Skip to main content

ขนิษฐา คันธะวิชัย
สมาชิกชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพ

รื่นเริงบันเทิงใจและปลาบปลื้มชื่นชม...

เคยมีคนบอกกับฉันว่า ฉันไม่ควรไปร่วมงานวันชาติมอญในเมืองมอญเพราะฉันต้องเคารพความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีกรรมและความเป็นชนชาติของชาวมอญ จึงทำให้ฉันไม่แน่ใจว่าการใช้คำ “รื่นเริงบันเทิงใจ” หรือ “ปลาบปลื้มชื่นชม” จะเป็นการสมควรหรือไม่ แต่นั่นก็คือความรู้สึกที่ฉันได้รับจากการไปงานวันชาติมอญครั้งที่ 61 ที่จัดขึ้น ณ หมู่บ้านบ่อญี่ปุ่น (ปะลางเจปาน) ด่านเจดีย์สามองค์ ซึ่งเป็นหมู่บ้านมอญที่อยู่นอกพรมแดนประเทศไทย

งานวันชาติมอญนี้จัดกันหลายที่ทั่วโลกที่มีชุมชนมอญอยู่ ทั้งในไทย มาเลเซีย เกาหลีใต้ อังกฤษ แคนาดา สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา สวีเดน ฝรั่งเศส เนเธอแลนด์ ฯลฯ แม้แต่ในเมืองมอญเองก็ไม่ได้มีงานวันชาติเพียงแค่ในหมู่บ้านบ่อญี่ปุ่น ทุกหมู่บ้านต่างก็จัดขึ้นพร้อมๆ กัน โดยมอญทั่วโลกยึดเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือน 3 เป็นวันชาติมอญ  เนื่องจากเชื่อว่าเป็นวันก่อตั้งเมืองหงสาวดี เมืองหลวงของชาวมอญนั่นเอง ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 22 กุมภาพันธ์

สำหรับในประเทศไทยปีนี้ถือฤกษ์สะดวก จัดงาน“รำลึกบรรพชนมอญ” ในวันที่ 2-3 กุมภาพันธ์ ณ วัดบ้านไร่เจริญผล และก็เป็นเพียงการทำบุญให้บรรพชนและมีการแสดงทางศิลปวัฒนธรรมเพื่อการอนุรักษ์และธำรงค์วัฒนธรรม ไม่ได้มีการเปิดไฮด์ปาร์คด่าประเทศเพื่อนบ้าน หรือมีจุดมุ่งหมายแฝงทางการเมืองแต่อย่างใด เพียงแค่นี้ก็ยังทำให้หน่วยงานความมั่นคงในจังหวัดสมุทรสาครก็แทบจะนั่งไม่ติดเลยทีเดียว  

ฉันได้รับคำเชิญให้ไปร่วมงานวันชาติจากผู้ใหญ่ชาวมอญที่เคยติดต่องานกับฉัน ในเมื่อผู้ใหญ่บอกว่าจะส่งบัตร “เชิญ” มาให้ ฉันเป็นเด็กจะไม่ไปได้อย่างไร ในที่สุดฉันก็เข้าไปในหมู่บ้านบ่อญี่ปุ่นตั้งแต่คืนวันที่ 21 กุมภาพันธ์ โดยการดูแลของทหารหน่วยประสานมอญ และน้องๆ เยาวชนมอญที่มาจากเมืองมอญ พวกเราต้องเบียดกันไปบนรถปิ๊กอัพคันเดียวถึง 24 คน  แต่น้องๆ ทุกคนก็ไม่บ่นถึงความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าหน้าปะทะลมและฝุ่นแดง ในทางตรงกันข้าม กลับร้องเพลงภาษามอญกันอย่างสนุกสนาน แม้ฉันจะไม่เข้าใจเนื้อเพลง แต่สีหน้าและแววตาของคนร้องก็ทำให้ฉันรู้สึกได้ถึงความเบิกบานใจและความมุ่งมั่นของน้องๆ ฉันจึงรู้สึกเบิกบานใจและสนุกสนานไปด้วย สมาชิกคนหนึ่งบอกฉันว่าเพลงนี้เป็นเพลงปลุกใจ เนื้อหาเกี่ยวกับการไม่ลืมถึงเป้าหมายสูงสุดคือ การได้ปกครองตนเอง และการได้ชาติมอญกลับคืนมา

พวกเราไปถึงบ้านบ่อญี่ปุ่นเวลาเกือบสองทุ่ม งานมหรสพเริ่มแล้ว จริงๆ แล้วคืนก่อนนั้นก็มีงานเช่นกันแต่เป็นการแสดงศิลปวัฒนธรรม ส่วนคืนวันที่ 21 ที่ฉันไปถึงนั้นนี้มีการออกร้านจำหน่ายสินค้าต่างๆ เหมือนตลาดนัดทั่วไปที่ฉันเคยเห็นในเมืองไทย ฉันแวะร้านขายหมาก ซึ่งมีทั้งหมากป้ายปูนที่ชายชาวมอญชอบเคี้ยว และหมากที่ใส่มะพร้าวย้อมสีที่เพื่อนฉันบอกว่าผู้หญิงจะเลือกเคี้ยวหมากชนิดนี้มากกว่า และก็มีหมากฝรั่ง ลูกอม นับว่าเป็นร้านขายของแก้เหงาปากจริงๆ ฉันอยากจะลองซื้อหมากป้ายปูนมาเคี้ยวสักคำจะได้เป็นประสบการณ์ชีวิต แต่ก็กลัว “ยันหมาก” เลยได้แต่หยิบหมากฝรั่งที่ฉันนำติดตัวมาขึ้นมาเคี้ยวเล่นแทน แต่ฉันก็ได้อุดหนุนแม่ค้าไปนิดหนึ่ง ในตอนแรกฉันไม่รู้ว่าจะใช้เงินสกุลไหนซื้อของในหมู่บ้านบ่อญี่ปุ่น แต่ในเมื่อเขาบอกราคามาเป็นบาท ฉันจึงจ่ายเงินบาทไปปกติ ซึ่งก็เหมือนกับเมืองที่อยู่ติดชายแดนไทยทั่วไปที่เราใช้เงินบาทซื้อของได้เลย  

เดินไปอีกนิดก็เห็นซุ้มรณรงค์เรื่องป้องกันโรคเอดส์และการสอนวิธีคุมกำเนิด จัดโดยองค์กรเอกชนที่มาจากฝั่งไทย มีคำอธิบายทั้งภาษามอญและภาษาไทย น้องๆไปตอบคำถามได้ของรางวัลเป็นผงซักฟอก สมุด ดินสอ (และถุงยางอนามัย?) มากันหลายคน นอกจากนี้ยังมีหนังกลางแปลงและมีนักร้องนักดนตรีที่ไปจากฝั่งไทย เล่นเพลงไทย  เล่นเพลงไทยจริงๆ ไม่ได้พิมพ์ผิด

20080305 เยาวชนมอญในมือแม่ และธงชาติมอญในมือเยาวชน
เยาวชนมอญในมือแม่ และธงชาติมอญในมือเยาวชน

ฉันไม่นึกว่าจะได้ฟังเพลง “รักจางที่บางปะกง” หรือเพลงของ “พลพล” ในเมืองมอญ แล้วก็ไม่นึกด้วยว่าจะได้ยินเพลง “Slow Motion” ของโจอี้บอย ดังกระหึ่มออกมาจากบ้านคนมอญในเมืองมอญ แต่ว่าก็ว่าเถิด โลกาภิวัตน์เข้าไปถึงทุกหนทุกแห่ง แม้หมู่บ้านชนบทอย่างบ่อญี่ปุ่นก็คงไม่ใช่ข้อยกเว้น หรืออาจเป็นเพราะบ้านบ่อญี่ปุ่นเป็นหมู่บ้านที่อยู่ติดชายแดนไทย และมีคนมาทำงานในเมืองไทย จึงรับวัฒนธรรมและกระแสต่างๆ จากไทยไปมากก็เป็นได้ วัยรุ่นบางคนก็พูดภาษาไทยชัดมากและด่ากันเป็นภาษาไทยอย่างคล่องแคล่ว ภาษาอังกฤษก็พอพูดกันได้ เวลาที่ฉันสื่อสารภาษามอญอย่างกระท่อนกระแท่นออกไปแล้วเขาไม่รู้เรื่อง ฉันก็จะพูดภาษาอังกฤษ ซึ่งเขาก็ตอบฉันมาเป็นภาษาอังกฤษกันได้ทุกคน มากบ้างน้อยบ้าง เพราะมีอาสาสมัครที่เป็นฝรั่งมาสอนภาษาอังกฤษ อย่างในวันงานฉันก็เห็นอาสาสมัครที่เป็นฝรั่งประมาณ 3-4 คนมาร่วมงาน

วันที่ 22 กุมภาพันธ์อันเป็นวันงาน พวกเราตื่นมาแต่งตัวกันแต่เช้า ฉันสู้อุตส่าห์จำคำของศิษย์พี่ฉันซึ่งเป็นมอญเมืองไทยได้ว่า
“สไบเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้หญิงมอญ สมัยที่รุ่นพี่เด็ก ยังเคยได้ยินคนแก่ดุสาวๆ ถึงขั้นร้องไห้ เพราะว่าไม่ได้ห่มสไบมาวัด เพราะมีคำพยากรณ์ทำนายไว้ทำนองว่าเมื่อโลกจะถึงกาลวิบัตินั้นจะเกิดเหตุวิปริตให้เห็นหลายประการ เช่นน้ำจะท่วมโลก กาจะออกไข่เป็นหงส์ รวมทั้งผู้หญิงมอญจะพากันทิ้งสไบ”

จะเห็นได้ว่าสไบเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้หญิงมอญ ฉันจึงนำสไบสีแดงติดตัวมาด้วย เพราะรู้ว่าต้องใส่ชุดมอญ แต่ปรากฎว่าในกลุ่มที่ฉันไปด้วยนั้นมีเพียงฉันคนเดียวที่คล้องสไบ ส่วนคนอื่นใส่แต่เพียงเสื้อขาว หรือเสื้อยืดสีขาวพิมพ์ข้อความภาษามอญ มีน้อยคนนักที่ห่มสไบ เห็นแต่เพียงนางรำเท่านั้น

อ้าว ผู้หญิงมอญที่บ่อญี่ปุ่นไม่ห่มสไบกันแล้ว เอ...หรือว่าเขาใส่เฉพาะเวลาไปวัด นี่เป็น Culture shock อันหนึ่งที่ฉันพบตั้งแต่มาเรียนรู้วัฒนธรรมของชาวมอญ สิ่งที่ฉันฟัง “บรรยาย” มา กับสิ่งที่ฉันเรียนรู้ในสถานการณ์จริงนั้นไม่เหมือนกัน แต่ก็เข้าใจว่าเพราะสังคมมอญเองก็มีความหลากหลายอยู่ในตัวและต้องปรับตัวไปตามสภาพภูมิสังคมที่ต่างกัน จะให้มีความเชื่อ รายละเอียดประเพณีรวมทั้งความนึกคิดแบบเป็นพิมพ์เดียวกันคงเป็นไปไม่ได้ ฉันก็ต้องเรียนรู้ต่อไป

20080305 ขบวนธงสวนสนามของทหารมอญ
ขบวนธงสวนสนามของทหารมอญ

คนในหมู่บ้านเริ่มเดินทางมาบริเวณสนามที่จัดงานตั้งแต่เช้าตรู่ เช้านี้ฉันจึงได้เห็นว่ามีการประดับธงชาติมอญไว้หน้าบ้านทุกๆ บ้าน ทุกๆคนพร้อมใจกันแต่งโสร่งแดง ผ้าถุงแดง เสื้อขาว ส่วนชายก็ใส่เสื้อขาวตารางแดง ซึ่งถือกันว่าเป็นชุดประจำชาติมอญ นอกจากคนในหมู่บ้านแล้ว ยังมีชาวมอญในหมู่บ้านอื่นที่อยู่ใกล้เคียง เช่นชาวมอญจากสังขละมาร่วมงานด้วยจึงมีคนเต็มสนาม

20080305 แถวเยาวชนมอญจากหมู่บ้านต่างๆ ที่มาร่วมในพิธี
แถวเยาวชนมอญจากหมู่บ้านต่างๆ ที่มาร่วมในพิธี

ส่วนงานนั้นเริ่มตั้งแต่เวลาประมาณ 7.00 น. มีการสวนสนามของทหารมอญที่ประจำการณ์อยู่แถบเจดีย์สามองค์ หัวแถวเป็นขบวนกลองสวนสนาม ตามด้วยขบวนธงชาติมอญ ขบวนทหารชายและทหารหญิง จากนั้นเป็นการกล่าวสุนทรพจน์โดยนายชานตอย รองเลขาธิการพรรคมอญใหม่ (Nai Chan Toik – Joint Secretary of New Mon State Party) นายทหารมอญระดับสูง ประธานจัดงาน และตัวแทนมอญเมืองไทย แม้ฉันจะฟังภาษามอญไม่ออกแต่ก็พอจับใจความได้ว่าหลายๆ ท่านได้พูดย้อนไปตั้งแต่พระเจ้าสมละ และวิมละ กษัตริย์สองพี่น้องที่เกี่ยวข้องกับตำนานการสร้างเมืองหงสาวดี

 

20080305 การกล่าวสุนทรพจน์ของตัวแทนพรรคมอญใหม่
การกล่าวสุนทรพจน์ของตัวแทนพรรคมอญใหม่


ในตอนหนึ่งของการกล่าวสุนทรพจน์ ผู้ใหญ่ในงานท่านหนึ่งกล่าวว่า เราชาวมอญควรก้าวตามกระแสโลกาภิวัฒน์ให้ทัน และควรเพิ่มพูนความรู้เพื่อก้าวไปข้างหน้า อย่าคิดแต่เรื่องหนหลังอย่างเดียว ผู้ใหญ่อีกท่านได้กล่าวถึงสถานการณ์ “สมองไหล” ว่า ปัญหาปัจจุบันของชาวมอญนี้คือคนมอญที่มีความรู้นั้นได้ไปเรียน ไปทำงานหรือทำธุรกิจในประเทศอื่นแล้วไม่ได้กลับมา ซึ่งคนมอญควรอยู่ในประเทศของเรา จริงๆ แล้วผู้ที่กล่าวสุนทรพจน์มีมากกว่านี้ แต่นี่เป็นข้อความที่เพื่อนมอญของฉันแปลให้ฟัง ในขณะที่ข้อความอื่นเธอไม่ได้แปล ฉันเข้าใจว่านี่คงเป็นข้อความที่โดนใจเธอ และเธอเห็นด้วย ถึงแปลให้ฉันฟังอย่างกระตือรือร้นโดยที่ฉันไม่ต้องถาม

20080305 กองทหารเกียรติยศหน้าปะรำพิธีและผู้มาร่วมงาน
กองทหารเกียรติยศหน้าปะรำพิธีและผู้มาร่วมงาน

สิ่งที่ฉันชอบในงานนี้คือการร้องเพลงของเยาวชนมอญนี่เอง หลังจากประธานในพิธีเดินทางกลับ ก็มีการแสดงบนเวที หนึ่งในนั้นคือการร้องเพลงของเยาวชนมอญ ซึ่งมีเนื้อหาในทำนองว่า ชาวมอญควรเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อประเทศของเรา เราหวังว่าวันหนึ่งเราจะได้เลือกผู้นำที่ดีมาปกครองประเทศของเรา หงส์จะบินคืนสู่แผ่นดินมอญ การที่มอญไม่มีประเทศเพราะถูก “เขา” รังแก อย่างไรก็ตาม เหตุที่ฉันชอบนั้นไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อหาในเพลง แต่เป็นเพราะว่าในขณะที่ฉันถ่ายรูปเหล่านักร้องบนเวทีนั้น คนข้างล่างเวทีที่อยู่ใกล้ๆฉันก็พากันร่วมร้องเพลงนี้ด้วย เมื่อมองเข้าไปในสายตาของแต่ละคน ก็เห็นประกายแบบเดียวกับที่ฉันเห็นจากน้องเยาวชนมอญกลุ่มที่ฉันเดินทางมาด้วย เป็นประกายของความมีจุดมุ่งหมาย สิ่งนี้ทำให้ฉันอดชื่นชมไม่ได้ แม้ฉันจะไม่ใช่ชาวมอญ แต่เมื่อได้มาอยู่ในสถานที่ที่มีรัศมีแห่งความหวัง ความเบิกบานใจและความมุ่งมั่นเปล่งประกายเช่นนี้ ก็ย่อมทำให้ฉันมีความสุขและปลาบปลื้มไปด้วย

เยาวชนมอญ...แม้จะเปิดเพลงโจอี้บอยดังลั่น แต่หน้าบ้านก็ยังประดับธงมอญ
เยาวชนมอญ...แม้จะด่ากันเป็นภาษาไทยบ้าง แต่ก็นุ่งโสร่งแดงมางานวันชาติมอญ

แม้ว่ากำลังทหารและอาวุธอาจจะสู้เขาไม่ได้ แต่ก็มี “สำนึกรักชาติของเยาวชนมอญ” ที่ฉันเห็นว่าเป็น “ยุทธปัจจัย” ที่สำคัญกว่ากระสุนปืนหรืออาวุธทรงอานุภาพใดๆ

นี่คือความประทับใจของฉันที่มีต่อเยาวชนมอญและงานวันชาติมอญ ณ หมู่บ้านบ่อญี่ปุ่น
   

บล็อกของ องค์ บรรจุน

องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุนหลวงพ่อสมาน วัดชนะสงคราม ที่เคยเลี้ยงดูส่งเสีย ข้าวแกงก้นบาตรราดรดหัวผมมาจนเรียนจบปริญญาตรีเมื่อสิบกว่าปีก่อน ท่านชอบเปรียบเปรยลูกศิษย์ลูกหาและใครต่อใครที่ลืมคุณคนด้วยสำนวนมอญที่ไม่พ้นไปจากเรื่องการกินการอยู่ เป็นต้นว่า "ใหญ่เหมือนช้าง ยาวเหมือนงู" (แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน)"กินผลฟันต้น เก็บร่มหักก้าน" (กินบนเรือนขี้บนหลังคา)"ข้าวแดงแกงร้อน" (สำนึก)"เสียข้าวสุก" (เนรคุณ)แต่ที่ผมเสียวแปลบไปถึงขั้วหัวใจทุกครั้งเมื่อถูกท่านเหน็บเอาว่า"ข้าวสุกไม่มียาง" (ก็เนรคุณอีก)
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุน"มอญร้องไห้" ร้องทำไม ร้องเพราะไม่มีแผ่นดินจะอยู่ หรือญาติเสีย...?ถูก...ญาติเสีย แต่ต้องระดับคนมีหลานเหลนแล้ว และเป็นที่เคารพรักของผู้คนเท่านั้น หากญาติที่เสียชีวิตอายุยังน้อย แม้จะเสียใจก็ร้องไห้กันไปตามมีตามเกิด ไม่มีการทำพิธีกรรมให้เป็นพิเศษแต่อย่างใดมอญร้องไห้ เป็นมีพิธีกรรมของคนมอญ ซึ่งถือปฏิบัติสืบต่อกันมาในงานศพ เป็นการแสดงความอาลัยรักของลูกหลาน ที่สำคัญเป็นการยกย่องและรำลึกถึงคุณงามความดีของผู้ตายที่เคยทำไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิต โดยมากแล้วผู้ร้องจะเป็นหญิงสูงอายุและเป็นเครือญาติกับผู้ตาย เนื้อหาที่ร้องพรรณนาออกมานั้นจะได้ออกมาจากใจ…
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุน สำนวนไทยที่กล่าวถึงการแย่งศพมอญ นั่นคือ “แย่งกันเป็นศพมอญ” หากพิจารณาความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ที่มีความหมายว่า ยื้อแย่งกัน ซึ่งใช้ในเชิงเปรียบเทียบ๑ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สำนวนนี้มีที่มาจากประเพณีมอญแต่โบราณ และคำว่า “แย่ง” นั้นก็เป็นแต่อุบาย ที่หมายให้ผู้คนทั้งหลายหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน วัฒนธรรมประเพณีมอญหลายประการที่คนไทยยอมรับมาอย่างหน้าชื่นตาบาน เช่น ประเพณีสงกรานต์ ตักบาตรน้ำผึ้ง ล้างเท้าพระ ดนตรีปี่พาทย์นาฏศิลป์ เหล่านี้เป็นหัวใจของไทยที่รับมาจากมอญ และทำการปรับเปลี่ยนให้เป็นของตนอย่างกลมกลืน…
องค์ บรรจุน
“...ต้องการแม่ครัว (หรือพ่อครัวก็ได้) ๑ ตำแหน่งค่ะ ทำงานที่ระยองนี่ล่ะ...”“ชาวพม่าเอาไหมครับ ถ้าเอามีเยอะเลย ข้างบ้านเขาทำธุรกิจแรงงานพม่าอยู่น่ะ...”“พม่าทำกับข้าวอร่อยหรือเปล่าคะ”“…มีข่าวบ่อยๆ ว่า แรงงานต่างด้าว ไม่ใช่ต่างดาว ฆ่านายจ้าง ระวังไว้นะ”“พม่าเอาแบบนุ่งกางเกงนะ ห้ามนุ่งโสร่ง เดี๋ยวจะเพิ่มเส้นให้มามากเกินไป...ง่ะ...๕๕๕++”ฯลฯข้อความโต้ตอบในกระดานสนทนาเว็บไซต์หางานแห่งหนึ่ง ที่ผู้เขียนเข้าไปพบโดยบังเอิญ เมื่อปลายปีที่แล้ว ข้อความโต้ตอบข้างต้นสะท้อนแง่คิดของคนไทยกลุ่มหนึ่งได้อย่างแปรปรวนชวนสงสัย น่าแปลกที่คนไทยเรามีสายตาที่มองคนพม่าในแบบที่ทั้งหวาดกลัว ไม่ไว้วางใจ เป็นตัวตลก…
องค์ บรรจุน
ขนิษฐา คันธะวิชัย   ปกติฉันทำงานที่ตึกประชาธิปก-รำไพพรรณี ซึ่งอยู่ติดกับคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ จึงมักจะไปทานอาหารที่โรงอาหารของคณะเศรษฐศาสตร์ ในช่วงแรกๆ ที่ฉันมาเรียนที่จุฬาฯ ก็ได้ยินคนขายอาหารพูดกันเองว่า   “คนเก็บจานที่มาใหม่น่ะ พูดอังกฤษคล่องเชียว เป็นคนพม่า พูดไทยไม่ได้ เวลาจะให้ทำอะไรแกต้องสั่งเขาเป็นภาษาอังกฤษนะ” ฉันเลยรับรู้มาตั้งแต่นั้นว่า โรงอาหารแห่งนี้มีแรงงานข้ามชาติจากพม่าทำงานอยู่ (พอดีตอนนั้นเรียนเรื่องการย้ายถิ่นข้ามชาติอยู่ด้วย) หลังจากนั้นก็จะได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับแรงงานพม่ามาตลอด ว่าที่เราเข้าใจว่าเป็น “แรงงานพม่า” นั้น แท้จริงแล้วอาจเป็นได้ทั้งพม่า…
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุน เครื่องนุ่งห่มนั้นเป็นหนึ่งในปัจจัย ๔ ของมนุษย์ เพื่อปกปิดร่างกายคุ้มภัยร้อนหนาวจากธรรมชาติ กันขวากหนามงูเงี้ยวเขี้ยวขอขบเกี่ยว และที่สำคัญ ปิดกายให้พ้นอาย รวมทั้งเสริมแต่งให้ชวนมอง ส่วนการตกแต่งร่างกายตามความเชื่อและลัทธิทางศาสนานั้นน่าจะเกิดขึ้นด้วยเหตุผลหลังสุดและมีความสำคัญรองลงมา การตกแต่งร่างกายนั้นเป็นความจำเป็นที่มนุษย์ใช้เรียกความสนใจจากเพศตรงข้าม นำไปสู่การดำรงเผ่าพันธุ์ อันต่างจากสัตว์ที่เป็นไปตามสัญชาติญาณ และมีแรงดึงดูด (ฟีโรโมน) ในตัว สามารถส่งเสียง สร้างสี ส่องแสง แต่งกลิ่น ล่อเพศตรงข้าม แต่มนุษย์ไม่มีสิ่งเหล่านั้นจึงต้องสร้างขึ้น…
องค์ บรรจุน
สุกัญญา เบาเนิด งานบำเพ็ญกุศลถวายพระศพสมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๑ ที่ผ่านมา ซึ่งชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพฯและชาวไทยเชื้อสายมอญจากทั่วประเทศร่วมกันเป็นเจ้าภาพ ถึงแม้จะเหน็ดเหนื่อยในฐานะกรรมการจัดงาน แต่ก็รู้สึกอิ่มเอมใจกับภาพที่เห็นและบรรยากาศที่ได้สัมผัส ถือเป็นงานใหญ่ที่คนมอญได้แสดงออกซึ่งขนบธรรมประเพณีอันดีงาม มิเสียชื่อที่เป็นชนชาติที่รุ่งเรืองทางด้านอารยธรรมมาก่อน ดังนั้นเพื่อเป็นการรักษาและสืบทอดธรรมเนียมมอญโบราณ และเป็นการถวายพระกุศลแด่พระศพสมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์…
องค์ บรรจุน
ขนิษฐา คันธะวิชัย “สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พราวพราย” กลอนภาษาไทยข้างต้นเป็นกลอนที่ฉันได้ยินมาแต่เด็ก เมื่อมาเขียนบทความนี้ก็พยายามหาว่าใครเป็นคนแต่ง ซึ่งส่วนใหญ่บอกว่ามาจากเชคเสปียร์ที่บอกว่า “Two folks look through same hole, one sees mud, one sees star” ส่วนผู้ที่ถอดเป็นภาษาไทยนั้น ยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ว่าใครเป็นคนถอดความและประพันธ์กลอนนี้ อย่างไรก็ตาม ฉันเข้าใจว่ากลอนบทนี้กล่าวถึงการมองสรรพสิ่งที่เป็นสิ่งเดียวกัน แต่ว่าต่างคนอาจมองได้ต่างกัน และเมื่อฉันโตขึ้น ฉันก็ได้เห็นประจักษ์ถึงความเป็นไปตามคำกล่าวนั้น…
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุน ผีที่คนมอญนับถือ มิใช่ผีต้นกล้วย ผีตะเคียน ผีตานี ผีจอมปลวก แต่เป็นผีบรรพชน ผีปู่ย่าตายายของเขา สิ่งที่รัดโยงและธำรงความเป็นมอญที่สำคัญสิ่งหนึ่งคือ “การนับถือผี” ผีเป็นศาสนาแรกของทุกชาติทุกภาษา คนมอญนับถือผีควบคู่กับพุทธศาสนา เคารพยำเกรงไม่กล้าฝ่าฝืน การรำผีนอกจากเป็นการเซ่นไหว้ผีประจำตระกูลแล้ว ยังเป็นการรักษาโรคด้วย หากเทียบกับการรักษาโรคในปัจจุบันอาจเรียกได้ว่า เป็นจิตวิทยาการแพทย์ ในบรรดาการรักษาโรคที่หลากหลายของมอญ เช่น การรักษาด้วยสมุนไพร การนวด คาถาอาคม และพิธีกรรม เช่น การทิ้งข้าว (เทาะฮะแนม) การเสียกบาล (เทาะฮะป่าน) ส่วนพิธีกรรมที่ใหญ่ที่สุดคือ การรำผี (เล่ะฮ์กะนา…
องค์ บรรจุน
ภาสกร อินทุมาร ชลบุรีอาจจะเป็นจังหวัดที่ไม่มีใครคิดว่าจะมีชุมชนคนมอญตั้งอยู่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะคนส่วนใหญ่จะรู้จักเฉพาะมอญเกาะเกร็ดและมอญพระประแดงเท่านั้น... แต่ถึงอย่างไรก็ดี ชลบุรีก็ยังมีคนมอญอยู่ที่ “วัดบ้านเก่า” ซึ่งมีชื่อเดิมว่า “วัดบ้านมอญ” แห่งตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี และความน่าสนใจของคนมอญของที่นี่ อยู่ที่ “พระ”   วัดบ้านเก่า (วัดบ้านมอญ) ตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี
องค์ บรรจุน
  สุกัญญา เบาเนิดในช่วงเวลาที่ทุกคนกำลังนิยมสวมในเสื้อเหลือง เสื้อฟ้า เสื้อชมพู (ประดับตราสัญลักษณ์) ด้วยความรู้สึกที่ต้องการแสดงออกถึงความจงรักภักดี หรือจะด้วยความรู้สึกอื่นใด...ทำให้เรารับรู้ได้ว่าการมีเสื้อผ้าไม่ใช่มีไว้ห่อหุ้มร่างกายอย่างเดียว  แต่เสื้อผ้ายังแฝงไว้ด้วยความหมายหลายสิ่งอย่างอยู่ในนั้น ไม่ว่าจะเป็นสี หรือ ลวดลาย  กล่าวกันว่าการกระทำของคนเรานั้นเป็นการกระทำในเชิงสัญลักษณ์ ดังนั้นเสื้อผ้าก็เป็นสัญลักษณ์ในการสื่อสารเรื่องราว เป็นตัวแทนความคิด และแทนความรู้สึกร่วมของคนในกลุ่ม  แรงงานมอญที่อพยพเข้างานทำงานในมหาชัย (จังหวัดสมุทรสาคร)…
องค์ บรรจุน
ขนิษฐา คันธะวิชัย ตอนเล็กๆ ผู้เขียนมักจะได้ยินคำกล่าวที่ว่า “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” หรือ “ผีเสื้อขยับปีกทำให้เกิดพายุ” ซึ่งเป็นคำพูดที่ใช้เรียกทฤษฎีความอลวน (Chaos Theory) กระนั้นผู้เขียนก็ไม่ได้สนใจว่าทฤษฎีนี้มีเนื้อหาอย่างไร แต่ก็มีผู้อธิบายว่า “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” นี้เป็นการอธิบายว่าการที่เราเริ่มทำสิ่งหนึ่งอาจส่งผลลัพธ์ไปถึงสิ่งที่อยู่ไกลๆ ได้ เพราะทุกสิ่งมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงซึ่งกันและกันเกินกว่าที่เราจะตระหนัก ตอนนี้ผู้เขียนเปิดคอมพิวเตอร์ เปิดไฟ เปิดพัดลม การกระทำเหล่านี้จะส่งผลให้เกิดสิ่งใดในพื้นที่ที่ห่างออกไปได้หรือไม่ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน…