Skip to main content

พันธกุมภา


ถึง พี่มีนา

 


ผมหายจากหน้าจอไปนานเพราะมีงานให้ทำ จนฟกช้ำจิตใจไปทั่วเลย ไม่ค่อยมีเวลาได้พัก เพราะงานที่ผมรัก ทำให้ผมต้องใช้กำลังกายและความคิดมากเหลือล้น ผมจึงเป็นดั่งคนที่นำเอาพลังชีวิตในอนาคตมาใช้ ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าจะพอมีเรี่ยวแรงเหลือใช้หรือไม่ในกาลต่อไป


เฮ้อ...แต่ที่จะเล่าให้พี่ฟังครานี้ก็คือ ช่วงที่ผ่านมาผมและ “ลูกปัดไข่มุก” ได้ไปจัดห้องสนทนาธรรมชื่อห้องว่า “ห้องธรรมตามใจ” เนื่องในงานเพศศึกษาวิชาการขององค์การแพธ แล้วมีเรื่องที่น่าสนใจมากมาย ทว่าในฉบับนี้อยากเอาคำคมชวนคิดที่ “ลูกปัดไข่มุก” และผมได้ช่วยกันคิดและเขียนขึ้นมาบอกเล่าต่อ ดังนี้ครับ


1. ทำไมต้องรออายุเยอะจึงคิดปฏิบัติ

หลายๆ คนมองว่าการปฏิบัติธรรมหรือการเข้าวัดเข้าวาเป็นเรื่องของผู้สูงอายุ ปฏิเสธไม่ได้หรอกค่ะว่าผู้สูงอายุมักมีเวลาว่างมากกว่าคนวัยเด็กและผู้ใหญ่ บางคนก็เกษียณมาจากการรับราชการ ใช้เวลาอยู่บ้านเฉยๆ จึงไม่แปลกที่จะมีเวลาว่างมากมายในการปฏิบัติธรรมมากกว่า จึงเหมือนกลายเป็นของคู่กันว่าธรรมะต้องคู่กับคนวัยสูงอายุ แต่จริงๆแล้วการที่จะรอให้เราถึงวัยเกษียณก่อนนั้นเป็นเรื่องของการ “วางปลาทูไว้ใกล้แมว” เพราะมันเสี่ยงมาก บางคนอาจโชคดีหน่อยที่อายุยืนและได้ปฏิบัติธรรมตอนอายุเยอะตามที่คิดไว้ แต่บางคนที่ไม่ได้อายุยืนขนาดนั้นล่ะ? รวมถึงผู้ใหญ่หลายๆ คนที่มักพูดว่า “ไม่มีเวลา” เพราะงานเยอะหรืออะไรต่างๆนาๆ อันที่จริงแล้วการปฏิบัติมีความหมายกว้างมากกว่าแค่การนั่งหลับตานิ่งๆอยู่กับที่ แต่หมายถึงได้ทั้งการ เดินอย่างมีสติ กินข้าวอย่างมีสติ หรือ ทำงานอย่างมีสติด้วย เพราะฉะนั้นจะบอกว่า “ไม่มีเวลา” คงจะไม่ได้แล้วนะคะ :P

2. เกิดเป็นคนไม่ง่ายอย่างที่คิด

ชีวิตของเราในสังสารวัฏนั้นยาวนานมาก วนเวียนไปไม่รู้จักจบสิ้น โดยมีกรรมเป็นตัวกำหนดว่าเราจะไปเกิดเป็นอะไร ที่บอกว่าการเกิดเป็นคนนั้นไม่ง่ายก็เพราะว่าคนสามารถที่จะสร้างบุญบารมีได้มากกว่าภพภูมิใดๆ เพราะคนรู้จักทุกข์ได้มากกว่าเทวดานางฟ้าบนสวรรค์ และรู้จักสุขมากกว่าดวงจิตในภพภูมินรกทั้งหลาย ทำให้คนสามารถมองได้ว่าความสุขความทุกข์มันไม่เที่ยงและบรรลุได้ง่ายกว่า แต่ถึงยังไม่บรรลุก็สามารถสะสมบุญทำความดีและไปเกิดในที่ๆ ดีได้.... ดังนั้นเราเกิดมาเป็นคนแล้วก็จงใช้ร่างกายที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด เช่น ช่วยเหลือผู้อื่น ทำแต่สิ่งที่ดี ปฏิบัติธรรมจะได้ “ไม่เสียชาติเกิด” ยังไงล่ะคะ


3. คิดสิ่งที่ไม่ดี จิตตก บาป

มีผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง เธอเคยทำแท้งเพราะความจำเป็น ทำให้เธอรู้สึกผิดมาตลอด ที่ได้ตัดสินใจทำเช่นนั้นไป เธอจึงไปวัดทำบุญให้แก่ลูกเป็นประจำ หลวงพ่อก็สังเกตเห็นความเศร้าโศกในสีหน้าของเธอ จึงได้ซักถามว่าเป็นอะไรมา เธอเล่าด้วยความรู้สึกผิด หลวงพ่อจึงตอบกลับมาว่า การที่เรานั้นได้เคยทำผิดมา ก็จงรับรู้และให้อภัยตัวเองเสีย เพราะการคิดสิ่งที่เรารู้สึกผิดบ่อยครั้งทำให้ใจเรารู้สึกแย่ มันจะเป็นบาป ก็คือ เมื่อโยมทำแท้งไปครั้งหนึ่งโยมก็บาปไปครั้งหนึ่ง แต่ถ้าโยมไปคิดถึงการทำแท้งครั้งนั้นอีกโยมก็จะบาปอีกเป็นครั้งที่ 2... จากเรื่องนี้ได้เชื่อมโยงกับเรื่องความคิดก่อนตายว่า การที่เราคิดแต่เรื่องที่ดีก่อนตาย จิตใจย่อมแจ่มใสทำให้เราได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี แต่ถ้าเราเศร้าโศกกับการต้องจากลาญาติมิตร หรือหวงทรัพย์สมบัติทำให้จิตใจหม่นหมองก็ย่อมทำให้เราได้ไปเกิดในภพภูมิที่ไม่ดี ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าจิตที่แจ่มใสและเบิกบานทำให้เราได้เจอแต่สิ่งที่ดีนั่นเอง....


4. แค่ “รู้” ได้บุญมากกว่าสร้างเจดีย์ 7 ชั้น

การตาม “รู้” ก็คือการที่เรามีสติในการใช้ชีวิตรู้ว่าทำอะไรอยู่ มือขยับอยู่มั๊ย หรือคิดเรื่องอะไรอยู่ การฝึกตามรู้อย่างนี้ทำให้จิตเราเริ่มไวต่อสิ่งที่มากระทบมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความคิดหรือการกระทำต่างๆ ที่เราได้ทำ พูดง่ายๆ ก็คือมีสติอยู่กับตัวมากขึ้น เพราะธรรมชาติของจิตเรานั้นไวมาก คือ อย่างเช่นเรากำลังอ่านข้อความนี้อยู่ แต่ใจหรือจิต อาจจะลอยไปที่บ้านแล้วก็ได้ หรือลอยไปที่โต๊ะอาหารก็เป็นได้ นั่นคือภาวะของจิตที่ไม่ได้อยู่ในกาย แต่ถ้าเรา “รู้” ว่าจิตลอยออกไปเมื่อไหร่ เมื่อนั้นเราก็จะมีสติเข้ามาแทนที่ทันที เพราะฉะนั้นแค่รู้ก็ถูกต้องแล้ว.....!! ดังนั้นการภาวนานี้พระท่านว่ามีอานิสงค์มากกว่าการให้ทานหรือรักษาศีลอีกจึงทำให้ได้บุญมากกว่าการทำทานสร้างเจดีย์ 7 ชั้นอีกแน่ะ..


5. เดิน กิน นั่ง นอน ก็ดูจิตได้

การดูจิต คือ การดูสภาวะทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับกายและใจด้วยใจที่เป็นกลางตามที่มันเป็นอยู่ คือไม่ว่าเราจะทำอะไรเราก็สามารถตามรู้มันไปได้โดยไม่ปรุงแต่ง ไม่เพ่ง ไม่เผลอ ไม่ยึดติด สรุปคือ สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็นก็พอแล้ว ^^


6. ทุกชีวิตเท่าเทียมกัน

หลายๆ คนมีความคิดอย่างแบ่งแยกว่าการทำร้ายหรือฆ่าสัตว์เล็กๆนั้นไม่บาปมากเท่ากับฆ่าสัตว์ใหญ่ อันที่จริงแล้วไม่ว่ามันจะเป็นสัตว์เล็กหรือใหญ่มันก็มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันนั่นคือ “ชีวิต” เราจึงไม่น่ามองแต่ขนาดของตัวแต่ควรมองให้กว้างกว่าที่เป็น นั่นคือมองสรรพสัตว์ให้เป็นชีวิตเหมือนๆกับพวกเรา เราไม่ฆ่ามนุษย์ฉันใดเราก็ไม่ฆ่าสัตว์ฉันนั้น ถ้ามนุษย์เรามีแต่ความเมตตาแล้วโลกก็คงจะสงบสุข และมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นมากมาย และทุกสิ่งนั้นเริ่มได้จาก “ตัวคุณ” เพียงแค่วันนี้ได้เริ่มให้อภัยยุงที่มากัดเราถือว่าเป็นการให้ทาน ไม่ตบมันแต่แค่ไล่มันไป เพียงแค่นี้คุณก็จะกลายเป็นผู้ที่มีเมตตาต่อสรรพสัตว์แล้ว.........


7. ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นอนิจจัง

คำว่าอนิจจัง แปลว่า ไม่เที่ยง หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีวันสูญสลายทั้งสิ้น ลองมองย้อนมาที่ตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักก็ต้องมีวันตายจากเราไปหรือไม่เราก็ตายจากมันซะเอง ของที่ว่าเป็นของเราก็ต้องมีวันที่ใช้การไม่ได้เช่นปากกาเมื่อวานยังใช้ได้อยู่ดีๆ วันนี้ดันเขียนไม่ติดซะแล้ว หรือ หายไปอยู่กับคนที่นั่งโต๊ะข้างๆแล้วก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น ทำทุกอย่างให้เต็มที่เหมือนว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการมีชีวิตอยู่ เราจะได้ไม่ต้องเสียใจที่ไม่ได้ทำ....


8. เทวดาคุ้มครองคนดี

บางคนอาจจะยังไม่รู้นะคะว่าคนดีที่ชอบทำบุญน่ะมีเทวดาประจำตัวด้วยนะคะ! เทวดาประจำตัวที่ว่าก็คือ อย่างที่เวลาเราไปทำบุญมา เค้าก็จะมาอนุโมทนาด้วยและก็จะมาคอยคุ้มครองเราไม่ให้เรามีอันตราย และไม่ได้มีแค่องค์เดียวนะคะ อย่าเข้าใจผิด เพราะฉะนั้นเวลาเราไปทำบุญมา หรือ สวดมนต์ นั่งสมาธิ ก็อย่าลืมแผ่เมตตาและอุทิศส่วนบุญให้เทวดาประจำตัวเราด้วยนะคะ เราจะได้ “ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้” ยังไงล่ะคะ...


9. ธรรมะคือธรรมดาของชีวิต

ที่ว่าธรรมะคือธรรมดาของชีวิตก็เพราะว่าเราสามารถที่จะปฏิบัติได้ในทุกเวลาของการใช้ชีวิตเรา แค่รู้และมีสติในการทำงานต่างๆในชีวิตประจำวันก็เป็นการปฏิบัติธรรมแล้ว แต่ที่ส่วนใหญ่มักฝึกให้นั่งสมาธิ หลับตานิ่งๆ ทำให้เราคิดว่าต้องนั่งนิ่งๆเท่านั้นจึงเป็นการปฏิบัติ แต่ที่จริงแล้วไม่ได้มีแค่นั้น การนั่งสมาธิก็เป็นอุบายอีกวิธีที่ใช้ให้เรามีสติอยู่กับลมหายใจเข้าออก ซึ่งมันจะเห็นได้ชัดกว่าเพราะเราหลับตา อันที่จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นการเดินจงกรม การตามรู้อารมณ์ หรือ การตามรู้กายเคลื่อนไหว ต่างก็เป็นอุบายเพื่อให้เรามีสติอยู่ตลอดเวลานั่นเอง เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำอะไร ขอแค่ให้มีสติรู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไร ก็เป็นการปฏิบัติธรรมแล้ว...........


10. ปฏิบัติธรรมเพื่อไม่เอาอะไร

หลายๆ คนคิดว่าอยากจะปฏิบัติธรรมเพื่อจะได้ ตาทิพย์ หูทิพย์ ระลึกชาติได้ หรือว่าถอดจิตไปเที่ยวในที่ๆอยากจะไปได้ แต่จริงๆแล้วจุดสูงสุดของการปฏิบัติธรรมของทุกคนก็คือ “การพ้นทุกข์” หรือ “นิพพาน” นั่นคือการไม่เกิดอีก ...นิพพานเป็นสภาวะที่ไม่มีรูป (ร่างกาย) ไม่มีเพศ ไม่มีโลภ โกรธ หลง ไม่เอาทั้งสุขและทุกข์ มีแต่เมตตา และอยู่กับปัจจุบันขณะเท่านั้น....และนี่คือความหมายของคำว่า “ปฏิบัติธรรมเพื่อไม่เอาอะไร”


11. มีชีวิตบนความเสี่ยงเพียงแค่ไม่รู้

หากเราไม่มีสติระลึกรู้ ความโลภ โกรธ หลง ที่แวะเวียนเข้ามาในใจมันก็จะกลายมาเป็นเพื่อนของจิตที่คอยดึงเราไปในทางที่ไม่ดี เช่นถ้าเพื่อนที่ชื่อว่า “ความโกรธ” เข้ามา เราก็จะโมโห อาละวาด พูดสิ่งที่ไม่ดีออกไปทำให้คนอื่นเสียใจ และถ้าเพื่อนที่ชื่อว่า “โลภ” เข้ามาเราก็จะกลายเป็นคนที่เห็นแก่ได้ โดยที่ไม่คำนึงถึงผู้อื่น หรือเพื่อนที่ชื่อว่า “หลง” เข้ามาเราก็จะลืมตัว ไม่รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่......แต่ถ้าเรามีเพื่อนที่ชื่อว่าสติ เราก็จะสามารถตัดสินได้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ รวมถึงรู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นก็เปิดประตูต้อนรับ “เพื่อนสติ” เข้ามาเถอะนะคะ…….


12. ส่งจิตออกนอกเป็นทุกข์

การส่งจิตออกนอก คือการเอาจิตไว้นอกกาย หรือเมื่อเราฟังอะไร จิตเราก็จะส่งออกไปให้ความสนใจกับสิ่งนั้น เช่น ไม่ว่าจะดู จะฟัง จะกิน จะสูดกลิ่น หรือ จะสัมผัสกาย คนเราส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยเอาจิตไว้ที่ตัวเองทำให้เกิดทุกข์ได้ง่ายๆ หรือพูดง่ายๆ คือเราก็หลง หรือเผลอไปจนขาดสติ ทำให้เราทำอะไรไปตามกิเลสที่ปรุงแต่งจนเกิดผลเสียกับตัวเอง.....


13. อย่ารังเกียจความทุกข์

คนเรามักยินดีกับความสุขที่เข้ามาในชีวิต แต่ความทุกข์กลับกลายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจที่ไม่มีใครอยากได้มาพบเจอ แต่คุณคิดมั๊ยค่ะว่าความทุกข์ทำให้เราได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตและคิดต่างออกไป เหมือนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงออกบวชเพราะทรงเห็นถึงความทุกข์ในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของคนนั่นเอง และคนหลายๆคนก็ได้มาพบกับธรรมะก็เมื่อตอนที่มีแต่ความทุกข์มารุมเร้าใจ แล้วก็พบได้ว่าจะทุกข์หรือสุขมันก็อยู่ที่ใจของเรานั่นเอง เหมือนกับคำที่บอกว่า “สวรรค์อยู่ที่อก นรกอยู่ที่ใจ” เพราะอันที่จริงแล้วมันก็แค่มองให้ต่างแค่นั้น เหมือนน้ำที่มีอยู่ครึ่งแก้ว บางคนมองว่า “น้ำหายไปตั้งครึ่งแก้ว” แต่อีกคนกลับมองว่า “น้ำเหลืออีกตั้งครึ่งแก้ว” และแน่นอนว่าคนแรกย่อมมีทุกข์มากกว่าอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นจงมองให้ดีเพราะทุกอย่างมี 2 ด้านเสมอ..............


14. อยู่กับปัจจุบันขณะ

การอยู่กับปัจจุบันขณะก็คือการรู้สภาวะอารมณ์ความรู้สึก สภาวธรรมต่างๆตามความเป็นจริงอย่างที่มันเป็นโดยไม่ได้ไปคิดว่ามันเกิดจากอะไร เช่น เวลาเราโกรธเราก็รู้ว่าเรากำลังโกรธแต่ไม่ต้องไปคิดว่าใครมาทำให้โกรธ หรือถ้าคิดก็รู้ว่ากำลังคิด ฉะนั้นแล้วการอยู่กับปัจจุบันคือการตามรู้ทุกขณะจิตโดยเห็นมัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ทั้งนี้การอยู่กับปัจจุบันไม่ได้หมายถึงว่าเราจะต้องจมอยู่กับความรู้สึกนั้นๆ เพียงแต่เราทำตัวให้เป็นผู้รู้ไม่ใช่ผู้เล่น.....


...............................................


เชิญร่วมบริจาคหนังสือกับกลุ่มธรรมะทำดี....


ธรรมะสวัสดีค่ะ เพื่อนๆ พี่ๆ และลุง ป้า น้า อาทุกๆท่าน ^/^ เนื่องจากเดือนก่อนหนูได้คิดโครงการดีๆขึ้นมาได้ตอนระหว่างเรียนค่ะ หนูก็นั่งคิดว่าคนเราอย่างน้อยก็ต้องได้มีโอกาสเข้าโรงพยาบาลอย่างน้อยๆ ก็ครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะตอนอายุเยอะๆก็คงต้องได้นอนโรงพยาบาลบ้าง ผู้ป่วยหลายๆ คนคงเหงาและไม่มีอะไรทำระหว่างที่ต้องนอนพักรักษาตัวอยู่เฉยๆ ถ้าเรามีหนังสือดีๆเกี่ยวกับธรรมะสักเล่มให้เค้าได้อ่านผ่อนคลายกายใจ ที่เหน็ดเหนื่อยกับชีวิตและการงานมานานก็คงจะดีไม่น้อยนะคะว่ามั๊ยคะ


คนหลายๆ คนอาจได้พบธรรมตอนพบโรคก็ได้นะคะ ลองนึกภาพดูสิคะ ว่ามีนางพยาบาลมาเสิร์ฟยาพร้อมกับหนังสือธรรมะที่นอกจากจะเยียวยากายแล้วยังช่วยเยียวยาใจได้ด้วย ตอนนี้หนูก็เก็บเงินจากค่าขนมเข้าโครงการนี้อยู่เหมือนกันค่ะ แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่จะซื้อหนังสือได้มากมายหากไม่มีคนร่วมแบ่งปันเลย หนูจึงอยากขอหนังสือธรรมะดีๆ ที่คิดว่าอ่านง่ายและอยากแบ่งปันให้ผู้ร่วมสังสารวัฎกับเรา ถ้าพี่ๆ เพื่อนๆหรือลุง ป้า น้า อา ผู้ใดสนใจจะสนับสนุนโครงการนี้หนูขออนุโมทนาด้วยนะคะ”


ถ้าอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่เบอร์
085-113-5090 (
น้องมุก), 089-635-2250 (น้องเต้า) หรือเข้าไปดูที่ http://larndham.net/index.php?showtopic=33122


หากจะส่งหนังสือ สามารถส่งมาได้ที่

บ้านเลขที่ 24/166 ซอยลาดพร้าว 21 แขวงจอมพล เขตจตุจักร กทม. 10900


ติดต่อพูดคุยกับกลุ่มธรรมะทำดี ได้ที่
dhammatamdee@hotmail.com


บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยชอบอยู่กับตัวเอง เพราะมีความรู้สึกไม่มั่นคง อีกทั้งยังคิดว่าเราควรที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ บ้าง ในการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน การเรียน หรือกิจกรรมต่างๆ ที่มีในความสัมพันธ์  แต่เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆ จำนวนหนึ่งที่ทำงานขับเคลื่อนทางสังคมในเรื่องชีวิตทางเพศได้เข้าร่วมภาวนา หรือ Retreat ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการภาวนาเพื่อติดตามเพื่อนๆ ที่ได้ภาวนาในรุ่นต่างๆ ก่อนหน้านี้ให้ได้พบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยน ซึ่งกันและกันว่าใครเป็นอย่างไร มีสุข มีทุกข์อย่างไรบ้าง
พันธกุมภา
เมื่อมีเวลาตรวจดูสภาวะจิตใจของตัวเองในช่วงนี้แล้ว ก็เหมือนกับว่าผมได้พบกันสภาวธรรมต่างๆ ที่แปรเปลี่ยนไปหลายๆ ประการ มีเกิด มีดับ สลับกันไปในจิตแต่ละช่วงขณะ คือค่อยๆ รู้สึกตัวบ้างในบางครั้ง รู้ว่าเผลอ รู้ว่าหลง รู้ว่าประคอง ในอารมณ์ต่างๆ เช่น ความคิด ความโกรธ หรือแม้กระทั่งความอยาก
พันธกุมภา
ผมถามพี่ที่รู้จักกันท่านหนึ่งว่า "ที่คนทั่วไปไม่ค่อยปฏิบัติธรรมเพราะอะไร"และพี่ท่านนี้ก็ได้ตอบจากประสบการณ์ของตัวเอง ว่า เมื่อก่อนเค้าไม่สนใจ  เพราะเป็นเด็กจะไม่ค่อยมีความทุกข์ แต่พอโตขึ้นแล้วไม่สามารถหาคำตอบได้ในบางคำถาม แต่ธรรมะกลับตอบได้
พันธกุมภา
ถามสวัสดีค่ะเหนื่อยจัง  นอนน้อยเลยเบลอมีคำถามมาถามน้องอีกแล้วค่ะ  คือเมื่อคืนและเมื่อหลายคืนก่อน ดูละครสาปภูษา กับสุสานภูเตศวรสองเรื่องนี้มีความเหมือนกันอยู่อย่างคือ  ย้อนยุค  ทะลุมิติ  โดยมีเรื่องวิญญาณมาเกี่ยวข้องจู่ๆ ก็มีคนถามขึ้นมาว่า  เชื่อเรื่อง ชาตินี้ ชาติหน้า ไหมทำให้พี่คิดขึ้นมาว่า เออ แล้วมันจริงเหรอ เรื่องนี้น่ะไม่รู้สิคะ  ตามความคิดส่วนตัวคือ เชี่อค่ะเชื่อ เลยไม่อยากทำอะไรไม่ดีเลย  อยากสั่งสมความดี สร้างบุญเพราะเราเห็นว่ามันสุขตั้งแต่นาทีที่ทำวันก่อนอ่านหนังสือคุณ ดังตฤณ พี่คิดว่าตามแนวคิดคุณดังตฤณ  มันก็มีจริงสิคะ ชาตินี้…
พันธกุมภา
ต่อจากการตอบจดหมายเรื่องทุกข์ใจกับคนที่ไม่ชอบเรา1 ขอบคุณอย่างยิ่งค่ะอ่านแล้วรู้สึกน้ำตาจะไหล
พันธกุมภา
ช่วงที่ผ่านมา มีจดหมายจาก คุณ พรพรรณ เขียนจดหมายมาสอบถามผม 4 เรื่องดังนี้  1. การที่เราต้องอยู่ร่วมกับคนที่เขาไม่ชอบเรา หรือมีทัศนคติที่ขัดแย้งกัน  เราควรทำอย่างไร2. การแผ่เมตตา  ช่วยให้ทุกข์ที่เกิดขึ้นคลายลง ได้หรือไม่  และการแผ่เมตตามีคุณอย่างไร3. การไปปฏิบัติ  จะช่วยให้เกิดผลบุญถึงเจ้ากรรมนายเวรได้จริงหรือเปล่าคะ4. คุณน้องเต้าเชื่อเรื่องกรรม หรือไม่คะ ผมได้รับและตอบกลับดังนี้.................... สวัสดีครับ ขอบคุณที่ไว้วางใจให้ผมได้แบ่งปันนะครับแต่...สภาวะของผมอาจเป็นคนอื่น…
พันธกุมภา
 คืนนี้ ดึกแล้วครับช่วงเวลาตีสามกว่าๆ ควรเป็นเวลาที่ผมจะได้นอนหลับอย่างสงบแต่ไม่รู้ทำไม? คืนนี้จึงเกิดความรู้สึกว่าอยากจะรวมเล่มบันทึก "ธรรมใจ ไดอารี่" นี้ให้เสร็จ
พันธกุมภา
ผมเขียนเรื่องนี้ตอนเพิ่งตื่น ตอนนี้ยังไม่ได้ล้างหน้า แปรงฟัน ตาก็ดูเบลอ ทำอะไรก็เบลอๆ อยู่นิดหนึ่ง ยังไม่ค่อยมีใจอยากจะทำอะไร ความขี้เกียจเป็นเพื่อนที่ไม่หนีไปไหน ยังคงยืนอยู่ข้างๆ กายผม ไม่อยากทำอะไรเลย แม้ว่าจะมีงานมากน้อยเพียงใด ผมอยากจะหยุดเวลาไว้ตรงที่การอยู่เฉยๆ เพราะเวลาไม่ได้ทำอะไรก็ดีไปอีกอย่าง...บอกไม่ถูกครับ
พันธกุมภา
  ตอนนี้ผมพบว่าความอ่อนล้าทำให้เหนื่อยกับสิ่งกำลังทำอยู่ ไม่ว่างานจะสนุกเพียงใด แต่ถ้าอะไรหลายๆ อย่างเข้ามาในชีวิตจนไม่สามารถจัดการได้ว่าจะทำอะไรก่อนหลัง วิธีการเรียงลำดับความสำคัญของงานเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับการมีชีวิตที่สมดุลกัน
พันธกุมภา
แม่เพิ่งโทรมาถามผมว่าวันเกิดปีนี้จะทำอะไร? และเตือนว่าอย่าลืมไปทำบุญถวายพระ แถมยังบอกอีกว่าปีนี้ อยากให้ทำทานโดยการซื้อผ้าเช็ดตัวให้กับผู้เฒ่าผู้แก่และเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กๆ ในหมู่บ้าน ผมรู้สึกดีใจที่คุณแม่โทรมา เพราะอย่างน้อยแสดงว่าท่านจำวันเกิดของผมได้ แม้ว่าผมจะไม่ค่อยตื่นเต้นอะไรกับวันเกิดเพราะมันก็เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งสำหรับผม แต่ที่ไหนได้วันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตของคุณแม่ เพราะท่านได้ให้การเกิดผมมาลืมตาดูโลก
พันธกุมภา
ช่วงอาทิตย์กว่าที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่คนรอบข้างผมต้องเสียชีวิตไปมากกว่า 3 คน คนหนึ่งเสียชีวิตด้วยการยิงตัวตาย อีกคนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง และคนสุดท้ายเสียชีวิตดูความชรา การจากไปของคนรู้จักเหล่านี้ แน่นอนว่านำมาซึ่งความเสียใจ ความเศร้าโศก และมันก็ทำให้ผมคิดถึง “ความตาย” อยู่ทุกๆ ขณะ เพราะความตายนี้เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราจริงๆ ซึ่งมันเป็นการบอกย้ำธรรมชาติของชีวิตว่าชีวิตทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง
พันธกุมภา
หลังจากวันที่เริ่มบันทึกมาจนถึงวันนี้ ก็ผ่านเลยมาหลายวันแล้ว มีเรื่องราวหลายๆ อย่างเกิดขึ้นในชีวิตแต่เท่าที่สำคัญและจำได้ดีคือ ช่วงวันที่ 5 - 15 มกราคม ที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆ ที่ทำงานสุขภาวะทางเพศประมาณ 20 คนได้เข้าอบรมภาวนาภายในและการเรียนรู้โครงสร้างทางสังคม ที่บ้านสวนธารทิพย์ ซึ่งมีพี่อวยพร เขื่อนแก้ว เป็นกระบวนกรหลัก