เรื่องการสร้างความเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลกของผู้บริหารไทยก็สะท้อนความเป็นประเทศด้อยพัฒนาทางปัญญา บรรดาอีลิตไทยและหางเครื่องชอบด่าเขาว่าทำตัวเป็นเจ้าอาณานิคม แต่ตัวเองก็อยากจะไปเดินเฉิดฉายอยู่กับเขา คิดว่าการทำแรงกิ้ง มันง่าย ก็แค่บังคับ กดดัน ล่อลวงให้อาจารย์รุ่นใหม่ทำบทความภาษาอังกฤษ
บ้างก็ใช้วิธี "จ้างแปล" จ้างบริษัทอำนวยความสะดวก เพื่อให้ได้ตีพิมพ์ หรือตั้งแก๊งค์ทำ predatory journal รับเงิน แล้วตีพิมพ์ในวารสารชื่อประหลาดๆ มีทีมบรรณาธิการประหลาดๆ ครอบจักรวาล
ค่า H index อะไรตัวเองก็ไม่เคยมี แต่หันมากดดันเป็นเรื่องเป็นราว กระทั่งเชื่อว่าทำแบบนี้ตัวเองจะสร้างผลงานให้ประจักษ์ได้ (แน่นอน มันนับตัวเลข ไม่นับเบื้องหลังนี่)
คิดว่าทำแบบนี้แล้วการอุดมศึกษาไทยมันจะเจริญก็ยิ่งตลก เพราะนี่คือการยอมถวายตัวเป็นอาณานิคมทางปัญญาให้แก่ SCOPUS ที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่า ทื่อ และจำกัดฐานข้อมูล ที่บางกรณีเป็นเรื่องธุรกิจมากกว่าการสร้างสรรค์ทางปัญญา วารสารบางอันที่ดีๆ ก็ไม่ถูกนับรวม เป็นต้น
ต้องตระหนักด้วยว่าการจัดลำดับเช่นนี้ มี lingual bias, English language centric, อาจจะมีเรื่อง racial bias ด้วยซ้ำในเรื่อง impact แต่ก็ดีตรงที่มันบังคับให้เกิด internationalization of academic works ผ่านท่อ ภาษาอังกฤษ ซึ่งในที่สุด มันก็ลำบากเหมือนกันเพราะมหาวิทยาลัยไม่ได้มีพันธะกับท้องถิ่นเสียแล้ว
ถึงที่สุด นโยบายอุดมศึกษาไทยก่อนไปดวงจันทร์ คงหนีไม่พ้นการแต่งหน้าทาปาก เดินในอาเซียน หลอกตัวเองไปวันๆ ว่าทำดีที่สุดแล้ว ด้วยการกดดันอาจารย์รุ่นใหม่ๆ ส่วนตัวเองก็มีคำนำหน้าชื่ออันแสนวิเศษคุ้มครองกายอยู่แล้ว
แต่ In pursuit of academic excellence จำเป็นต้องทำหลายด้าน
1. translation งาน classic ก็สำคัญ แต่มีราคาต่ำสุดในโลกของการขอตำแหน่งทางวิชาการ
2. งานเขียน foundation ในภาษาไทย ซึ่งมีน้อยอย่างน่าใจหาย พอขยับแปลจาก a short introduction ต่างๆ ก็กลับไปข้อ 1 หรือไม่ก็คือกลับไปหางานภาษาอังกฤษอย่างเดียว วนเป็น loop ไป ถ้า foundation ไม่แน่นแล้วจะเขียนงานดีๆ งานใหญ่ๆ งานใหม่ๆ ได้อย่างไร
ในญี่ปุ่นตอนสร้างชาติ เขาแปลงานที่สำคัญเป็นภาษาเขาหมด เพื่อให้คนเข้าถึงความรู้ในระนาบกว้างมากที่สุด แต่ชนชั้นนำไทย ใช้ภาษาต่างประเทศเป็นคอขวด คอยกักเก็บ กลั่นกรองความรู้มาตลอด
ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น จีน เกาหลี หรือ เวียดนาม ต่างมีงานสำคัญๆ ของโลกแปลเป็นภาษาตัวเองหมด แล้วค่อยขยับไปอ่านงาน original
ซึ่งกว่าประเทศไทยจะทำได้ทัน คงไม่มีวันทันในรุ่นผม หรือรุ่นน้องๆ ที่ต้องทำอะไรบ้าๆ บอๆ ไปอีกนาน ถ้ากระโดดพลิกตัวทันก็หอบผ้าผ่อนไปดาวดวงอื่นเสียยังอาจจะทัน
แผนความเสี่ยงของผมคือซื้อหวย (ถ้าไม่ลืม) และนับเวลาถอยหลัง หาแมว หมา ไว้ข้างๆ ปลอบใจตัวเองจนกว่าจะลาโลก
คงไม่มีวันเห็นการอุดมศึกษาไทยเปลี่ยน ถ้าทำกันอย่างนี้
บล็อกของ บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
สมการทางคณิตศาสตร์ง่ายๆ น่าจะให้สติคนที่ออกไปเสี่ยงชีวิตและก่อความเดือดร้อนให่้คนที่เขาต้องการสันติสุขกลับคืนมา
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
ในการเขียนรัฐธรรมนูญในชั้นหลังๆ มีการบันทึกเจตนารมณ์ไว้ชัดเจน เพื่อป้องกัน "ศรีธนญชัย" และ "เนติบริกร" ผู้ "ใช้" รัฐธรรมนูญสนองความต้องการตามอำเภอใจของพวกตนฝ่ายตน
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
ผมเขียนบทบรรณาธิการ วิภาษา ฉบับที่ 34 (1 พฤษภาคม-15 มิถุนายน 2554) เพื่อเป็นเกียรติแก่ครูผู้ไม่รู้จั
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
มรณกรรมของคุณ ไม้หนึ่ง ก. กุนที ทำให้ผมอดนึกถึงมรณกรรมของเสธ. แดง ไม่ได้
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
มรณกรรมของกวีนาม ไม้หนึ่ง ก.
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
เมื่อครั้งยังเด็ก ความบันเทิงหนึ่งของเด็กต่างจังหวัดที่อยู่ในตลาดจะได้ชมก็คือการมาเยือนของนักเล่นกล ที่ผมเรียกอย่างนี้นอกจากจะเพราะชินกับภาษาตลาดแล้ว คำว่านักมายากลดูจะรุ่มร่ามไปไม่น้อย สำหรับผมนักเล่นกลดูจะตรงไปตรงมามากกว่า
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
ดำนอก ขาวใน ไม่ว่าดำใน ขาวนอก อวดอ่าดำใน ดำนอก ดำดีคนดี ดีออก ออกดี ถุยส์
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
เหตุการณ์เสียชีวิตบาดเจ็บข้อเรียกร้อง/ปมขัดแย้ง14 ตุลาคม
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
ศ. วรพจน์ ณ นคร เขียนในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม 2540 ในท่ามกลางวิกฤตการณ์ค่าเงินบาทในสมัยนั้น ในความเห็นของวรพจน์กล่าวอย่างชัดเจนว่าให้ พล.อ.