Skip to main content

พันธกุมภา


ถึง พี่มีนา

 


ผมหายจากหน้าจอไปนานเพราะมีงานให้ทำ จนฟกช้ำจิตใจไปทั่วเลย ไม่ค่อยมีเวลาได้พัก เพราะงานที่ผมรัก ทำให้ผมต้องใช้กำลังกายและความคิดมากเหลือล้น ผมจึงเป็นดั่งคนที่นำเอาพลังชีวิตในอนาคตมาใช้ ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าจะพอมีเรี่ยวแรงเหลือใช้หรือไม่ในกาลต่อไป


เฮ้อ...แต่ที่จะเล่าให้พี่ฟังครานี้ก็คือ ช่วงที่ผ่านมาผมและ “ลูกปัดไข่มุก” ได้ไปจัดห้องสนทนาธรรมชื่อห้องว่า “ห้องธรรมตามใจ” เนื่องในงานเพศศึกษาวิชาการขององค์การแพธ แล้วมีเรื่องที่น่าสนใจมากมาย ทว่าในฉบับนี้อยากเอาคำคมชวนคิดที่ “ลูกปัดไข่มุก” และผมได้ช่วยกันคิดและเขียนขึ้นมาบอกเล่าต่อ ดังนี้ครับ


1. ทำไมต้องรออายุเยอะจึงคิดปฏิบัติ

หลายๆ คนมองว่าการปฏิบัติธรรมหรือการเข้าวัดเข้าวาเป็นเรื่องของผู้สูงอายุ ปฏิเสธไม่ได้หรอกค่ะว่าผู้สูงอายุมักมีเวลาว่างมากกว่าคนวัยเด็กและผู้ใหญ่ บางคนก็เกษียณมาจากการรับราชการ ใช้เวลาอยู่บ้านเฉยๆ จึงไม่แปลกที่จะมีเวลาว่างมากมายในการปฏิบัติธรรมมากกว่า จึงเหมือนกลายเป็นของคู่กันว่าธรรมะต้องคู่กับคนวัยสูงอายุ แต่จริงๆแล้วการที่จะรอให้เราถึงวัยเกษียณก่อนนั้นเป็นเรื่องของการ “วางปลาทูไว้ใกล้แมว” เพราะมันเสี่ยงมาก บางคนอาจโชคดีหน่อยที่อายุยืนและได้ปฏิบัติธรรมตอนอายุเยอะตามที่คิดไว้ แต่บางคนที่ไม่ได้อายุยืนขนาดนั้นล่ะ? รวมถึงผู้ใหญ่หลายๆ คนที่มักพูดว่า “ไม่มีเวลา” เพราะงานเยอะหรืออะไรต่างๆนาๆ อันที่จริงแล้วการปฏิบัติมีความหมายกว้างมากกว่าแค่การนั่งหลับตานิ่งๆอยู่กับที่ แต่หมายถึงได้ทั้งการ เดินอย่างมีสติ กินข้าวอย่างมีสติ หรือ ทำงานอย่างมีสติด้วย เพราะฉะนั้นจะบอกว่า “ไม่มีเวลา” คงจะไม่ได้แล้วนะคะ :P

2. เกิดเป็นคนไม่ง่ายอย่างที่คิด

ชีวิตของเราในสังสารวัฏนั้นยาวนานมาก วนเวียนไปไม่รู้จักจบสิ้น โดยมีกรรมเป็นตัวกำหนดว่าเราจะไปเกิดเป็นอะไร ที่บอกว่าการเกิดเป็นคนนั้นไม่ง่ายก็เพราะว่าคนสามารถที่จะสร้างบุญบารมีได้มากกว่าภพภูมิใดๆ เพราะคนรู้จักทุกข์ได้มากกว่าเทวดานางฟ้าบนสวรรค์ และรู้จักสุขมากกว่าดวงจิตในภพภูมินรกทั้งหลาย ทำให้คนสามารถมองได้ว่าความสุขความทุกข์มันไม่เที่ยงและบรรลุได้ง่ายกว่า แต่ถึงยังไม่บรรลุก็สามารถสะสมบุญทำความดีและไปเกิดในที่ๆ ดีได้.... ดังนั้นเราเกิดมาเป็นคนแล้วก็จงใช้ร่างกายที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด เช่น ช่วยเหลือผู้อื่น ทำแต่สิ่งที่ดี ปฏิบัติธรรมจะได้ “ไม่เสียชาติเกิด” ยังไงล่ะคะ


3. คิดสิ่งที่ไม่ดี จิตตก บาป

มีผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง เธอเคยทำแท้งเพราะความจำเป็น ทำให้เธอรู้สึกผิดมาตลอด ที่ได้ตัดสินใจทำเช่นนั้นไป เธอจึงไปวัดทำบุญให้แก่ลูกเป็นประจำ หลวงพ่อก็สังเกตเห็นความเศร้าโศกในสีหน้าของเธอ จึงได้ซักถามว่าเป็นอะไรมา เธอเล่าด้วยความรู้สึกผิด หลวงพ่อจึงตอบกลับมาว่า การที่เรานั้นได้เคยทำผิดมา ก็จงรับรู้และให้อภัยตัวเองเสีย เพราะการคิดสิ่งที่เรารู้สึกผิดบ่อยครั้งทำให้ใจเรารู้สึกแย่ มันจะเป็นบาป ก็คือ เมื่อโยมทำแท้งไปครั้งหนึ่งโยมก็บาปไปครั้งหนึ่ง แต่ถ้าโยมไปคิดถึงการทำแท้งครั้งนั้นอีกโยมก็จะบาปอีกเป็นครั้งที่ 2... จากเรื่องนี้ได้เชื่อมโยงกับเรื่องความคิดก่อนตายว่า การที่เราคิดแต่เรื่องที่ดีก่อนตาย จิตใจย่อมแจ่มใสทำให้เราได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี แต่ถ้าเราเศร้าโศกกับการต้องจากลาญาติมิตร หรือหวงทรัพย์สมบัติทำให้จิตใจหม่นหมองก็ย่อมทำให้เราได้ไปเกิดในภพภูมิที่ไม่ดี ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าจิตที่แจ่มใสและเบิกบานทำให้เราได้เจอแต่สิ่งที่ดีนั่นเอง....


4. แค่ “รู้” ได้บุญมากกว่าสร้างเจดีย์ 7 ชั้น

การตาม “รู้” ก็คือการที่เรามีสติในการใช้ชีวิตรู้ว่าทำอะไรอยู่ มือขยับอยู่มั๊ย หรือคิดเรื่องอะไรอยู่ การฝึกตามรู้อย่างนี้ทำให้จิตเราเริ่มไวต่อสิ่งที่มากระทบมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความคิดหรือการกระทำต่างๆ ที่เราได้ทำ พูดง่ายๆ ก็คือมีสติอยู่กับตัวมากขึ้น เพราะธรรมชาติของจิตเรานั้นไวมาก คือ อย่างเช่นเรากำลังอ่านข้อความนี้อยู่ แต่ใจหรือจิต อาจจะลอยไปที่บ้านแล้วก็ได้ หรือลอยไปที่โต๊ะอาหารก็เป็นได้ นั่นคือภาวะของจิตที่ไม่ได้อยู่ในกาย แต่ถ้าเรา “รู้” ว่าจิตลอยออกไปเมื่อไหร่ เมื่อนั้นเราก็จะมีสติเข้ามาแทนที่ทันที เพราะฉะนั้นแค่รู้ก็ถูกต้องแล้ว.....!! ดังนั้นการภาวนานี้พระท่านว่ามีอานิสงค์มากกว่าการให้ทานหรือรักษาศีลอีกจึงทำให้ได้บุญมากกว่าการทำทานสร้างเจดีย์ 7 ชั้นอีกแน่ะ..


5. เดิน กิน นั่ง นอน ก็ดูจิตได้

การดูจิต คือ การดูสภาวะทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับกายและใจด้วยใจที่เป็นกลางตามที่มันเป็นอยู่ คือไม่ว่าเราจะทำอะไรเราก็สามารถตามรู้มันไปได้โดยไม่ปรุงแต่ง ไม่เพ่ง ไม่เผลอ ไม่ยึดติด สรุปคือ สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็นก็พอแล้ว ^^


6. ทุกชีวิตเท่าเทียมกัน

หลายๆ คนมีความคิดอย่างแบ่งแยกว่าการทำร้ายหรือฆ่าสัตว์เล็กๆนั้นไม่บาปมากเท่ากับฆ่าสัตว์ใหญ่ อันที่จริงแล้วไม่ว่ามันจะเป็นสัตว์เล็กหรือใหญ่มันก็มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันนั่นคือ “ชีวิต” เราจึงไม่น่ามองแต่ขนาดของตัวแต่ควรมองให้กว้างกว่าที่เป็น นั่นคือมองสรรพสัตว์ให้เป็นชีวิตเหมือนๆกับพวกเรา เราไม่ฆ่ามนุษย์ฉันใดเราก็ไม่ฆ่าสัตว์ฉันนั้น ถ้ามนุษย์เรามีแต่ความเมตตาแล้วโลกก็คงจะสงบสุข และมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นมากมาย และทุกสิ่งนั้นเริ่มได้จาก “ตัวคุณ” เพียงแค่วันนี้ได้เริ่มให้อภัยยุงที่มากัดเราถือว่าเป็นการให้ทาน ไม่ตบมันแต่แค่ไล่มันไป เพียงแค่นี้คุณก็จะกลายเป็นผู้ที่มีเมตตาต่อสรรพสัตว์แล้ว.........


7. ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นอนิจจัง

คำว่าอนิจจัง แปลว่า ไม่เที่ยง หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีวันสูญสลายทั้งสิ้น ลองมองย้อนมาที่ตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักก็ต้องมีวันตายจากเราไปหรือไม่เราก็ตายจากมันซะเอง ของที่ว่าเป็นของเราก็ต้องมีวันที่ใช้การไม่ได้เช่นปากกาเมื่อวานยังใช้ได้อยู่ดีๆ วันนี้ดันเขียนไม่ติดซะแล้ว หรือ หายไปอยู่กับคนที่นั่งโต๊ะข้างๆแล้วก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น ทำทุกอย่างให้เต็มที่เหมือนว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการมีชีวิตอยู่ เราจะได้ไม่ต้องเสียใจที่ไม่ได้ทำ....


8. เทวดาคุ้มครองคนดี

บางคนอาจจะยังไม่รู้นะคะว่าคนดีที่ชอบทำบุญน่ะมีเทวดาประจำตัวด้วยนะคะ! เทวดาประจำตัวที่ว่าก็คือ อย่างที่เวลาเราไปทำบุญมา เค้าก็จะมาอนุโมทนาด้วยและก็จะมาคอยคุ้มครองเราไม่ให้เรามีอันตราย และไม่ได้มีแค่องค์เดียวนะคะ อย่าเข้าใจผิด เพราะฉะนั้นเวลาเราไปทำบุญมา หรือ สวดมนต์ นั่งสมาธิ ก็อย่าลืมแผ่เมตตาและอุทิศส่วนบุญให้เทวดาประจำตัวเราด้วยนะคะ เราจะได้ “ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้” ยังไงล่ะคะ...


9. ธรรมะคือธรรมดาของชีวิต

ที่ว่าธรรมะคือธรรมดาของชีวิตก็เพราะว่าเราสามารถที่จะปฏิบัติได้ในทุกเวลาของการใช้ชีวิตเรา แค่รู้และมีสติในการทำงานต่างๆในชีวิตประจำวันก็เป็นการปฏิบัติธรรมแล้ว แต่ที่ส่วนใหญ่มักฝึกให้นั่งสมาธิ หลับตานิ่งๆ ทำให้เราคิดว่าต้องนั่งนิ่งๆเท่านั้นจึงเป็นการปฏิบัติ แต่ที่จริงแล้วไม่ได้มีแค่นั้น การนั่งสมาธิก็เป็นอุบายอีกวิธีที่ใช้ให้เรามีสติอยู่กับลมหายใจเข้าออก ซึ่งมันจะเห็นได้ชัดกว่าเพราะเราหลับตา อันที่จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นการเดินจงกรม การตามรู้อารมณ์ หรือ การตามรู้กายเคลื่อนไหว ต่างก็เป็นอุบายเพื่อให้เรามีสติอยู่ตลอดเวลานั่นเอง เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำอะไร ขอแค่ให้มีสติรู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไร ก็เป็นการปฏิบัติธรรมแล้ว...........


10. ปฏิบัติธรรมเพื่อไม่เอาอะไร

หลายๆ คนคิดว่าอยากจะปฏิบัติธรรมเพื่อจะได้ ตาทิพย์ หูทิพย์ ระลึกชาติได้ หรือว่าถอดจิตไปเที่ยวในที่ๆอยากจะไปได้ แต่จริงๆแล้วจุดสูงสุดของการปฏิบัติธรรมของทุกคนก็คือ “การพ้นทุกข์” หรือ “นิพพาน” นั่นคือการไม่เกิดอีก ...นิพพานเป็นสภาวะที่ไม่มีรูป (ร่างกาย) ไม่มีเพศ ไม่มีโลภ โกรธ หลง ไม่เอาทั้งสุขและทุกข์ มีแต่เมตตา และอยู่กับปัจจุบันขณะเท่านั้น....และนี่คือความหมายของคำว่า “ปฏิบัติธรรมเพื่อไม่เอาอะไร”


11. มีชีวิตบนความเสี่ยงเพียงแค่ไม่รู้

หากเราไม่มีสติระลึกรู้ ความโลภ โกรธ หลง ที่แวะเวียนเข้ามาในใจมันก็จะกลายมาเป็นเพื่อนของจิตที่คอยดึงเราไปในทางที่ไม่ดี เช่นถ้าเพื่อนที่ชื่อว่า “ความโกรธ” เข้ามา เราก็จะโมโห อาละวาด พูดสิ่งที่ไม่ดีออกไปทำให้คนอื่นเสียใจ และถ้าเพื่อนที่ชื่อว่า “โลภ” เข้ามาเราก็จะกลายเป็นคนที่เห็นแก่ได้ โดยที่ไม่คำนึงถึงผู้อื่น หรือเพื่อนที่ชื่อว่า “หลง” เข้ามาเราก็จะลืมตัว ไม่รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่......แต่ถ้าเรามีเพื่อนที่ชื่อว่าสติ เราก็จะสามารถตัดสินได้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ รวมถึงรู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นก็เปิดประตูต้อนรับ “เพื่อนสติ” เข้ามาเถอะนะคะ…….


12. ส่งจิตออกนอกเป็นทุกข์

การส่งจิตออกนอก คือการเอาจิตไว้นอกกาย หรือเมื่อเราฟังอะไร จิตเราก็จะส่งออกไปให้ความสนใจกับสิ่งนั้น เช่น ไม่ว่าจะดู จะฟัง จะกิน จะสูดกลิ่น หรือ จะสัมผัสกาย คนเราส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยเอาจิตไว้ที่ตัวเองทำให้เกิดทุกข์ได้ง่ายๆ หรือพูดง่ายๆ คือเราก็หลง หรือเผลอไปจนขาดสติ ทำให้เราทำอะไรไปตามกิเลสที่ปรุงแต่งจนเกิดผลเสียกับตัวเอง.....


13. อย่ารังเกียจความทุกข์

คนเรามักยินดีกับความสุขที่เข้ามาในชีวิต แต่ความทุกข์กลับกลายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจที่ไม่มีใครอยากได้มาพบเจอ แต่คุณคิดมั๊ยค่ะว่าความทุกข์ทำให้เราได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตและคิดต่างออกไป เหมือนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงออกบวชเพราะทรงเห็นถึงความทุกข์ในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของคนนั่นเอง และคนหลายๆคนก็ได้มาพบกับธรรมะก็เมื่อตอนที่มีแต่ความทุกข์มารุมเร้าใจ แล้วก็พบได้ว่าจะทุกข์หรือสุขมันก็อยู่ที่ใจของเรานั่นเอง เหมือนกับคำที่บอกว่า “สวรรค์อยู่ที่อก นรกอยู่ที่ใจ” เพราะอันที่จริงแล้วมันก็แค่มองให้ต่างแค่นั้น เหมือนน้ำที่มีอยู่ครึ่งแก้ว บางคนมองว่า “น้ำหายไปตั้งครึ่งแก้ว” แต่อีกคนกลับมองว่า “น้ำเหลืออีกตั้งครึ่งแก้ว” และแน่นอนว่าคนแรกย่อมมีทุกข์มากกว่าอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นจงมองให้ดีเพราะทุกอย่างมี 2 ด้านเสมอ..............


14. อยู่กับปัจจุบันขณะ

การอยู่กับปัจจุบันขณะก็คือการรู้สภาวะอารมณ์ความรู้สึก สภาวธรรมต่างๆตามความเป็นจริงอย่างที่มันเป็นโดยไม่ได้ไปคิดว่ามันเกิดจากอะไร เช่น เวลาเราโกรธเราก็รู้ว่าเรากำลังโกรธแต่ไม่ต้องไปคิดว่าใครมาทำให้โกรธ หรือถ้าคิดก็รู้ว่ากำลังคิด ฉะนั้นแล้วการอยู่กับปัจจุบันคือการตามรู้ทุกขณะจิตโดยเห็นมัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ทั้งนี้การอยู่กับปัจจุบันไม่ได้หมายถึงว่าเราจะต้องจมอยู่กับความรู้สึกนั้นๆ เพียงแต่เราทำตัวให้เป็นผู้รู้ไม่ใช่ผู้เล่น.....


...............................................


เชิญร่วมบริจาคหนังสือกับกลุ่มธรรมะทำดี....


ธรรมะสวัสดีค่ะ เพื่อนๆ พี่ๆ และลุง ป้า น้า อาทุกๆท่าน ^/^ เนื่องจากเดือนก่อนหนูได้คิดโครงการดีๆขึ้นมาได้ตอนระหว่างเรียนค่ะ หนูก็นั่งคิดว่าคนเราอย่างน้อยก็ต้องได้มีโอกาสเข้าโรงพยาบาลอย่างน้อยๆ ก็ครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะตอนอายุเยอะๆก็คงต้องได้นอนโรงพยาบาลบ้าง ผู้ป่วยหลายๆ คนคงเหงาและไม่มีอะไรทำระหว่างที่ต้องนอนพักรักษาตัวอยู่เฉยๆ ถ้าเรามีหนังสือดีๆเกี่ยวกับธรรมะสักเล่มให้เค้าได้อ่านผ่อนคลายกายใจ ที่เหน็ดเหนื่อยกับชีวิตและการงานมานานก็คงจะดีไม่น้อยนะคะว่ามั๊ยคะ


คนหลายๆ คนอาจได้พบธรรมตอนพบโรคก็ได้นะคะ ลองนึกภาพดูสิคะ ว่ามีนางพยาบาลมาเสิร์ฟยาพร้อมกับหนังสือธรรมะที่นอกจากจะเยียวยากายแล้วยังช่วยเยียวยาใจได้ด้วย ตอนนี้หนูก็เก็บเงินจากค่าขนมเข้าโครงการนี้อยู่เหมือนกันค่ะ แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่จะซื้อหนังสือได้มากมายหากไม่มีคนร่วมแบ่งปันเลย หนูจึงอยากขอหนังสือธรรมะดีๆ ที่คิดว่าอ่านง่ายและอยากแบ่งปันให้ผู้ร่วมสังสารวัฎกับเรา ถ้าพี่ๆ เพื่อนๆหรือลุง ป้า น้า อา ผู้ใดสนใจจะสนับสนุนโครงการนี้หนูขออนุโมทนาด้วยนะคะ”


ถ้าอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่เบอร์
085-113-5090 (
น้องมุก), 089-635-2250 (น้องเต้า) หรือเข้าไปดูที่ http://larndham.net/index.php?showtopic=33122


หากจะส่งหนังสือ สามารถส่งมาได้ที่

บ้านเลขที่ 24/166 ซอยลาดพร้าว 21 แขวงจอมพล เขตจตุจักร กทม. 10900


ติดต่อพูดคุยกับกลุ่มธรรมะทำดี ได้ที่
dhammatamdee@hotmail.com


บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ผมคิดไว้มานานหลายเดือนแล้วว่า จะตั้งใจเขียน "บันทึกการเจริญสติ" ของตัวเองขึ้นมาเพราะคิดว่าคงจะดี ถ้าได้บันทึกไว้ เพื่อการเรียนรู้ของตัวเอง และคนอื่นๆ ที่สนใจ ก่อนที่จะบันทึกในกาลต่อไป ขอเล่าเรื่องการภาวนาของตัวเองก่อน....สำหรับผมแล้ว เริ่มต้นของการปฏิบัติคือเมื่อปลายปี 2549 ก็เกิดจากทุกข์ทางใจ เพราะงานเยอะ เครียด และตอนนั้นแฟนจะขอเลิก เขาเลยเสนอว่าให้ไปปฏิบัติธรรมเพื่อทำใจ จึงได้สมัครไปปฏิบัติของท่าน โกเอ็นก้า ที่ ธรรมอาภา จ.พิษณุโลก พอไปทำมา 10 วัน ก็ดีใจ ที่ทุกข์ครั้งนี้ทำให้ได้พบกับธรรมะ
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนา ปลายปี 2551 นี้ ผมมีโปรแกรมไปเจริญสติที่วัดป่าสุคะโตอีกครั้ง ภายหลังจากเมื่อสิ้นปี 2550 ที่ผ่านมาผมได้เดินทางไปที่วัดป่าสุคะโตแล้วและได้พบหลัก พบหนทาง หลายอย่างที่เหมาะสมกับตัวเองยิ่งนัก แต่การเดินทางไปครั้งนี้ไม่เหมือนปีก่อน....มีหลายเรื่องเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง ไปตามกาลเวลา สิ่งที่เข้ามารับรู้ทำให้อารมณ์ของผมเกิดขึ้นไปต่างๆ นานา และสิ่งที่เสียใจที่สุด ทำให้ใจหม่นหมองมาหลายวัน นั่นคือการมรณภาพของ "หลวงปู่" เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา เมื่อฉบับที่แล้ว ผมได้กล่าวถึงโครงการ “ธรรมทานสู่โรงพยาบาล” ที่ผมและลูกปัดไข่มุก ร่วมกันทำในนามกลุ่ม “ธรรมะทำดี” – กลุ่มที่เราสองคนร่วมกันคิด ร่วมกันก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา เพื่อการเผยแพร่ธรรมะที่เราได้พบและเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ ทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่ ที่ผ่านมา พวกเราสองคนต้องขอบคุณพี่ๆ หลายๆ ท่านที่ได้ส่งหนังสือมาให้นะครับ ตอนนี้มีคนที่มอบหนังสือมาหลายเล่ม ทั้งนิตยสาร และหนังสือธรรมะ และก็มีบางส่วนที่เราไปหาซื้อแถวจตุจักร จากเงินเก็บของเราที่มีอยู่
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง พี่มีนา  ผมหายจากหน้าจอไปนานเพราะมีงานให้ทำ จนฟกช้ำจิตใจไปทั่วเลย ไม่ค่อยมีเวลาได้พัก เพราะงานที่ผมรัก ทำให้ผมต้องใช้กำลังกายและความคิดมากเหลือล้น ผมจึงเป็นดั่งคนที่นำเอาพลังชีวิตในอนาคตมาใช้ ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าจะพอมีเรี่ยวแรงเหลือใช้หรือไม่ในกาลต่อไป เฮ้อ...แต่ที่จะเล่าให้พี่ฟังครานี้ก็คือ ช่วงที่ผ่านมาผมและ “ลูกปัดไข่มุก” ได้ไปจัดห้องสนทนาธรรมชื่อห้องว่า “ห้องธรรมตามใจ” เนื่องในงานเพศศึกษาวิชาการขององค์การแพธ แล้วมีเรื่องที่น่าสนใจมากมาย ทว่าในฉบับนี้อยากเอาคำคมชวนคิดที่ “ลูกปัดไข่มุก” และผมได้ช่วยกันคิดและเขียนขึ้นมาบอกเล่าต่อ ดังนี้ครับ 1.…
พันธกุมภา
มีนา ถึง...น้อง พันธกุมภา ความขี้เกียจมันไม่เข้าใคร ออกใครจริงๆ ... แต่ตอนนี้ต้องเริ่มลุกขึ้นมาทำงานแล้ว เพราะคนที่อดทนไม่ได้เมื่อเราไม่ทำงานก็คือ “แม่” ของเราเอง แม่ของพี่ เป็นภาพสะท้อนของคนจีนในเมืองไทย รุ่นที่ 2 ที่ยังคง ลำบาก ทำงานหนัก และถือปรัชญาพุทธ “ขงจื๊อ” ในเรื่องการทำงานว่าต้องมี ความซื่อสัตย์ ไม่เอารัดเอาเปรียบ ความขยัน อดทน และอดออม แม่มีทุกอย่างจริงๆ แต่พี่อาจจะไม่มีทุกอย่าง อย่างที่แม่มี เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่เรามีความเหมือนและความต่าง แม้เราจะเติบโตมาท่ามกลางครอบครัวที่สอนให้เราเป็นคนค้าขาย เราอาจจะไม่ได้อยากค้าขาย ครอบครัวสอนให้เราทำงานหนัก…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาช่วงนี้เป็นเวลาพักของพี่ ช่างเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากๆ ในความรู้สึก... แต่พี่อดคิดถึงน้องไม่ได้... แล้ววันหนึ่ง... โดยที่ไม่คาดคิด เราก็มาพบกันโดยที่มิได้คาดหมายหรือนัดกันไว้ก่อน พี่อดคิดไม่ได้ว่า ชีวิตคนเราช่างแปลกจริงๆ เราก็มาพบกันจนได้ เพราะความไม่สบายของพี่ชายเพื่อนของเรา ส่วนตัวพี่ไปบ้านนั้นเพราะต้องการไปดูแลตัวเองนอกจากได้ไปดูแลตัวเองและพบกับน้องแล้ว พี่ยังได้พบกับเพื่อนอีกหลายคน ที่ไม่ได้พบกันนานที่นั่น ใครหลายคนบอกว่า โลกมันช่างแคบ ถ้าเรารู้จักคนนี้ เราก็จะรู้จักคนนั้น แต่อาจจะไม่ใช่ในช่วงเวลาเดียวกันเท่านั้นเองการพักผ่อนของพี่ ก็คงเหมือนกับคนทั่วๆ…
พันธกุมภา
มีนา ถึง...พันธกุมภา ตั้งแต่ตกงาน พี่ยังไม่ได้หยุดงานเลย พี่พบว่าโลกปัจจุบันมีงานอยู่หลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่าใครจะนิยามมันว่าเป็นงานอย่างไร สำหรับชีวิตพี่ตอนนี้ มีงานแบบที่ถูกให้คุณค่าทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม และงานที่ไม่ได้ถูกให้ค่าเชิงเศรษฐกิจแต่จำเป็นต้องทำ อันนี้ยังไม่ได้นับรวมเรื่องทางธรรมที่พี่ไปพบมา คืองานที่ทำแล้วไม่มีคุณค่าทางโลกแต่ได้ “บุญ” คิดดูสิว่า... ในโลกเรามีงานมากมายขนาดไหน งานที่พี่ลาออกมาเพื่อขอพัก พี่ยังไม่ได้พักเลยจนกระทั่งบัดนี้ เพราะพี่ทำแต่งานที่ไม่ให้ค่าทางเศรษฐกิจ อย่าง การดูแลแม่ งานบ้าน และการดูแลบ้าน และยังงานอื่นๆ ที่ต้องเกี่ยวข้องกับครอบครัว…
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา ผมขอแสดงความดีกับพี่สาวของผมด้วยนะครับ ที่มีโอกาสได้พักผ่อน แม้ว่าหลายคนจะบอกว่าการที่เราตกงานนั้นเปรียบเสมือนการพายเรือในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่เคว้งคว้างไม่รู้ว่าจะมีหนทางในงานใหม่อย่างไรได้อีก ผมทราบดีว่าพี่คงจะเหนื่อยจากการทำงานมิน้อยเลย และเชื่อว่าการได้รับมอบหมายงานเยอะคงไม่ใช่สาเหตุของการออกจากงานหรอกใช่ไหมครับ ผมรู้ว่าจดหมายหลายฉบับที่พี่ได้เขียนมาบอกเล่านั้นมันสะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้กับวิถีชีวิตความเป็นคนในเมืองหลวง และรวมถึงการต้องสัมพันธ์กับคนมากหน้าหลายตา ที่มีตัวตนแตกต่างกันไป การที่เราทำงานที่เรารัก…
พันธกุมภา
มีนา  ถึง พันธกุมภา พี่กำลังจะเป็นคนตกงานค่ะ... ฉันกำลังจะเป็นคนตกงานค่ะ เดือนสิงหาคมนี้เป็นเดือนสุดท้ายสำหรับการทำงานอย่างเป็นทางการของฉัน ญาติพี่น้อง... เจ้านาย... เพื่อนร่วมงาน... เพื่อน... ต่างเป็นห่วงเป็นใยกลัวว่าพี่จะว่าง กลัวว่าฉันจะไม่มีงานทำ ไม่มีเงินใช้ ตอนที่ฉันทำงาน พวกเขาต่างให้ความห่วง ความกังวล ว่าฉันทำงานหนักเกินไป  คนและสังคมสมัยนี้ให้คุณค่ากับการทำงานมากกว่าคุณค่าของความว่างงาน พี่เคยมีประสบการณ์การตกงานมาก่อนหน้านี้แล้ว ครั้งนั้นพี่ยังไม่สามารถปล่อยวางเรื่องการว่างงานได้ แต่ครั้งนี้ พี่พยายามปล่อยวางเรื่องการงานในปัจจุบันเพื่อพบกับความว่าง …
พันธกุมภา
  พันธกุมภาถึง มีนาเมื่อฉบับที่แล้วพี่มีนาได้กล่าวถึงเรื่องการ "ปล่อยวาง" ซึ่งผมมองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งของการปฏิบัติธรรม เพราะหาไม่แล้วเราก็เป็นเพียงแค่ผู้เผชิญกับความสุขที่จิตใจเกิดขึ้นโดยที่หลงยึดติดอย่างไม่ทันรู้ตัวทั่วถ้วนสิ่งที่ผมอยากจะเน้นย้ำในที่นี้ก็คือ เรื่องการปล่อยวาง หรือ การวางเฉย ซึ่งคล้ายกับภาษาธรรมที่เรียกว่า "อุเบกขา" นี้ ถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง เพราะอย่างที่เราได้รู้กันมานั้นก็คือ ในการปฏิบัติธรรมนั้น ถือว่ามีด้วยกัน 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ การทำสมถะ และการทำวิปัสสนา เท่าที่รู้, การทำสมถะ คือ การทำให้จิตสงบ ทำให้จิตนิ่ง…
พันธกุมภา
มีนา สวัสดี พันธกุมภา รู้ว่าน้องสบายดี พี่ก็ยินดีไปด้วย การดำรงชีวิตอย่างมีสติไม่ใช่เรื่องง่าย พี่ก็ว่างบ้างไม่ว่างบ้าง เพียงแต่ช่วงเวลาที่น้องไม่ว่าง บังเอิญพี่ว่าง ซึ่งเป็นเรื่องดีที่เราจะมีจังหวะชีวิตที่แตกต่างกัน และทำให้การเขียนงานลงตัว พี่ยังคิดอยู่ว่า ถ้าไม่ว่างขึ้นมาพร้อมๆ กัน คงมีปัญหาแน่ๆ สำหรับพี่ ความแตกต่างจึงน่าสนใจ เช่นเดียวกับฤดูที่แตกต่าง ชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ ช่วงสัปดาห์ที่น้องกำลังมีความสุขอยู่นั้น ชีวิตของพี่เหน็ดเหนื่อยและผจญกับความทุกข์ของคนอื่น แล้วยึดมาเป็นความทุกข์ของตนเอง ... บางทีพี่ก็คิดว่า ทำไมเราจึงเป็นคนอย่างนั้นไปได้ และทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่…
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา สวัสดีครับพี่มีนา เป็นอะไรไปถึงไหนอย่างไรบ้างครับ หวังว่าพี่จะสบายดีมีสติในทุกๆ ความสนุกนะครับ อืม...จะว่าไปแล้วเราก็ไม่ได้ตอบรับจดหมายกันนานทีเดียว บางทีพี่ก็ว่างมากมายจนผมรู้สึกอิจฉาตาร้อน และผมเองบางทีก็ว่างนิดหน่อย พอมีเวลามานั่งขีดเขียน เวียนวนให้พี่ได้ยลได้ติดตามอยู่เนืองๆ ช่วงที่ผ่านมาวันเข้าพรรษา ผมพาตัวเองไปเข้าวัดมาครับ แถวๆ เกาะสีชัง ได้ไปกับคนที่รักและใช้ชีวิต “ดูจิต” สนทนาธรรมและดื่มด่ำบรรยากาศอบอุ่นจากไอทะเล ทำกับข้าวกินกันริมชายฝั่ง นั่งนับดาวยามราตรี มีเวลาก็ขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวรอบเกาะ หาซื้อเงาะ ซื้อทุเรียนมานั่งกิน รินน้ำเปล่าชนกัน…