี “หนึ่งสิทธิเท่ากัน” ที่จะตัดสินใจทางการเมืองด้วยการเลือกผู้แทนที่เราพอใจให้ไปใช้อำนาจอธิปไตยแทนเรา

การมีเงินหรือไม่มีเงินในที่นี้จึงไม่เกี่ยวอะไรกับความเข้าใจในเรื่องการเลือกตั้งและสำนึกประชาธิปไตย 

และการอวดร่ำอวดรวยกลางถนน ก็เป็นคนละเรื่องกันแน่ ๆ กับการอวดสำนึกประชาธิปไตย

การที่ใครมีเงินมากกว่าไม่ได้หมายความเลยว่าเขาจะมีสำนึกประชาธิปไตยเหนือกว่าคนอื่น เพราะพื้นฐานของสำนึกประชาธิปไตยคือการเคารพสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนอื่นเท่ากับที่เคารพสิทธิและศักดิ์ศรีของตนเอง

ดังนั้น การที่ผู้ดีมีอันจะกินใช้เงินมาตบหน้าเย้ยหยันคนยากคนจนบนท้องถนนกลางเมืองแบบนั้น มันจึงตรงกันข้ามกับการแสดงสำนึกประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง

ถ้าอยากอวดสำนึกประชาธิปไตยกันจริง ๆ ละก็ ไปเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ นี้เถอะค่ะ



[1] ดูเพิ่มเติม http://www.tdw.polsci.chula.ac.th/?q=Elected_members_of_parliament

**ขอบคุณภาพประกอบจากเพจ ต่อต้านกบฏสุเทพยึดประเทศไทย และเฟสบุ๊คของ Andrew MacGregor Marshall

 

บล็อกของ "ไม่มีชื่อ"

"ไม่มีชื่อ"
ฉันรู้สึกรำคาญคุณพ่อคุณแม่รู้ดีที่ทำเป็นเข้าอกเข้าใจต้นข้าว ก่อนอื่นใดขอให้ทำความเข้าใจชีวิตคนจริง ๆ ก่อนดีไหม   
"ไม่มีชื่อ"
"ไม่มีชื่อ"
ถ้าจะมีคนในสังคมที่ไม่ทำงานทำการอะไร ก็น่าจะเป็นพวกคนร่ำรวย ที่สามารถสะสมทุนและใช้เงินจากดอกผลของมันซึ่งขับเคลื่อนด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของลูกจ้างที่มีทุนน้อยเสียมากกว่า
"ไม่มีชื่อ"
นักศึกษาจบใหม่ มีทางให้เลือกดำเนินชีวิตได้มากสักเท่าไหร่กัน นักเรียนของข้าพเจ้าเรียนจบเกือบหนึ่งปีแต่พวกเขายังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่าจะนำพาชีวิตตัวเองไปในทิศทางไหนต่อ
"ไม่มีชื่อ"
ในบริบทที่สังคมเต็มไปด้วยรอยปริแตกและการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ผู้คนจำนวนมากระมัดระวังที่ไม่ตกอยู่ฟากข้างใดของความขัดแย้ง “ความเป็นกลาง” ถูกทวงถามในทุกแวดวง ไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชน นักวิชาการ นักศึกษา นักพัฒนา ราวกับว่าคำนี้มีความหมายชัดเจนและเป็นธรรมชาติในตัวเอง 
"ไม่มีชื่อ"
 
"ไม่มีชื่อ"
 ภาพมวลมหาประชาชนนำธนบัตรมากมายไปยื่นให้ สุเทพ เทือกสุบรรณ บนถนนกลางกรุงสร้างความตื่นตะลึงปนขุ่นเคืองใจให้แก่คนมีเงินไม่ค่อยพอใช้อย่างข้าพเจ้ายิ่งนัก นี่ยังไม่นับรวมกับเสียงของผู้เข้าร่วมชุมนุมกับม็อบนกหวีดที่ย้ำซ้ำ ๆ ผ่านสื่อต่าง ๆ ว่าพวกเขาเป็นชนชั้นกลางและชนชั้นสูงฐานะดีมีอันจะกิน 
"ไม่มีชื่อ"
เมื่อตื่นเช้ามาพบว่าสังคมไทยกำลังถกเถียงกันเรื่องความเหมาะสมของหลัก “หนึ่งสิทธิหนึ่งเสียง” ในการเลือกตั้ง ข้าพเจ้าหลงคิดไปว่าขณะหลับไปเมื่อคืนโลกได้หมุนย้อนเวลากลับไปกว่า 81 ปี ก่อนที่ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งครั้งแรกภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย
"ไม่มีชื่อ"
ไม่ว่าจะเห็นด้วยกับเสียงของ “ชาวบ้าน” หรือไม่ เสียงของพวกเขาก็ควรมีความหมาย มีสิทธิที่จะเปล่งออกมา และควรได้รับความสำคัญเท่า ๆ กับเสียงของชนชั้นกลางด้วยเช่นกัน แต่สังคมยังให้พื้นที่แก่เสียงของคนเหล่านี้น้อยมาก เมื่อเทียบกับพื้นที่ที่ให้แก่เสียงของชนชั้นกลาง ทั้ง ๆ ที่หลายกรณีเสียงและความต้องการของชนชั้นกลางที่อยู่ห่างออกไปจากพื้นที่ส่งผลต่อปากท้องและการทำมาหากินของพวกเขาโดยตรง     
"ไม่มีชื่อ"
เนื่องจากมันเป็นขบวนการและกระบวนการตอกย้ำความไม่เท่าเทียมกันของอำนาจในการแสดงออกซึ่งสิทธิเสียงระหว่างชนชั้นกลางกับชนชั้นล่างอย่างเห็นได้ชัด โดยผ่านการจัดลำดับชั้นสูงต่ำของ  “จิตสำนึกทางสิ่งแวดล้อม”
"ไม่มีชื่อ"
การบังคับสวมเครื่องแบบนักเรียน-นักศึกษาด้วยข้ออ้างว่าจะไม่ทำให้เกิดความแตกต่างหรือเพื่อลดความเหลื่อมล้ำนั้น เอาเข้าจริง ๆ มันก็แค่การกลบเกลื่อนความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่จริง และแสดงถึงการไม่ยอมรับความแตกต่างหลากหลายอย่างตรงไปตรงมามากกว่า