Skip to main content

มีนา

ถึง พันธกุมภา

ช่วงนี้เป็นเวลาพักของพี่ ช่างเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากๆ ในความรู้สึก... แต่พี่อดคิดถึงน้องไม่ได้...

แล้ววันหนึ่ง... โดยที่ไม่คาดคิด เราก็มาพบกันโดยที่มิได้คาดหมายหรือนัดกันไว้ก่อน พี่อดคิดไม่ได้ว่า ชีวิตคนเราช่างแปลกจริงๆ เราก็มาพบกันจนได้ เพราะความไม่สบายของพี่ชายเพื่อนของเรา ส่วนตัวพี่ไปบ้านนั้นเพราะต้องการไปดูแลตัวเอง

นอกจากได้ไปดูแลตัวเองและพบกับน้องแล้ว พี่ยังได้พบกับเพื่อนอีกหลายคน ที่ไม่ได้พบกันนานที่นั่น ใครหลายคนบอกว่า โลกมันช่างแคบ ถ้าเรารู้จักคนนี้ เราก็จะรู้จักคนนั้น แต่อาจจะไม่ใช่ในช่วงเวลาเดียวกันเท่านั้นเอง

การพักผ่อนของพี่ ก็คงเหมือนกับคนทั่วๆ ไปที่ละวางจากเรื่องงานในสำนักงาน งานอะไรก็ตามที่ต้องทำเพื่อให้ได้ค่าตอบแทนมา แต่เรายังละวางเรื่องานที่จำเป็นในชีวิตไม่ได้ เช่น การทำอาหาร ซักผ้า ทำความสะอาด ... เราก็ยังทำงานอยู่ เพียงแต่งานนี้ไม่ได้มีมูลค่าทางการเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ทำเพื่อให้ตัวเราเองดำรงชีวิตอยู่ได้

พี่เคยเล่าเรื่องงานที่ทำแล้วถูกให้ค่าและไม่ถูกให้ค่าทางเศรษฐกิจ พี่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับผู้หญิงที่ถูกคนรอบข้าง ครอบครัว และสังคมหล่อหลอมมาให้มีหน้าที่ต่องานที่ไม่มีค่าทางสังคมนั้น และต้องรับที่จะทำงานนั้นๆ โดยไม่ตั้งคำถาม หากถามก็เป็นผู้หญิงแปลก และอาจจะถูกลงโทษจากคนรอบข้าง แม้ไม่ใช่การถูกเฆี่ยนตีแต่อาจจะเป็นการซุบซิบ นินทา

ผู้หญิงจำนวนมากในโลกนี้จึงอยู่กับความกดดัน การถูกกดดัน โดยที่ไม่เคยตั้งคำถาม...

ตอนอยู่ที่วัด หลวงพี่ท่านหนึ่งได้กล่าวว่า "มนุษย์ไม่ว่าผู้หญิง ผู้ชาย เพศไหนๆ ก็ทุกข์เหมือนกัน..."

สำหรับพี่แล้ว พี่อยากจะบอกว่า ในฐานะมนุษย์ ไม่ว่าเพศไหนๆ ก็คงทุกข์ไม่ต่างกัน แต่ผู้หญิงมีความทุกข์ทางโลกและสังคมมากกว่า สิ่งที่เห็นได้ชัดอาจจะดูจากปริมาณของคนที่ไปวัด จำนวนมากเป็นผู้หญิงทั้งนั้น

ที่ผ่านมา ผู้หญิงที่ไปวัดถูกมองว่าเป็นการหาทางออกในทางที่ดี ก็คือการไปวัด หรืออาจจะถูกตีความจากนักมานุษยวิทยาที่ศึกษามนุษย์ทั้งหลายว่า เป็นเพราะพวกเธอไม่สามารถที่จะบวช (ห่มผ้าเหลือง/ผ้ากาสาวภัตท์) ด้วยความเชื่อที่ว่า พ่อแม่จะได้บุญจากการเกาะชายผ้าเหลืองลูกชายขึ้นสวรรค์ บุญนี้ลูกสาวทำไม่ได้

ผู้หญิง=ลูกสาวจึงหาวิธีการทำบุญอย่างอื่น เราจะพบแม่ชี นักบวชหญิงจำนวนมากในประเทศไทยที่รับใช้พระพุทธศาสนา มีความเชื่อและปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ผู้หญิงที่ทำบุญมากมายในพระพุทธศาสนา และยอมรับคำสอนว่าการเกิดมาเป็นผู้หญิงนั้นไม่ดีอย่างไร หากเป็นผู้หญิงที่ดีต้องทำอย่างไร

หากจะมีใครในโลกแห่งพระพุทธศาสนาที่ยอมรับในการบรรลุธรรมอย่างเท่าเทียมของมนุษย์ไม่ว่าเพศใด ก็คงจะเป็นพระอานนท์และพระพุทธเจ้า

พระอานนท์เป็นผู้ทูลถามพระพุทธองค์เมื่อครั้งพระนางปหาปชาบดีโคตรมี ทูลขอทรงออกบวชเป็นภิกษุณีพระองค์แรกในพระพุทธศาสนา ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงกล่าวเองว่า ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิงต่างสามารถเข้าถึงสภาวะแห่งอรหันตผลได้ไม่ต่างกัน หมายความว่า ความเป็นเพศ ไม่ได้เป็นอุปสรรค

แล้วปัญหาอยู่ที่ไหน...

ทางโลกแล้วผู้หญิงถูกคาดหวังจากสังคมค่อนข้างมากเรื่องการต้องอยู่ในกรอบของ "ความเป็นผู้หญิงดี" แต่ผู้ชายถูกคาดหวังสูงกว่าในแง่ของการประสบความสำเร็จในสังคม อย่างไหนยากกว่าหรือกดดันมากกว่า...

เราอาจจะไม่ต้องตอบวันนี้ เพราะเท่าที่พี่เรียนรู้มาช่วงหนึ่งของชีวิต พี่ชื่นชอบความคิดเห็นของพระอานนท์และพระพุทธเจ้าที่ว่า ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็สามารถเข้าสู่อรหันตผล หรือการเข้าถึงความดี การเข้าถึงการเรียนรู้ในรูปแบบต่างๆ

ซึ่งหากศึกษาให้ดีแล้ว ผู้หญิงหรือผู้ชายในชนชั้น วรรณะต่างๆ ที่อยู่ในอินเดียต่างมาบวชในพระพุทธศาสนา ซึ่งก้าวข้ามความคิดในเรื่องชนชั้น มามองในเนื้อตัวของความเป็นมนุษย์ ที่แม้แต่เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองพุทธปัจจุบันยังไม่สามรถสร้างความเป็นชุมชนที่เท่าเทียมกันในแง่ของจิตวิญญาณและการปฏิบัติเหมือนกับสมัยพุทธกาลได้ แม้เวลาจะล่วงเลยมมากนักก็ตาม

ปัจจุบัน แม้คนจะมีเครื่องทุ่นแรงมากขึ้น แต่คนกลับมีเวลาน้อยลง สำหรับที่จะพัก อยู่กับตนเอง  แต่ไม่ใช่การอยู่เฉยๆ ในความหมายของการไม่ทำงาน ที่คนในสังคมมองว่าไม่ดี แต่ความหมายของการอยู่กับตนเอง ง่ายๆ คือ การอยู่โดยไม่มีโทรทัศน์ วิทยุ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์อยู่เป็นเพื่อนเรา รวมทั้งการคิดถึงสิ่งอื่นนอกตัว

เครื่องทุ่นแรงเหล่านี้แทนที่จะทำให้ชีวิตเรียบง่าย และมีเวลาสำหรับการเรียนรู้มากขึ้น กลับทำให้ชีวิตยุ่ง วุ่นวาย มีเวลาน้อยลง... ตกลงเราเลยไม่รู้ว่าเราเป็นคนใช้มันหรือมันใช้เรากันแน่ ทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านี้ไม่มีชีวิต

เราเห็นสังคมปัจจุบันที่ยากขึ้นด้วยเครื่องมือแล้ว ไม่เพียงเท่านี้... หากจิตใจมนุษย์ก็ยังซับซ้อนมากขึ้น แม้แต่การที่จะเข้าใจตนเองก็ยังยากขึ้น ทั้งๆ ที่ทุกคนต่างไม่อยากมีความทุกข์

หากเปรียบเทียบแบบก้าวกระโดด ไม่มองประวัติศาสตร์มากนัก มองเพียงแค่ความเป็นมนุษย์ มนุษย์สมัยนี้มีความทุกข์ที่ซับซ้อนมากขึ้น แต่ยังทุกข์จากความไม่รู้ หรือไม่...แม้กระทั่งรู้ว่าตัวเองทุกข์

สิ่งเหล่านี้บอกอะไร... สำหรับพี่ ความทุกข์ปัจจุบัน มันท้าทายให้พี่ออกห่างจากสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อลองดูสิว่า ชีวิตจะดีขึ้นหรือไม่ ...แต่ก็อาจจะเป็นแค่เรื่องที่จัดการได้เฉพาะบุคคล แต่ความทุกข์ที่มาจากโครงสร้างทางสังคมที่ไม่เอื้อให้กับมนุษย์ได้เรียนรู้ และเติบโตทางด้านจิตวิญญาณ แม้เรื่องง่ายๆ คือ การเรียนรู้ที่จะไม่ยึดติดกับสิ่งใด ก็ยากมากแล้ว

พี่กำลังมองหาทาง...อยู่นะ ไม่รู้จะเจอหรือไม่...

สำหรับพี่ตอนนี้กำลังเรียนรู้ตัวเอง เพื่อลดตัวตนอยู่ ...ไม่รู้จะเป็นยังไง...

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยชอบอยู่กับตัวเอง เพราะมีความรู้สึกไม่มั่นคง อีกทั้งยังคิดว่าเราควรที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ บ้าง ในการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน การเรียน หรือกิจกรรมต่างๆ ที่มีในความสัมพันธ์  แต่เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆ จำนวนหนึ่งที่ทำงานขับเคลื่อนทางสังคมในเรื่องชีวิตทางเพศได้เข้าร่วมภาวนา หรือ Retreat ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการภาวนาเพื่อติดตามเพื่อนๆ ที่ได้ภาวนาในรุ่นต่างๆ ก่อนหน้านี้ให้ได้พบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยน ซึ่งกันและกันว่าใครเป็นอย่างไร มีสุข มีทุกข์อย่างไรบ้าง
พันธกุมภา
เมื่อมีเวลาตรวจดูสภาวะจิตใจของตัวเองในช่วงนี้แล้ว ก็เหมือนกับว่าผมได้พบกันสภาวธรรมต่างๆ ที่แปรเปลี่ยนไปหลายๆ ประการ มีเกิด มีดับ สลับกันไปในจิตแต่ละช่วงขณะ คือค่อยๆ รู้สึกตัวบ้างในบางครั้ง รู้ว่าเผลอ รู้ว่าหลง รู้ว่าประคอง ในอารมณ์ต่างๆ เช่น ความคิด ความโกรธ หรือแม้กระทั่งความอยาก
พันธกุมภา
ผมถามพี่ที่รู้จักกันท่านหนึ่งว่า "ที่คนทั่วไปไม่ค่อยปฏิบัติธรรมเพราะอะไร"และพี่ท่านนี้ก็ได้ตอบจากประสบการณ์ของตัวเอง ว่า เมื่อก่อนเค้าไม่สนใจ  เพราะเป็นเด็กจะไม่ค่อยมีความทุกข์ แต่พอโตขึ้นแล้วไม่สามารถหาคำตอบได้ในบางคำถาม แต่ธรรมะกลับตอบได้
พันธกุมภา
ถามสวัสดีค่ะเหนื่อยจัง  นอนน้อยเลยเบลอมีคำถามมาถามน้องอีกแล้วค่ะ  คือเมื่อคืนและเมื่อหลายคืนก่อน ดูละครสาปภูษา กับสุสานภูเตศวรสองเรื่องนี้มีความเหมือนกันอยู่อย่างคือ  ย้อนยุค  ทะลุมิติ  โดยมีเรื่องวิญญาณมาเกี่ยวข้องจู่ๆ ก็มีคนถามขึ้นมาว่า  เชื่อเรื่อง ชาตินี้ ชาติหน้า ไหมทำให้พี่คิดขึ้นมาว่า เออ แล้วมันจริงเหรอ เรื่องนี้น่ะไม่รู้สิคะ  ตามความคิดส่วนตัวคือ เชี่อค่ะเชื่อ เลยไม่อยากทำอะไรไม่ดีเลย  อยากสั่งสมความดี สร้างบุญเพราะเราเห็นว่ามันสุขตั้งแต่นาทีที่ทำวันก่อนอ่านหนังสือคุณ ดังตฤณ พี่คิดว่าตามแนวคิดคุณดังตฤณ  มันก็มีจริงสิคะ ชาตินี้…
พันธกุมภา
ต่อจากการตอบจดหมายเรื่องทุกข์ใจกับคนที่ไม่ชอบเรา1 ขอบคุณอย่างยิ่งค่ะอ่านแล้วรู้สึกน้ำตาจะไหล
พันธกุมภา
ช่วงที่ผ่านมา มีจดหมายจาก คุณ พรพรรณ เขียนจดหมายมาสอบถามผม 4 เรื่องดังนี้  1. การที่เราต้องอยู่ร่วมกับคนที่เขาไม่ชอบเรา หรือมีทัศนคติที่ขัดแย้งกัน  เราควรทำอย่างไร2. การแผ่เมตตา  ช่วยให้ทุกข์ที่เกิดขึ้นคลายลง ได้หรือไม่  และการแผ่เมตตามีคุณอย่างไร3. การไปปฏิบัติ  จะช่วยให้เกิดผลบุญถึงเจ้ากรรมนายเวรได้จริงหรือเปล่าคะ4. คุณน้องเต้าเชื่อเรื่องกรรม หรือไม่คะ ผมได้รับและตอบกลับดังนี้.................... สวัสดีครับ ขอบคุณที่ไว้วางใจให้ผมได้แบ่งปันนะครับแต่...สภาวะของผมอาจเป็นคนอื่น…
พันธกุมภา
 คืนนี้ ดึกแล้วครับช่วงเวลาตีสามกว่าๆ ควรเป็นเวลาที่ผมจะได้นอนหลับอย่างสงบแต่ไม่รู้ทำไม? คืนนี้จึงเกิดความรู้สึกว่าอยากจะรวมเล่มบันทึก "ธรรมใจ ไดอารี่" นี้ให้เสร็จ
พันธกุมภา
ผมเขียนเรื่องนี้ตอนเพิ่งตื่น ตอนนี้ยังไม่ได้ล้างหน้า แปรงฟัน ตาก็ดูเบลอ ทำอะไรก็เบลอๆ อยู่นิดหนึ่ง ยังไม่ค่อยมีใจอยากจะทำอะไร ความขี้เกียจเป็นเพื่อนที่ไม่หนีไปไหน ยังคงยืนอยู่ข้างๆ กายผม ไม่อยากทำอะไรเลย แม้ว่าจะมีงานมากน้อยเพียงใด ผมอยากจะหยุดเวลาไว้ตรงที่การอยู่เฉยๆ เพราะเวลาไม่ได้ทำอะไรก็ดีไปอีกอย่าง...บอกไม่ถูกครับ
พันธกุมภา
  ตอนนี้ผมพบว่าความอ่อนล้าทำให้เหนื่อยกับสิ่งกำลังทำอยู่ ไม่ว่างานจะสนุกเพียงใด แต่ถ้าอะไรหลายๆ อย่างเข้ามาในชีวิตจนไม่สามารถจัดการได้ว่าจะทำอะไรก่อนหลัง วิธีการเรียงลำดับความสำคัญของงานเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับการมีชีวิตที่สมดุลกัน
พันธกุมภา
แม่เพิ่งโทรมาถามผมว่าวันเกิดปีนี้จะทำอะไร? และเตือนว่าอย่าลืมไปทำบุญถวายพระ แถมยังบอกอีกว่าปีนี้ อยากให้ทำทานโดยการซื้อผ้าเช็ดตัวให้กับผู้เฒ่าผู้แก่และเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กๆ ในหมู่บ้าน ผมรู้สึกดีใจที่คุณแม่โทรมา เพราะอย่างน้อยแสดงว่าท่านจำวันเกิดของผมได้ แม้ว่าผมจะไม่ค่อยตื่นเต้นอะไรกับวันเกิดเพราะมันก็เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งสำหรับผม แต่ที่ไหนได้วันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตของคุณแม่ เพราะท่านได้ให้การเกิดผมมาลืมตาดูโลก
พันธกุมภา
ช่วงอาทิตย์กว่าที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่คนรอบข้างผมต้องเสียชีวิตไปมากกว่า 3 คน คนหนึ่งเสียชีวิตด้วยการยิงตัวตาย อีกคนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง และคนสุดท้ายเสียชีวิตดูความชรา การจากไปของคนรู้จักเหล่านี้ แน่นอนว่านำมาซึ่งความเสียใจ ความเศร้าโศก และมันก็ทำให้ผมคิดถึง “ความตาย” อยู่ทุกๆ ขณะ เพราะความตายนี้เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราจริงๆ ซึ่งมันเป็นการบอกย้ำธรรมชาติของชีวิตว่าชีวิตทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง
พันธกุมภา
หลังจากวันที่เริ่มบันทึกมาจนถึงวันนี้ ก็ผ่านเลยมาหลายวันแล้ว มีเรื่องราวหลายๆ อย่างเกิดขึ้นในชีวิตแต่เท่าที่สำคัญและจำได้ดีคือ ช่วงวันที่ 5 - 15 มกราคม ที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆ ที่ทำงานสุขภาวะทางเพศประมาณ 20 คนได้เข้าอบรมภาวนาภายในและการเรียนรู้โครงสร้างทางสังคม ที่บ้านสวนธารทิพย์ ซึ่งมีพี่อวยพร เขื่อนแก้ว เป็นกระบวนกรหลัก