Skip to main content

พันธกุมภา


ถึง มีนา


ผมขอแสดงความดีกับพี่สาวของผมด้วยนะครับ ที่มีโอกาสได้พักผ่อน แม้ว่าหลายคนจะบอกว่าการที่เราตกงานนั้นเปรียบเสมือนการพายเรือในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่เคว้งคว้างไม่รู้ว่าจะมีหนทางในงานใหม่อย่างไรได้อีก


ผมทราบดีว่าพี่คงจะเหนื่อยจากการทำงานมิน้อยเลย และเชื่อว่าการได้รับมอบหมายงานเยอะคงไม่ใช่สาเหตุของการออกจากงานหรอกใช่ไหมครับ ผมรู้ว่าจดหมายหลายฉบับที่พี่ได้เขียนมาบอกเล่านั้นมันสะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้กับวิถีชีวิตความเป็นคนในเมืองหลวง และรวมถึงการต้องสัมพันธ์กับคนมากหน้าหลายตา ที่มีตัวตนแตกต่างกันไป


การที่เราทำงานที่เรารัก ถือเป็นสิ่งที่ประเสริฐอย่างยิ่งกับวิถีชีวิตของเรา บางครั้งเมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง เราก็อยากจะพัก เพราะอะไร? ผมไม่รู้ แต่เรื่องบางอย่างมันก็ไม่ต้องการเหตุผล หรืออารมณ์ เพราะมันเป็นความรู้สึกยางอย่างที่บอกไม่ได้ บอกไม่ถูก ถามว่าทำไมต้องออกจากงาน? หลายคนอาจอยากได้ยินคำตอบและเหตุผลมากมาย


แต่เราก็บอกไม่ค่อยจะได้ว่าทำไม เพราะใจเราเองนั้นแหละที่เป็นคนบอก และมันก็พูดออกมาไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะอะไร


ผมไม่เคยออกจากงาน ไม่เคยตกงาน เพราะชีวิตที่เป็นอยู่มันเหมือนกับงานคือชีวิต มันเป็นสิ่งเดียวกัน การได้เดินทางไปทำค่าย ถือเป็นการพักผ่อนและท่องเที่ยวไปในตัว การได้ทำงานกับคนที่หลากหลาย คนที่เห็นต่าง คือการได้ฝึกฝนตัวเอง ดูจิต ดูใจ ตัวเอง เรียนรู้ที่จะอยู่กับคนอื่น


ทางเลือกของแต่ละคนที่ออกจากงานก็ต่างกัน


ครั้งหนึ่ง ผมอยากพักงานมาก ผมจำได้ว่าตอนนั้นอยากบวชไปอยู่ในป่า หาทางออกเรียบๆ ง่ายๆ ให้กับตัวเอง ไม่อยากคิด ไม่อยากตัดสินใจ อยากหนีไปให้ไกลๆ เพราะมันเครียดเสียจนไม่รู้จะทำอะไร และที่มากกว่านั้นก็คือภาวะตอนนั้นไม่รู้เลยว่าตัวเองเครียดขนาดไหน


ยิ่งทุกวันนี้ได้ทำงานที่ใหญ่ขึ้น ผมก็เจอแต่เรื่องยิบย่อยที่เข้ามากระทบกับจิตใจ ทำให้ต้องใช้ความอดทนในการทำงานอย่างมาก และยังต้องพยายามใช้ธรรมะเข้ามาช่วยอีกเยอะ เช่น บางครั้งมีคนมาดุด่า ก็น้อมรับฟัง คนที่วิพากษ์วิจารณ์ก็ยิ้มรับด้วยความยินดี บางคนที่เราทำงานด้วย คุยไม่รู้เรื่องก็พยายามพูดให้ฟังด้วยความเมตตา สรุปก็คือต้องนำธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวันให้ได้


อีกทั้งเดี๋ยวนี้ ผมไม่ค่อยมีเวลาได้นั่งสมาธิ หรือปฏิบัติธรรมในรูปแบบเท่าใด แต่ที่ทำอยู่คือ เวลานั่งทำงานก็ดูกาย เวลาที่คิดก็คิด เวลาที่มีอะไรมากระทบอารมณ์ก็ดูจิต ถ้ามันฟุ้งซ่านมากก็ตามลมหายใจ ใช้สมถะเข้ามาช่วยไว้ หรือแม้แต่บางครั้งที่เดินไปไหนมาไหน ก็ถือเป็นการเดินจงกรมไปในตัว


การเจริญสติในชีวิตประจำวันเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆ


เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ต้องคิดให้ดีนะครับ เพราะบางคนไปปฏิบัติธรรมมา แต่เอามาผนวกรวมกับวิถีชีวิตจริงๆ ไม่ค่อยได้ เพราะเรายังมองมันแยกออกจากกันว่านี่คือการทำงานทางโลก และนี่คือการทำงานทางธรรม กล่าวคือ เวลาทำงานก็ดุด่า คนไปทั่ว วิพากษ์วิจารณ์คนอื่น ฯลฯ แต่พอถึงเวลาปฏิบัติธรรมก็นั่งสมาธิ แบบว่ากลายเป็นคนสองบุคลิกไปเลยก็ว่าได้


ที่ผมกล่าวมานี้เพราะผมเคยเป็นแบบนี้มาก่อนครับ ผมแบ่งว่านี่คือเวลาทำงาน นี่คือเวลาทำธรรม แต่สุดท้ายแล้ว หารู้ไม่ว่าเรากำลังแยกธรรมะออกจากชีวิตจริง และทำให้เรื่องบางเรื่องไกลตัวออกไป ทั้งที่ ธรรมะอยู่กับชีวิตจริงของเราในแต่ละวัน อยู่กับเราในทุกขณะ แต่เราหลงไปใหญ่ว่ามันเป็นคนละส่วนกัน


ถ้าเวลานี้เรายังมองว่าการทำงานทางโลกยังแตกต่างจากการทำงานทางธรรม ผมก็ไม่เสียใจที่พี่จะตกงานทางโลก เพราะงานทางธรรมของพี่ (และเรา) ยังคงมีอีกมากมายหลายเวลาที่ยังต้องทำอีกเยอะ หรือถ้าหากเรามองว่าการทำงานโลกและการทำงานทางธรรมคือสิ่งเดียวกัน พี่ก็ไม่ใช่คนตกงานครับ เพียงแต่เปลี่ยนสถานะ “สืบเนื่อง” ไปเป็นอีกบริบทหนึ่งเท่านั้นเอง


บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
มีเรื่องหนึ่ง ที่อยากเตือนตัวเองมากๆ นั่นคือว่านักภาวนาหลายๆ คน พอภาวนาไปแล้ว ก็เริ่มคิดว่าเป็นนักภาวนา บางทีเราก็หลงไปสร้างภาพความเป็นคนดีขึ้นมาทันที จนลืมนึกถึงไปว่าเราภาวนาเพื่อเห็นความจริง และความจริงนี้ก็เป็นความจริงธรรมดาของกายและใจเท่านั้นเอง
พันธกุมภา
ช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา ผมตั้งใจอธิษฐานในการภาวนาในรูปแบบอิริยาบถ เดิน ยืน นั่ง หรือ “เนสักชิก” ซึ่งเป็นธุดงควัตร นั้นหมายความว่าช่วงกลางคืนผมจะไม่นอนหลับ แต่จะเจริญสติอย่างต่อเนื่องตั้งแต่หัวค่ำจนถึงช่วงสว่าง และใช้ชีวิตต่ออย่างปกติ
พันธกุมภา
สำหรับเรื่องป่าเขา มีเรื่องหนึ่งที่ผมจำได้ ตอนนั้นในการเข้าร่วมคอร์สภาวนาแห่งหนึ่ง อาจารย์ผู้นำกระบวนการ ได้เชื้อเชิญให้ผู้เข้าร่วมทุกคน ได้ร่วมหาคำตอบของชีวิตโดยการเข้าไปในป่า และอยู่ตรงนั้นเพื่อหาคำตอบให้กับชีวิตของตัวเอง โดยการอยู่เงียบๆ และอยู่กับตัวเองคนเดียวให้มากที่สุด ไม่พูดไม่คุยกับใคร และรอคำตอบที่เกิดขึ้นในใจของเรา
พันธกุมภา
ชีวิตในการอยู่ท่ามกลางขุนเขา ป่าไม้ ร่มไพร ลำธาร เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ได้มีอากาสเฝ้ามองใจของตัวเองได้อย่างลึกซึ้ง เป็นบรรยากาศที่เห็นอาการต่างๆ เกิดขึ้น แปรเปลี่ยนไป ตามการปรุงแต่งของอารมณ์และสิ่งที่เข้ามากระทบภายนอก ทั้งการดูผ่านตา ได้ยินผ่านหู ได้กลิ่นผ่านจมูก ก็ตาม
พันธกุมภา
ผมชอบเดินทางไปในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเพราะจะทำให้จิตใจตัวเองเกิดอารมณ์ต่างๆ มากมาย ทั้งที่ไม่ค่อยจะเกิด เช่น ความขุ่นเคืองใจในการตากแดด ความกลัวจากการเดินในป่าช้า ความเหนื่อยจากการเดินหลงทาง เป็นต้น ซึ่งการหาสิ่งใหม่ให้ใจได้รู้ได้เห็นนี้จะช่วยให้เห็นสภาวะต่างๆ เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ถือเป็นอุบายหนึ่งในการภาวนา
พันธกุมภา
การเจริญสติในช่วงที่อยู่ที่วัดป่าสุคะโต ภายหลังจากผ่านบททดสอบแรกเรื่องการเดินจงกรมที่ผมมัวแต่ไปตั้งท่าว่าอยากรู้อยากดูสภาวะแล้ว ก็ได้เกิดความรู้สึกตัวขึ้นว่าตัวเองนั้นเผลอไปจ้องมองเสียนาน
พันธกุมภา
การเดินทางมาเจริญสติที่วัดป่าสุคะโตในช่วงก่อนเข้าพรรษานี้ แม้ว่าที่พักจะไม่เพียงพอแต่ผมก็ได้นอนด้านบนศาลา ซึ่งมีผู้คนมาจากหลายๆ ที่มาร่วมเจริญสติ และยังมีคณะผ้าป่าที่มาร่วมทอดผ้าป่าอีกด้วย ครานี้ที่วัดจึงแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา อยู่ในวัยเด็กเล็ก ไปจนถึงผู้สูงอายุ
พันธกุมภา
วันเข้าพรรษาปีนี้ผมมีความตั้งใจกับตัวเองที่จะภาวนาให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้นโดยการเจริญสติในรูปแบบอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความอดทน พากเพียรให้กับตัวเอง ในการมีสติสัมปชัญญะมากยิ่งขึ้นกว่าชีวิตปกติที่ผ่านมา
พันธกุมภา
 สวัสดีประชาไท สวัสดี ผองน้องพี่ ประชาไทสบายดี กันไหม ให้ถามหาได้พบกัน แบ่งปันธรรม แต่นานมาขอขอบคุณ วิถีพา เราพบกัน
พันธกุมภา
  เรื่องนี้ผ่านมานานแล้ว, ปลายฝนต้นหนาว อากาศร้อนระอุไปทั่วแผ่นฟ้า ผมไม่ค่อยได้มีโอกาสมานั่งพักผ่อนอยู่นิ่งๆ คนเดียวมานานแล้ว เพราะหน้าที่การงานที่มากมาย ทำให้ฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมาของผมเป็นช่วงเวลาที่ผ่านไปอย่างไร้ค่า เพียงเพราะผมมุ่งแต่จะทำงาน แต่ไม่ได้มีโอกาสได้ดูแลคนที่ผมรักเลยแม้แต่น้อย ผมทำงานที่มูลนิธิแห่งหนึ่ง เราทำงานเพื่อสังคม มีอุดมการณ์ที่อยากเห็นคนในสังคมมีคุณภาพชีวิตที่ดี งานที่เราทำเป็นงานเพื่อส่วนรวม เพื่อประโยชน์ของคนอื่น ซึ่งนั่นทำให้ผมต้องมีเวลาให้กับงาน ให้กับคนอื่นมากกว่าการดูแลตัวเองและการดูแลคนที่ผมรัก
พันธกุมภา
ชีวิตเกิดมาหนนี้ สิ่งที่ต้องการสูงสุดคืออะไร? คำถามนี้ ถามแล้ว ถามอีก ใจคอยถามอยู่ตลอดเวลาว่าต้องการอะไร ปรารถนาสิ่งใด ทำไมยังไม่มุ่งไปทางนั้นให้เต็มที่ ไยจึงกลัวที่จะเลือก ที่จะตัดสินใจ แม้ว่ารู้และเห็นว่าความน่ากลัว สังเวช อนาถใจของการเวียนว่ายนี้มีมากน้อยเพียงใด แต่เหตุใด ใจจึงไม่เคยหลุดออกจากสมมุติมากมายที่เกาะกุมเราไว้
พันธกุมภา
ช่วงหลังๆ นี้ผมได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับญาติธรรมกัลยาณมิตรหลายๆ คน ซึ่งแต่ละคนก็เจอสภาวะจิตที่แตกต่างกัน มีรูปแบบการภาวนาที่แตกต่างกัน ตามจริต ตามเหตุ ปัจจัยของแต่ละคน ทำให้แต่ละคนเจอกับสภาวะต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน และมีความรู้ ตื่น เบิกบาน ที่มากมายคละกันไป กัลยาณมิตรที่ร่วมสนทนากันนี้มีอยู่ในหลายวัย หลากอาชีพ และมีความสนใจในการภาวนาที่แตกต่างกัน บางคนมีปัญหาเรื่องความรัก ปัญหาครอบครัว ปัญหากับที่ทำงาน ปัญหากับการเรียน และก็ล้วนแต่มองเห็นว่าการภาวนาโดยการเจริญสติรู้กายรู้ใจในชีวิตประจำวันนี้จะทำให้ตัวเองได้เข้าใจความทุกข์และพ้นจากความทุกข์