Skip to main content

  1. 

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมเขียนถึงพ่อ

หลังจากพี่ชายเข้ามาในตัวเมือง เพื่อส่งข่าวให้รับรู้  

"พ่อเข้าโรงพยาบาลเมื่อวานนี้ พ่อเปลี่ยนไปมาก ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว…"

          จริงสิ, ก่อนนั้นพ่อเป็นคนแข็งแกร่ง แข็งแรง แต่ไม่กี่ห้วงปีมานี้พ่อเปลี่ยนไปมาก พ่อเริ่มอ่อนระโหยโรยแรง  ร่างกายซูบผอม ใบหน้าซีดเซียว ดวงตาดูหม่นพร่า  หม่นมัว ปวดเนื้อปวดตัวปวดแปลบในกระดูก โรคของความชรา

          "ใช่. คงอีกไม่นาน…"  พี่ชายเอ่ยกับผมเบาๆ

ผมพยักหน้าเข้าใจ- -มันเป็นธรรมดาของชีวิต  ทว่าครั้นเหลียวแลไปข้างหน้าอีกที  ผมกลับรู้สึกใจหายและเงียบงัน

แล้วภาพชีวิตในอดีตเริ่มผุดพรายเข้ามาในห้วงคำนึง

  2.

                พ่อผมเป็นชาวนา

ผมภูมิใจในความเป็นชาวนาของพ่อ  ร่างเล็ก ผิวกรำกร้าน กับความมุ่งมั่นขยันทำงาน หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ไม่รู้จักความเหน็ดเหนื่อยหรือสิ้นหวัง

ผมยังจดจำภาพเก่าๆ นั้นได้แจ่มชัด

ภาพของพ่ออยู่กลางท้องทุ่งของชีวิต  ท่ามกลางแสงแดดแผดกล้าเริงแรง  พ่อก้มๆ เงยๆ ใช้สองมือจ้วงเข้าไปในเนื้อดินดำน้ำชุ่มในนาที่เตรียมไถหว่าน  ขุดดินมาโปะกั้นปั้นคันนาที่ล่มผุกร่อนขาดให้กลับมาใช้งานได้เหมือนเช่นปีก่อนๆ

ภาพของพ่อหาบคอนตระกร้าไม้ไผ่ใส่ต้นข้าวกล้าไต่ไปตามคันนา  มือข้างหนึ่งจับลำไม้ไผ่ที่ใช้แบกคอน  มืออีกข้างหนึ่งของพ่อล้วงข้าวกล้าเหวี่ยงโยนลงไปตามท้องนา เป็นจังหวะกะช่วงระยะห่างนั้นไว้   พ่อเปรอะเปื้อนด้วยเนื้อดินโคลน ติดเต็มใบหน้า เนื้อตัวและแขนขา

ห้วงขณะนี้เหมือนผมกำลังสัมผัสถึงอายดินกลิ่นโคลน  ผสานผสมกลิ่นเหงื่อที่ผุดซึมผ่านกายจนเสื้อผ้าเปียกชื้นของพ่อ  ล่องลอยมาแต่ไกล

พ่อเคยเล่าให้ผมฟังว่าตอนที่ผมยังไม่เกิด พ่อกับแม่ช่วยกันขนข้าวเปลือก ฟักแฟง แตงกวาใส่เต็มคันล้อเกวียน  วัวต่างของพ่อค่อยๆ ขับเคลื่อนออกจากหมู่บ้านกลางป่าลึกอย่างช้าๆ  ไต่ไปตามทางเกวียนแคบๆ คดเคี้ยวผ่านดงป่าและหุบเหว  หวังเพียงนำข้าว ผลิตผลจากนาไร่เข้าไปถึงตลาดเมืองงายที่อยู่ไกลออกไป  เพื่อแลกกับเกลือ เสื้อผ้า ยารักษาโรค และสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น

นานและนานเป็นแรมเดือนกว่าจะไปถึงจุดหมาย

ครั้งหนึ่ง,ล้อเกวียนที่กำลังหมุนวนไปข้างหน้านั้นได้ไต่ขึ้นก้อนหินก้อนใหญ่พลิกคว่ำล้ม…  ร่างของพ่อได้ถูกกระชากเหวี่ยงตกลงไปใต้ท้องเกวียน  ล้อเกวียนทับแผ่นหลังของพ่อ!!

แต่ความตายไม่สามารถกระชากชีวิตพ่อไปได้  พ่อยังคงกัดฟันหยัดร่างลุกขึ้น,หวนคืนกลับสู่หมู่บ้าน

กลับไปต่อสู้กับวิถีชาวนาและความจนได้อีกครั้งหนึ่ง  

3.

พ่อผมเป็นพรานป่า

นานมาแล้ว, พ่อเคยเล่าให้ผมฟังว่าก่อนนั้นบ้านเราอยู่ในป่าดงลึก  กระท่อมของเรานั้นแวดล้อมด้วยดงป่าสักสูงใหญ่ปกคลุมรกครึ้มเย็น  สิงสาราสัตว์เพ่นพ่านอยู่เต็มไปหมด

ครั้นผมโตพอจำความได้ทุกครั้งในห้วงยามเย็น, ผมมักเห็นผู้คนต่างตะโกนป่าวร้องดังด้วยความยินดีปรีดา  เมื่อพ่อสะพายปืนลูกซองคู่ใจเดินเข้ามาสู่หมู่บ้าน 

พร้อมหมูป่าตัวใหญ่สีดำแน่นิ่งอยู่บนบ่าอันแข็งแกร่งของพ่อ

          ……………………………………..

"พ่อกับเสือ"

ดูไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับพ่อ ที่ใครๆ มักเห็นพ่อแบกร่างเสือ  สัตว์ที่ดุร้ายที่สุดเข้ามาในหมู่บ้าน  เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่า พ่อเป็นพรานป่าที่มีฝีมือเก่งกาจคนหนึ่ง

บ่อยครั้ง,ที่พ่อออกไปล่าสัตว์ในป่าลึกเพียงลำพัง อยู่กับความเงียบ  อยู่กับความมืด  อยู่กับตัวเอง  ทุกคนต่างยอมรับในความโดดเดี่ยวและเด็ดเดี่ยวของพ่อ

ผมยังจำได้ว่า  วันหนึ่ง พ่อพาพี่ชายเข้าไปฝึกล่าสัตว์ในป่าทางตอนเหนือของหมู่บ้าน  ลึกเข้าไปบนดอยผาแดงที่สูงชัน 

ในห้วงนั้นยามพลบค่ำ ความมืดเริ่มเข้ามาเยือนป่าทั้งป่า

พ่อกับพี่ชายช่วยกันรีบทำนั่งห้างบนคาคบไม้ใหญ่

เพียงชั่วยามแห่งค่ำคืน,ความมืดพลันห่มคลุมไปทั่ว

ในห้วงขณะนั้น, พ่อรู้สึกถึงความเงียบผิดปกติ  ไม่มีสายลม  ใบไม้หยุดนิ่ง,ทว่ามีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหว

พ่อกระซิบเบาๆ บอกพี่ชายให้นิ่งเงียบ  อย่าเคลื่อนไหว

มีเสียงสวบสาบดังใกล้เข้ามา- - ตรงลานดินเบื้องล่างใต้นั่งห้างตรงนั้น, พ่อพยายามเพ่งสายตาฝ่าไปในความมืด  มองเห็นลางๆ  ว่ามีเงาตะคุ่มๆ เดินวนเวียนไปมาอยู่อย่างนั้น  เหมือนมันกำลังได้กลิ่นของความไม่คุ้นเคย

พ่อยกปืนประทับบ่าดวงตาไม่กระพริบจ้องเล็งลงไปข้างล่าง

กลั้นหายใจชั่วขณะก่อนกดเหนี่ยวไก

 "เปรี้ยง!!"

เสียงปืนแผดระงมดังก้องป่าก่อนเงียบงัน

…………………………………………………….

…………………………………………………….

เป็นค่ำคืนอันเหน็บหนาวทารุณ  และช่างเป็นการรอคอยอันยืดยาวนาน

ทั้งพ่อทั้งพี่ชายต่างรู้สึกอึดอัด  ฝืนทนนิ่ง  ไม่ยอมหลับนอนอยู่ข้างบนนั้น บนนั่งห้าง,บนต้นไม้ใหญ่

ไม่มีใครกล้าเดาหรือล่วงรู้ได้ว่า,ร่างที่แน่นิ่งอยู่เบื้องล่างนั้นคือสัตว์ร้ายหรือภูติผีตนใด และไม่มีทางรู้ว่ามันตายสนิทแล้วหรือไม่!?

จวบจนใกล้แจ้ง,ฟ้าเริ่มเปิด จนเริ่มมองเห็นลายมือของตนเองลางๆ นั่นแหละ

จึงรู้ว่า ร่างที่แน่นิ่งอยู่ข้างล่างนั้น  คือ เสือตัวใหญ่มหึมา!!

พ่อกับพี่ชายค่อยๆ ไต่ลงจากนั่งห้าง  ลงมาพลิกร่างดูไปมา

"เสือไฟ!!…"  พ่อเอ่ยบอกพี่ชาย ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นระคนดีใจ  พร้อมกับเฝ้าครุ่นคิดหาวิธีขนมันกลับ

"ตัวมันใหญ่มาก  พ่อคงแบกกลับไม่ไหวแน่…"  พ่อบอกกับพี่ชาย

พอดีชาวม้งเดินป่าเข้ามาพบ, สนใจอยากขอซื้อเสือไฟตัวนี้  พ่อจึงแบ่งขายให้

พ่อชำแหละเนื้อหนังออกมาบางส่วน  และที่สำคัญ "เขี้ยวเสือไฟ" สิ่งที่พ่อต้องการมานานนัก  นอกนั้นพ่อยกให้ชาวม้งไป  

4.

ทุกครั้ง,ในยามที่ผมป่วยไข้ไม่สบาย  ตัวร้อนเป็นฟืนไฟ  สั่นสะท้านเหมือนโดนผีร้ายเข้าสิงร่าง

พ่อจะลุกขึ้นไปหยิบขนเสือไฟที่แม่เย็บห่อด้วยเศษผ้ามาผูกติดกับตัวผม

ว่ากันว่า- -เสือไฟ  เป็นพญาแห่งเสือ เป็นเจ้าแห่งสัตว์ป่า

แม้กระทั่งภูติผี ความชั่วร้ายใดๆ ยังกลัวเกรง

"เมื่อใดที่เข้าไปในป่าลึก ไม่ต้องกลัวว่าสัตว์ร้ายหรือภูติผีจะเข้ามากล้ำกราย  ถ้าเราเอาเขี้ยวเสือไฟแขวนคล้องคอ  มันจะเลี่ยงหนีหายไปหมด" พ่อบอกผม

พ่อยังบอกกับผมอีกว่า  หากวันใดที่เข้าไปในป่าลึก  เมื่อมีพายุพัดกระหน่ำรุนแรงพวกพรานป่าเขาจะเอาขนเสือไฟมาจุดไฟเผาและอธิษฐาน  เพียงชั่วครู่พายุที่พัดโหมจะหยุดนิ่งทันใด.

ผมนิ่งฟังพ่อเล่าเรื่องราวในป่าใหญ่ด้วยความรู้สึกสนุกสนานและตื่นเต้น


5.

นานหลายปีแล้วที่ผมจากบ้านมาไกล

ครั้นยินข่าวของพ่อจากพี่ชาย  ทำให้ผมคิดถึงพ่อ  คิดถึงความหอมหวานของชีวิตบ้านนาป่าดอย  คิดถึงกระท่อมหลังเก่า  คิดถึงความกล้าแกร่งของพ่อ  แม้ในห้วงยามนี้, พ่อจะเปลี่ยนไปมาก ด้วยโรคของความชราโรย  เรี่ยวแรงเริ่มถดถอยน้อยลง  แต่สำหรับผมในห้วงยามนี้  พ่อยังคงงดงามในความรู้สึกของผมตลอดมา  พ่อยังเป็นวีรบุรุษในดวงใจของผม  ยังเป็นชาวนาที่ผมภาคภูมิใจ  เป็นพรานป่าที่กล้าหาญ… 

"พรุ่งนี้ผมจะกลับบ้าน" ผมรำพึงกับตัวเอง.

                   ………………………………………

*** งานชิ้นนี้เขียนขึ้นเมื่อครั้งเช่าบ้านอยู่แถบชานเมืองเชียงใหม่

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

   

 

 

 

 

    

 

 

 

   

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
  เมื่อนั่งอยู่ในความเงียบ ในสวนบนเนินเขายามเช้าตรู่ เพ่งดูหมอกขาวคลี่คลุมดงดอยอยู่เบื้องหน้า ทุ่งนาเบื้องล่างลิบๆ นั้นเริ่มแปรเปลี่ยนสี จากทุ่งข้าวสีเขียวสดกลายเป็นสีเหลืองทองรอการเก็บเกี่ยว ใช่, ใครต่อใครเมื่อเห็นภาพเหล่านี้ คงรู้สึกชื่นชมภาพอันสดชื่นรื่นรมย์กันแบบนี้ทุกคนทว่าจริงๆ แล้ว พอค้นให้ลึกลงไป ก็จะพบว่า ในความงามนั้นมีความทุกข์ซุกซ่อนอยู่ให้รับรู้สึก เมื่อนึกถึงภาพเก่าๆ ของหมู่บ้าน ผ่านไปไม่กี่สิบปี  จะมองเห็นได้เลยว่าหมู่บ้านเกิดของผมมีความแปลกเปลี่ยนไปอย่างเร็วและแรง อย่างไม่น่าเชื่อ“ตอนนี้ อะหยังๆ มันก่อเปลี่ยนไปหมดแล้ว...” เสียงใครคนหนึ่งบ่นเหมือนรำพึงจริงสิ,…
ภู เชียงดาว
ผมเริ่มค้นพบว่าตัวเองนั้นไม่เหมาะกับเมือง หลังจากที่ใช้ชีวิตในเมืองใหญ่มานานหลายปี ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงคิดเช่นนี้- -อาจเป็นเพราะระยะหลังรู้สึกว่าชีวิตตัวเองแปลกและป่วย บางครั้งคล้ายยินเสียงจากข้างในกำลังบอกอะไรบางอย่าง ราวกับจะบอกว่า... ‘ที่สุดแล้ว,ชีวิตต้องกลับคืนสู่เส้นทางที่จากมา’ แหละนั่น ทำให้ผมเริ่มวางแผนกลับไปใช้ชีวิตในสวนบนเนินเขาเหนือหมู่บ้านเกิดอีกครั้ง หลังจากที่ปล่อยให้สวนรกร้างว่างเปล่ามานานเต็มทีจริงสิ, ผมปล่อยให้ต้นไม้ในสวนรกเรื้อและโตขึ้นตามลำพัง ไร้การดูแลเอาใจใส่ ไม่มีเวลารดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย คงเหมือนกับชีวิตตัวเองกระมัง ที่ต้องมาอยู่กับเมือง มัวแต่ไขว่คว้าบางสิ่ง…
ภู เชียงดาว
สิ่งดี ๆ ในชีวิต พ่อค้าแวะมาหาคนสวนที่เขากำลังพักผ่อนอยู่ตรงหน้ากระท่อม “สวัสดีครับคนสวน” พ่อค้าทักทาย “ผมมีข้อเสนอดีๆ มาให้ คุณคงสนใจเป็นแน่” และเมื่อเห็นทีท่าเฉยเมยของคนสวน พ่อค้าก็เริ่มพูดธุระที่เขาคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย ซึ่งคนสวนจะต้องขยายพื้นที่ปลูกกุหลาบเพิ่มขึ้นและพ่อค้าจะเป็นคนเอาไปขายในเมือง “คนสวน ด้วยความชำนาญของคุณ กุหลาบของเราจะสวยงามที่สุดในเมือง” พ่อค้าสรุปด้วยท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง “ขอบคุณแต่เราไม่สนใจ” คนสวนตอบพร้อมยิ้มอย่างเคย “แต่คุณจะได้เงินเยอะ...” พ่อค้าว่า ท่าทางแปลกใจ “ผมไม่สนใจเงินทองหรอก” “ใครๆ ก็อยากได้เงินกันทั้งนั้น...” “แต่ไม่ใช่ผม…
ภู เชียงดาว
ความเรียบง่ายมีแรงดึงดูดที่ลี้ลับเพราะมันจะฉุดเราไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับทิศทางที่คนส่วนใหญ่ในโลกไปกันไปจากการทำตัวให้เด่น ไปจากการสะสมไปจากการทะนงหลงตนและจากการเป็นเป้าสายตาของสาธารณะไปสู่ชีวิตสงบ อ่อนน้อมถ่อมตน กระจ่างใสยิ่งกว่าสิ่งใดๆที่วัฒนธรรมบริโภคอย่างฉาบฉวยรู้จักกัน.                                                        …
ภู เชียงดาว
ที่มาภาพ  www.salweennews.orgที่มาภาพ www.sarakadee.comที่มาภาพ www.salweennews.orgกอดกับความเย็นเยียบอยู่อย่างนั้น, กลางป่าเปลี่ยวอ้อมอกอันบอบบางของเธอมิเคยอบอุ่นอยู่กับความมืดดำในความรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึง, ชีวิตความตายเหมือนมิเคยแยกจางห่างกันเลยโอ. เด็กๆ  ตามแนวชายแดนยามใดหนาวฤดูลมแล้งแห้งโหมพัดเข้ามาสู่,หัวใจเธอนั้นเหมือนจักรับรู้รสสัมผัสชีวิตวิถีที่จำต้องระเหเร่ร่อนนั่น,คือสัญญาณความขัดแย้งอันเลวร้ายที่ซุกซ่อนอยู่ในหลืบเขารอการอุบัติเสียงแม่กระซิบบอกพวกเธอเบาๆเร็วเข้า,…
ภู เชียงดาว
  “การถอยออกไปจากสนามรบของชีวิตทำงานเงียบๆ ด้วยเป้าหมายที่สร้างสรรค์คือคำตอบหนึ่งต่อคำถามที่ว่าจะอยู่อย่างไรในสถานการณ์ที่ทุกอย่างกำลังพังทลาย”จากหนังสือ “ความเงียบ”จอห์น เลน เขียน, สดใส ขันติวรพงศ์ แปลผมไม่รู้ว่า สวนของผมนั้นกลายเป็นสวนผสมผสานตั้งแต่เมื่อไหร่...แต่ผมรู้ว่า พักหลังมานี่ เมื่อเดินทางกลับบ้านไปสวนทีไร ผมมักติดกล้าไม้เข้าไปในสวนเกือบทุกครั้ง ไม่อย่างก็สองอย่าง แวะซื้อมาจากกาดคำเที่ยง บ้างได้มาจากเพื่อนๆ พี่ๆ ที่มอบให้มา พอไปถึง ก็ลงมือขุดหลุม เอาเศษฟางเศษหญ้าลงคลุกกับเนื้อดิน หย่อนต้นไม้ต้นเล็กลงไป กลบดิน รดน้ำให้ชุ่ม หรือรอให้น้ำฟ้าหล่นรดให้ฉ่ำชื้นเอง…
ภู เชียงดาว
    “...เมื่อมนุษย์จมอยู่กับฝูงชนที่ขาดความเป็นมนุษย์ ถูกผลักไปมาอย่างอัตโนมัติไปตามแรงเหวี่ยง บุคคลนั้นก็สูญเสียความเป็นมนุษย์ที่แท้ สูญเสียคุณธรรม หมดความสามารถที่จะรัก และศักยภาพที่จะกำหนดตนเอง เมื่อสังคมประกอบด้วยผู้คนที่ไม่รู้จักความวิเวกภายใน สังคมนั้นก็ไม่อาจรวมกันได้ด้วยความรัก แต่อยู่ได้ด้วยอำนาจครอบงำและความรุนแรง...” ถ้อยคำของ “โทมัส เมอร์ตัน” คัดมาจากหนังสือ “ความเงียบ” จอห์น เลน เขียน, สดใส ขันติวรพงศ์ แปล สวนบนเนินเขาเหนือหมู่บ้านเกิดของผม ตั้งอยู่ในเนื้อที่สี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความกว้างและยาวราวสี่ห้าไร่…