Skip to main content

  1. 

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมเขียนถึงพ่อ

หลังจากพี่ชายเข้ามาในตัวเมือง เพื่อส่งข่าวให้รับรู้  

"พ่อเข้าโรงพยาบาลเมื่อวานนี้ พ่อเปลี่ยนไปมาก ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว…"

          จริงสิ, ก่อนนั้นพ่อเป็นคนแข็งแกร่ง แข็งแรง แต่ไม่กี่ห้วงปีมานี้พ่อเปลี่ยนไปมาก พ่อเริ่มอ่อนระโหยโรยแรง  ร่างกายซูบผอม ใบหน้าซีดเซียว ดวงตาดูหม่นพร่า  หม่นมัว ปวดเนื้อปวดตัวปวดแปลบในกระดูก โรคของความชรา

          "ใช่. คงอีกไม่นาน…"  พี่ชายเอ่ยกับผมเบาๆ

ผมพยักหน้าเข้าใจ- -มันเป็นธรรมดาของชีวิต  ทว่าครั้นเหลียวแลไปข้างหน้าอีกที  ผมกลับรู้สึกใจหายและเงียบงัน

แล้วภาพชีวิตในอดีตเริ่มผุดพรายเข้ามาในห้วงคำนึง

  2.

                พ่อผมเป็นชาวนา

ผมภูมิใจในความเป็นชาวนาของพ่อ  ร่างเล็ก ผิวกรำกร้าน กับความมุ่งมั่นขยันทำงาน หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ไม่รู้จักความเหน็ดเหนื่อยหรือสิ้นหวัง

ผมยังจดจำภาพเก่าๆ นั้นได้แจ่มชัด

ภาพของพ่ออยู่กลางท้องทุ่งของชีวิต  ท่ามกลางแสงแดดแผดกล้าเริงแรง  พ่อก้มๆ เงยๆ ใช้สองมือจ้วงเข้าไปในเนื้อดินดำน้ำชุ่มในนาที่เตรียมไถหว่าน  ขุดดินมาโปะกั้นปั้นคันนาที่ล่มผุกร่อนขาดให้กลับมาใช้งานได้เหมือนเช่นปีก่อนๆ

ภาพของพ่อหาบคอนตระกร้าไม้ไผ่ใส่ต้นข้าวกล้าไต่ไปตามคันนา  มือข้างหนึ่งจับลำไม้ไผ่ที่ใช้แบกคอน  มืออีกข้างหนึ่งของพ่อล้วงข้าวกล้าเหวี่ยงโยนลงไปตามท้องนา เป็นจังหวะกะช่วงระยะห่างนั้นไว้   พ่อเปรอะเปื้อนด้วยเนื้อดินโคลน ติดเต็มใบหน้า เนื้อตัวและแขนขา

ห้วงขณะนี้เหมือนผมกำลังสัมผัสถึงอายดินกลิ่นโคลน  ผสานผสมกลิ่นเหงื่อที่ผุดซึมผ่านกายจนเสื้อผ้าเปียกชื้นของพ่อ  ล่องลอยมาแต่ไกล

พ่อเคยเล่าให้ผมฟังว่าตอนที่ผมยังไม่เกิด พ่อกับแม่ช่วยกันขนข้าวเปลือก ฟักแฟง แตงกวาใส่เต็มคันล้อเกวียน  วัวต่างของพ่อค่อยๆ ขับเคลื่อนออกจากหมู่บ้านกลางป่าลึกอย่างช้าๆ  ไต่ไปตามทางเกวียนแคบๆ คดเคี้ยวผ่านดงป่าและหุบเหว  หวังเพียงนำข้าว ผลิตผลจากนาไร่เข้าไปถึงตลาดเมืองงายที่อยู่ไกลออกไป  เพื่อแลกกับเกลือ เสื้อผ้า ยารักษาโรค และสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น

นานและนานเป็นแรมเดือนกว่าจะไปถึงจุดหมาย

ครั้งหนึ่ง,ล้อเกวียนที่กำลังหมุนวนไปข้างหน้านั้นได้ไต่ขึ้นก้อนหินก้อนใหญ่พลิกคว่ำล้ม…  ร่างของพ่อได้ถูกกระชากเหวี่ยงตกลงไปใต้ท้องเกวียน  ล้อเกวียนทับแผ่นหลังของพ่อ!!

แต่ความตายไม่สามารถกระชากชีวิตพ่อไปได้  พ่อยังคงกัดฟันหยัดร่างลุกขึ้น,หวนคืนกลับสู่หมู่บ้าน

กลับไปต่อสู้กับวิถีชาวนาและความจนได้อีกครั้งหนึ่ง  

3.

พ่อผมเป็นพรานป่า

นานมาแล้ว, พ่อเคยเล่าให้ผมฟังว่าก่อนนั้นบ้านเราอยู่ในป่าดงลึก  กระท่อมของเรานั้นแวดล้อมด้วยดงป่าสักสูงใหญ่ปกคลุมรกครึ้มเย็น  สิงสาราสัตว์เพ่นพ่านอยู่เต็มไปหมด

ครั้นผมโตพอจำความได้ทุกครั้งในห้วงยามเย็น, ผมมักเห็นผู้คนต่างตะโกนป่าวร้องดังด้วยความยินดีปรีดา  เมื่อพ่อสะพายปืนลูกซองคู่ใจเดินเข้ามาสู่หมู่บ้าน 

พร้อมหมูป่าตัวใหญ่สีดำแน่นิ่งอยู่บนบ่าอันแข็งแกร่งของพ่อ

          ……………………………………..

"พ่อกับเสือ"

ดูไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับพ่อ ที่ใครๆ มักเห็นพ่อแบกร่างเสือ  สัตว์ที่ดุร้ายที่สุดเข้ามาในหมู่บ้าน  เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่า พ่อเป็นพรานป่าที่มีฝีมือเก่งกาจคนหนึ่ง

บ่อยครั้ง,ที่พ่อออกไปล่าสัตว์ในป่าลึกเพียงลำพัง อยู่กับความเงียบ  อยู่กับความมืด  อยู่กับตัวเอง  ทุกคนต่างยอมรับในความโดดเดี่ยวและเด็ดเดี่ยวของพ่อ

ผมยังจำได้ว่า  วันหนึ่ง พ่อพาพี่ชายเข้าไปฝึกล่าสัตว์ในป่าทางตอนเหนือของหมู่บ้าน  ลึกเข้าไปบนดอยผาแดงที่สูงชัน 

ในห้วงนั้นยามพลบค่ำ ความมืดเริ่มเข้ามาเยือนป่าทั้งป่า

พ่อกับพี่ชายช่วยกันรีบทำนั่งห้างบนคาคบไม้ใหญ่

เพียงชั่วยามแห่งค่ำคืน,ความมืดพลันห่มคลุมไปทั่ว

ในห้วงขณะนั้น, พ่อรู้สึกถึงความเงียบผิดปกติ  ไม่มีสายลม  ใบไม้หยุดนิ่ง,ทว่ามีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหว

พ่อกระซิบเบาๆ บอกพี่ชายให้นิ่งเงียบ  อย่าเคลื่อนไหว

มีเสียงสวบสาบดังใกล้เข้ามา- - ตรงลานดินเบื้องล่างใต้นั่งห้างตรงนั้น, พ่อพยายามเพ่งสายตาฝ่าไปในความมืด  มองเห็นลางๆ  ว่ามีเงาตะคุ่มๆ เดินวนเวียนไปมาอยู่อย่างนั้น  เหมือนมันกำลังได้กลิ่นของความไม่คุ้นเคย

พ่อยกปืนประทับบ่าดวงตาไม่กระพริบจ้องเล็งลงไปข้างล่าง

กลั้นหายใจชั่วขณะก่อนกดเหนี่ยวไก

 "เปรี้ยง!!"

เสียงปืนแผดระงมดังก้องป่าก่อนเงียบงัน

…………………………………………………….

…………………………………………………….

เป็นค่ำคืนอันเหน็บหนาวทารุณ  และช่างเป็นการรอคอยอันยืดยาวนาน

ทั้งพ่อทั้งพี่ชายต่างรู้สึกอึดอัด  ฝืนทนนิ่ง  ไม่ยอมหลับนอนอยู่ข้างบนนั้น บนนั่งห้าง,บนต้นไม้ใหญ่

ไม่มีใครกล้าเดาหรือล่วงรู้ได้ว่า,ร่างที่แน่นิ่งอยู่เบื้องล่างนั้นคือสัตว์ร้ายหรือภูติผีตนใด และไม่มีทางรู้ว่ามันตายสนิทแล้วหรือไม่!?

จวบจนใกล้แจ้ง,ฟ้าเริ่มเปิด จนเริ่มมองเห็นลายมือของตนเองลางๆ นั่นแหละ

จึงรู้ว่า ร่างที่แน่นิ่งอยู่ข้างล่างนั้น  คือ เสือตัวใหญ่มหึมา!!

พ่อกับพี่ชายค่อยๆ ไต่ลงจากนั่งห้าง  ลงมาพลิกร่างดูไปมา

"เสือไฟ!!…"  พ่อเอ่ยบอกพี่ชาย ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นระคนดีใจ  พร้อมกับเฝ้าครุ่นคิดหาวิธีขนมันกลับ

"ตัวมันใหญ่มาก  พ่อคงแบกกลับไม่ไหวแน่…"  พ่อบอกกับพี่ชาย

พอดีชาวม้งเดินป่าเข้ามาพบ, สนใจอยากขอซื้อเสือไฟตัวนี้  พ่อจึงแบ่งขายให้

พ่อชำแหละเนื้อหนังออกมาบางส่วน  และที่สำคัญ "เขี้ยวเสือไฟ" สิ่งที่พ่อต้องการมานานนัก  นอกนั้นพ่อยกให้ชาวม้งไป  

4.

ทุกครั้ง,ในยามที่ผมป่วยไข้ไม่สบาย  ตัวร้อนเป็นฟืนไฟ  สั่นสะท้านเหมือนโดนผีร้ายเข้าสิงร่าง

พ่อจะลุกขึ้นไปหยิบขนเสือไฟที่แม่เย็บห่อด้วยเศษผ้ามาผูกติดกับตัวผม

ว่ากันว่า- -เสือไฟ  เป็นพญาแห่งเสือ เป็นเจ้าแห่งสัตว์ป่า

แม้กระทั่งภูติผี ความชั่วร้ายใดๆ ยังกลัวเกรง

"เมื่อใดที่เข้าไปในป่าลึก ไม่ต้องกลัวว่าสัตว์ร้ายหรือภูติผีจะเข้ามากล้ำกราย  ถ้าเราเอาเขี้ยวเสือไฟแขวนคล้องคอ  มันจะเลี่ยงหนีหายไปหมด" พ่อบอกผม

พ่อยังบอกกับผมอีกว่า  หากวันใดที่เข้าไปในป่าลึก  เมื่อมีพายุพัดกระหน่ำรุนแรงพวกพรานป่าเขาจะเอาขนเสือไฟมาจุดไฟเผาและอธิษฐาน  เพียงชั่วครู่พายุที่พัดโหมจะหยุดนิ่งทันใด.

ผมนิ่งฟังพ่อเล่าเรื่องราวในป่าใหญ่ด้วยความรู้สึกสนุกสนานและตื่นเต้น


5.

นานหลายปีแล้วที่ผมจากบ้านมาไกล

ครั้นยินข่าวของพ่อจากพี่ชาย  ทำให้ผมคิดถึงพ่อ  คิดถึงความหอมหวานของชีวิตบ้านนาป่าดอย  คิดถึงกระท่อมหลังเก่า  คิดถึงความกล้าแกร่งของพ่อ  แม้ในห้วงยามนี้, พ่อจะเปลี่ยนไปมาก ด้วยโรคของความชราโรย  เรี่ยวแรงเริ่มถดถอยน้อยลง  แต่สำหรับผมในห้วงยามนี้  พ่อยังคงงดงามในความรู้สึกของผมตลอดมา  พ่อยังเป็นวีรบุรุษในดวงใจของผม  ยังเป็นชาวนาที่ผมภาคภูมิใจ  เป็นพรานป่าที่กล้าหาญ… 

"พรุ่งนี้ผมจะกลับบ้าน" ผมรำพึงกับตัวเอง.

                   ………………………………………

*** งานชิ้นนี้เขียนขึ้นเมื่อครั้งเช่าบ้านอยู่แถบชานเมืองเชียงใหม่

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

   

 

 

 

 

    

 

 

 

   

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
“พระจันทร์กำลังขึ้นในหุบเขาผาแดง...” เสียงของเจ้าธันวา ลูกชายกวีเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น กับภาพที่ฉายอยู่เบื้องหน้า พระจันทร์ดวงกลมโตกำลังเดินทาง โผล่พ้นหลังดอยผาแดงอย่างช้าๆ ก่อนลอยเด่นอยู่เหนือยอด ลอยสูงขึ้นไปบนเวิ้งฟ้าราตรี  0 0 0 0 อีกหนึ่งความทรงจำที่ตรึงผมไว้กับการเดินทางวันนั้น เป็นการเดินทางช้าๆ ไม่เร่งรีบ เรียบง่าย ไม่มีเป้าหมาย แต่เราได้อะไรๆ จากความเรียบง่ายนั้นมามากมาย เมื่อผมนัดกับพี่ชายกวี ‘สุวิชานนท์ รัตนภิมล’ คนเขียนหนังสือ คนเขียนเพลง คนเขียนคำกวี เพื่อไปค้นหาความลี้ลับบางอย่างกลางป่า
ภู เชียงดาว
เหมือนว่าอดีตกำลังกวักมือเรียกหาเหมือนว่าปัจจุบันกำลังคลี่เผยความลับอยู่เบื้องหน้าฉันรู้สึกตื่นเต้น อยากก้าวย่างไปบนทางสายนั้น ถนนความหวังและความใฝ่ฝันภูเขาลูกนั้นที่ฉันคุ้นเคย แม่น้ำสายนั้นที่ฉันฝันถึงป่าไม้ผืนนั้นยังตรึงไว้ในดวงตากับสายลมเริงร่า กลางทุ่งหญ้าสีทอง แหละนั่นตะวันเจิดจ้า กับท้องฟ้าสีฟ้าเบิกบานสดใสเพราะโลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่เพราะโลกใบนี้ยังไม่โหดร้ายเกินไปนักฉันจึงออกเดินทาง ไกลแสนไกลไปตามหาความฝันอันกว้างใหญ่ไปค้นหาความหวังใหม่ไม่รู้จบเพราะโลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่เพราะโลกใบนี้ยังไม่โหดร้ายเกินไปนักฉันจึงศรัทธา คิดและฝัน...ฉันจึงออกเดินทาง....…
ภู เชียงดาว
เธอมิใช่ผู้หญิงที่สูงศักดิ์หากคือหญิงผู้แน่นหนักรักยิ่งใหญ่รักในอิสรภาพ ความเป็นไทรักต่อสู้ เพื่อสิ่งยากไร้- -ในสังคมเธอมิใช่เป็นเจ้าหญิงในตำนานหากทำงานกับปัญหาอันหมักหมมกระชากแหวก กรอบมายา ค่านิยมเพียรเพาะบ่มความแกร่งกล้า- -พยายามเธอเฝ้าเรียน เฝ้าฝืนและตื่นรู้แม้อยู่ท่ามกลางสายตาที่เหยียดหยามหากเธอยังต่อสู้กับความเสื่อมทรามแม้จักผ่านกี่ห้วงยามความเลวร้าย !ใช่,และเธอไม่ได้ต่อสู้เพื่อตัวเองหากเปล่งเสียงร้องปกป้องชนทั้งหลายเพื่อภราดรภาพ เสรีภาพของหญิงชายเพื่อเปล่งแสงแห่งความหมาย- -ความเท่าเทียม !เธอคือหญิงนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่มีจิตใจกล้าหาญชาญยอดเยี่ยมเธอประกาศยืนหยัด...“ความเท่าเทียม”…
ภู เชียงดาว
ที่มาภาพ : http://www.aromdee.net/pic_upload/Sep07/p2120_1.jpgในวันฟ้าเปลี่ยนสีข้ามองเห็นสัตว์การเมืองเปลี่ยนร่างบ้างสลัดคราบทิ้งกลายพันธุ์บ้างเกาะเกี่ยวกระหวัดรัดกันสมสู่ เสพสม กลิ้งเกลือกกองอาจมกิเลส ความใคร่อยาก อำนาจไม่รู้จบอา- - ข้ามองเห็นผู้คนเดินผ่านไปมา มองเห็นแล้วส่ายหน้าหดหู่ใจ...............ผมค้นบทกวีที่ผมแต่งเอาไว้นานแล้ว ออกมาอ่านอีกครั้งหนึ่ง...หลังมีข่าวว่าสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งในนามว่า “เหี้ย” ออกมาผสมพันธุ์กันในทำเนียบรัฐบาล แหละนี่คือ "เบื้องหลัง 'เหี้ย' หลงฤดู โชว์อึดเสพเมถุน-เล้าโลมเป็นชั่วโมง ในทำเนียบหลังตึกไทยคู่ฟ้า" ที่เผยแพร่ใน ‘มติชนออนไลน์’…
ภู เชียงดาว
เมื่อวันก่อน เพื่อนนักเขียนสาวเมืองเหนือ นาม “สร้อยแก้ว คำมาลา” ส่งข่าวมาบอกว่า จะเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ที่ ‘ร้านเล่า’ เชียงใหม่ ในช่วงเย็น วันที่ 12 ก.พ.นี้ พร้อมกับชักชวนผมเข้าไปร่วมวงคุยกับศิลปินนักเขียนเมืองเหนือกันด้วย“ชื่อหนังสือ... เพราะคิดถึง... เป็นรวมความเรียงที่เคยเขียนไว้ในนิตยสารสานใจคนรักป่าเมื่อปีก่อนๆ แต่เพิ่งเอามารวมเล่มเจ้า” เสียงหวานๆ ของเธอบอกเล่าให้ฟัง“ปกสีชมพูอีกแม่นก่อ...” ผมแหย่เธอเล่น“แม่นแล้ว...สีชมพูหวานแหววเลยแหละ...” เธอรีบบอกพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ
ภู เชียงดาว
 ภาพประกอบโดย : ขวัญข้าวจากตาน้ำน้อยน้อยค่อยหยาดหยดผ่านขุนห้วยเคี้ยวคดรดรินไหลสู่ลุ่มน้ำสาขา -  -เดินทางไกลไปเลี้ยงชีพหล่อเลี้ยงในหัวใจคนกว่าจะเป็นแม่น้ำอันกว้างใหญ่ต้องผสานสายใยอันใหญ่ล้นดินอุ้มน้ำ  ป่าอุ้มฝน  คนอุ้มคนกว่าจะเป็นผลิตผลของแผ่นดินนั่นแสงแดด สายลมคอยห่มป่าโน่นเม็ดฝนหล่นโปรยมามิรู้สิ้น…ฟังสิเพลงนกป่า หญ้าผลิบานให้ได้ยินว่าชีวินนั้นสอดคล้องกันและกันลองหันมองจ้องดูสรรพสิ่ง…เราจะเห็นความจริงมิแปรผันคน ดิน น้ำ ป่า ฯ พึ่งพาอาศัยกันหากสิ่งหนึ่งผกผัน  สิ่งนั้นตาย !มาเถิด,  มาร่วมกันปกป้องป่ามารักษาสายน้ำ…
ภู เชียงดาว
อยู่ดีๆ ก็มีเพื่อนคนหนึ่งส่งเรียงความ เรื่องวันเด็ก ของ ด.ช.ภูภู่ มาให้ แถมยังย้ำบอกอีกว่าต้องอ่าน อืมม...ใช่ พออ่านแล้วฮาเลยนะครับ ผมว่าอารมณ์ขัน แสบ มัน ฮา อย่างนี้ น่าจะเขียนส่ง ต่วยตูน นะเนี่ยไม่รู้ว่าใครได้อ่านกันหรือยัง ขออนุญาตนำมาแปะให้อ่านกันตรงนี้แล้วกันครับ...ขอย้ำ- -โปรดเขย่าอารมณ์ขันก่อนอ่าน...
ภู เชียงดาว
เย็นลมเหนือพัดโชยผ่านกิ่งไม้ เย็นเยียบเย็นตะวันโผล่พ้นฉายแสงเช้าละมุนอุ่นอ่อนหากชีวิตหลายชีวิตโหยหา หวนหาความงามครั้งเก่าก่อนแม้ผ่านนานหลายนาน กี่เดือนปี ความหลังยังคงกรุ่นกลิ่นหอมนิ่งฟังสิ- -คล้ายยินเสียงนางฟ้าครวญเพลงแว่วมาแต่ไกลยังจดจำภาพเธอติดตาอยู่เสมอนะนางฟ้าเธอผู้มีดวงตาสุกใสในวัยเยาว์ฝันแก้มเธอเปล่งปลั่งดั่งดอกไม้สีชมพูแย้มผลิหวานงามแสนงามในนามของความรักที่เธอโปรยปรายแจกจ่ายให้ทุกคนคราพบเห็นยัง เป็น อยู่ เช่นนั้นใช่ไหม...นางฟ้าจากเช้า สู่บ่าย ล่วงลับเย็นยามตะวันอำลาลับขอบเขาตะวันตก...ในเงียบนั้นเรามองเห็นแสงงามอยู่กลางทุ่งเมฆฝันยังระบำร่ายรำฝันอยู่อย่างนั้นเช่นเดิมอยู่ใช่ไหม...…
ภู เชียงดาว
1.ฤดูหนาว...เชื่อว่าใครหลายคนคงรู้สึกชื่นชอบฤดูกาลนี้กันเป็นพิเศษ บางคนชื่นชอบเพราะชีวิตได้สัมผัสกับไอหนาว หมอกขาว ตะวันอุ่น...หลายคนอาจหลงรักดอกไม้ที่พากันแข่งชูช่อเบ่งบานล้อลมหนาวกันดื่นดาษ บางคนอาจชื่นชอบ เพราะเป็นฤดูกาลแห่งการถวิลหาความหลังที่ครั้งหนึ่งนั้นมีหัวใจที่เคยระรื่นชื่นสุขบางคนอาจชื่นชอบเพราะความสะอาดสดของอากาศของฤดูหนาวทว่าเมื่อหันไปมองคนอีกกลุ่มหนึ่งบนดอยสูง ในพื้นที่ทุรกันดารและห่างไกล...ฤดูหนาวกลับกลายเป็นความทารุณ โหดร้ายมากพอๆ กับความตายกันเลยทีเดียวใช่, ความหนาวทำให้หลายชีวิตต้องเผชิญกับความเป็นความตายมานับไม่ถ้วนแล้วหละนึกไปถึงร่างอันบอบบาง…
ภู เชียงดาว
ภาพโดย www.thaingo.org -งาม- เธองามดั่งดวงดอกไม้ป่าเบ่งบานสะพรั่งในหมู่มวลธรรมชาติสรรพสิ่งเพียงลมสายบริสุทธิ์พัดต้องล่องลอยมาสู่,ชีวิตเธอก็คลี่กลีบนวลยิ้มแย้มเบิกบานอยู่อย่างนั้นให้สัมผัสพบเห็นเป็นที่ชื่นชมในกัลยาณมิตรให้ชุ่มชื่นดวงจิตเธอช่วยชุบชูชีวิตหลายชีวิตให้มีหวังยิ่งยามแผ่นดินแล้งแห้งหรือเร่าร้อนดังไฟ-แกร่ง-เธอแกร่งดั่งภูผาที่ยืนท้าต้านแรงลม แดด ฝนวิถียังเฝ้าฝ่าฟัน บากบั่น ยึดมั่น ก้าวไปบนถนนของคนจนและความจน แหละผจญไปบนเส้นทางของความจริงแม้ร่างนั้นดูบอบบาง หากยังฝืนกำหมัดหยัดยืนชูมือขึ้นสู่ฟ้า เพียรวาดฝัน ปรารถนา ปวงประชาพบทางแห่งเสรีใช่, เหมือนกับที่เธอว่าไว้ในบทกวี...“…
ภู เชียงดาว
ข้าไม่สนใจที่จะก้าวไปข้างหน้า ข้าเดินอย่างสบายๆ ให้ทุกสิ่งดำเนินไปในวิถีของมัน มีข้าวสามทะนานอยู่ในย่าม มีฟืนใกล้เตาไฟ แล้วจะสนใจไยกับมายาและการบรรลุธรรม ชื่อเสียงและโชคลาภจะมีประโยชน์อันใด ข้านั่งในกระท่อม ฟังเสียงฝนยามค่ำ เหยียดขาอย่างอิสระอยู่ในโลก. ‘เรียวกัน’ ผมกลับมาพักอยู่ในสวนบนเนินเขาอีกครั้ง,ในวันที่ลมหนาวมาเยือน เป็นการกลับมาใช้วิถีของความเรียบง่ายและเป็นสุข, ผมรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เมื่อมาพักอยู่ในบ้านสวน ซึ่งนับวันสวนยิ่งคล้ายป่าไปทุกที ใจผมรู้สึกนิ่ง สงบมากขึ้น ไม่ต้องเคร่งเครียด เร่งรน หากใช้ชีวิตให้กลมกลืนและใกล้กับวิถีธรรมชาติให้มากที่สุดมาถึงห้วงยามนี้ ผมบอกกับตัวเองว่า…