Skip to main content

พันธกุมภา


ถึง พี่มีนา

 


ผมหายจากหน้าจอไปนานเพราะมีงานให้ทำ จนฟกช้ำจิตใจไปทั่วเลย ไม่ค่อยมีเวลาได้พัก เพราะงานที่ผมรัก ทำให้ผมต้องใช้กำลังกายและความคิดมากเหลือล้น ผมจึงเป็นดั่งคนที่นำเอาพลังชีวิตในอนาคตมาใช้ ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าจะพอมีเรี่ยวแรงเหลือใช้หรือไม่ในกาลต่อไป


เฮ้อ...แต่ที่จะเล่าให้พี่ฟังครานี้ก็คือ ช่วงที่ผ่านมาผมและ “ลูกปัดไข่มุก” ได้ไปจัดห้องสนทนาธรรมชื่อห้องว่า “ห้องธรรมตามใจ” เนื่องในงานเพศศึกษาวิชาการขององค์การแพธ แล้วมีเรื่องที่น่าสนใจมากมาย ทว่าในฉบับนี้อยากเอาคำคมชวนคิดที่ “ลูกปัดไข่มุก” และผมได้ช่วยกันคิดและเขียนขึ้นมาบอกเล่าต่อ ดังนี้ครับ


1. ทำไมต้องรออายุเยอะจึงคิดปฏิบัติ

หลายๆ คนมองว่าการปฏิบัติธรรมหรือการเข้าวัดเข้าวาเป็นเรื่องของผู้สูงอายุ ปฏิเสธไม่ได้หรอกค่ะว่าผู้สูงอายุมักมีเวลาว่างมากกว่าคนวัยเด็กและผู้ใหญ่ บางคนก็เกษียณมาจากการรับราชการ ใช้เวลาอยู่บ้านเฉยๆ จึงไม่แปลกที่จะมีเวลาว่างมากมายในการปฏิบัติธรรมมากกว่า จึงเหมือนกลายเป็นของคู่กันว่าธรรมะต้องคู่กับคนวัยสูงอายุ แต่จริงๆแล้วการที่จะรอให้เราถึงวัยเกษียณก่อนนั้นเป็นเรื่องของการ “วางปลาทูไว้ใกล้แมว” เพราะมันเสี่ยงมาก บางคนอาจโชคดีหน่อยที่อายุยืนและได้ปฏิบัติธรรมตอนอายุเยอะตามที่คิดไว้ แต่บางคนที่ไม่ได้อายุยืนขนาดนั้นล่ะ? รวมถึงผู้ใหญ่หลายๆ คนที่มักพูดว่า “ไม่มีเวลา” เพราะงานเยอะหรืออะไรต่างๆนาๆ อันที่จริงแล้วการปฏิบัติมีความหมายกว้างมากกว่าแค่การนั่งหลับตานิ่งๆอยู่กับที่ แต่หมายถึงได้ทั้งการ เดินอย่างมีสติ กินข้าวอย่างมีสติ หรือ ทำงานอย่างมีสติด้วย เพราะฉะนั้นจะบอกว่า “ไม่มีเวลา” คงจะไม่ได้แล้วนะคะ :P

2. เกิดเป็นคนไม่ง่ายอย่างที่คิด

ชีวิตของเราในสังสารวัฏนั้นยาวนานมาก วนเวียนไปไม่รู้จักจบสิ้น โดยมีกรรมเป็นตัวกำหนดว่าเราจะไปเกิดเป็นอะไร ที่บอกว่าการเกิดเป็นคนนั้นไม่ง่ายก็เพราะว่าคนสามารถที่จะสร้างบุญบารมีได้มากกว่าภพภูมิใดๆ เพราะคนรู้จักทุกข์ได้มากกว่าเทวดานางฟ้าบนสวรรค์ และรู้จักสุขมากกว่าดวงจิตในภพภูมินรกทั้งหลาย ทำให้คนสามารถมองได้ว่าความสุขความทุกข์มันไม่เที่ยงและบรรลุได้ง่ายกว่า แต่ถึงยังไม่บรรลุก็สามารถสะสมบุญทำความดีและไปเกิดในที่ๆ ดีได้.... ดังนั้นเราเกิดมาเป็นคนแล้วก็จงใช้ร่างกายที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด เช่น ช่วยเหลือผู้อื่น ทำแต่สิ่งที่ดี ปฏิบัติธรรมจะได้ “ไม่เสียชาติเกิด” ยังไงล่ะคะ


3. คิดสิ่งที่ไม่ดี จิตตก บาป

มีผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง เธอเคยทำแท้งเพราะความจำเป็น ทำให้เธอรู้สึกผิดมาตลอด ที่ได้ตัดสินใจทำเช่นนั้นไป เธอจึงไปวัดทำบุญให้แก่ลูกเป็นประจำ หลวงพ่อก็สังเกตเห็นความเศร้าโศกในสีหน้าของเธอ จึงได้ซักถามว่าเป็นอะไรมา เธอเล่าด้วยความรู้สึกผิด หลวงพ่อจึงตอบกลับมาว่า การที่เรานั้นได้เคยทำผิดมา ก็จงรับรู้และให้อภัยตัวเองเสีย เพราะการคิดสิ่งที่เรารู้สึกผิดบ่อยครั้งทำให้ใจเรารู้สึกแย่ มันจะเป็นบาป ก็คือ เมื่อโยมทำแท้งไปครั้งหนึ่งโยมก็บาปไปครั้งหนึ่ง แต่ถ้าโยมไปคิดถึงการทำแท้งครั้งนั้นอีกโยมก็จะบาปอีกเป็นครั้งที่ 2... จากเรื่องนี้ได้เชื่อมโยงกับเรื่องความคิดก่อนตายว่า การที่เราคิดแต่เรื่องที่ดีก่อนตาย จิตใจย่อมแจ่มใสทำให้เราได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี แต่ถ้าเราเศร้าโศกกับการต้องจากลาญาติมิตร หรือหวงทรัพย์สมบัติทำให้จิตใจหม่นหมองก็ย่อมทำให้เราได้ไปเกิดในภพภูมิที่ไม่ดี ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าจิตที่แจ่มใสและเบิกบานทำให้เราได้เจอแต่สิ่งที่ดีนั่นเอง....


4. แค่ “รู้” ได้บุญมากกว่าสร้างเจดีย์ 7 ชั้น

การตาม “รู้” ก็คือการที่เรามีสติในการใช้ชีวิตรู้ว่าทำอะไรอยู่ มือขยับอยู่มั๊ย หรือคิดเรื่องอะไรอยู่ การฝึกตามรู้อย่างนี้ทำให้จิตเราเริ่มไวต่อสิ่งที่มากระทบมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความคิดหรือการกระทำต่างๆ ที่เราได้ทำ พูดง่ายๆ ก็คือมีสติอยู่กับตัวมากขึ้น เพราะธรรมชาติของจิตเรานั้นไวมาก คือ อย่างเช่นเรากำลังอ่านข้อความนี้อยู่ แต่ใจหรือจิต อาจจะลอยไปที่บ้านแล้วก็ได้ หรือลอยไปที่โต๊ะอาหารก็เป็นได้ นั่นคือภาวะของจิตที่ไม่ได้อยู่ในกาย แต่ถ้าเรา “รู้” ว่าจิตลอยออกไปเมื่อไหร่ เมื่อนั้นเราก็จะมีสติเข้ามาแทนที่ทันที เพราะฉะนั้นแค่รู้ก็ถูกต้องแล้ว.....!! ดังนั้นการภาวนานี้พระท่านว่ามีอานิสงค์มากกว่าการให้ทานหรือรักษาศีลอีกจึงทำให้ได้บุญมากกว่าการทำทานสร้างเจดีย์ 7 ชั้นอีกแน่ะ..


5. เดิน กิน นั่ง นอน ก็ดูจิตได้

การดูจิต คือ การดูสภาวะทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับกายและใจด้วยใจที่เป็นกลางตามที่มันเป็นอยู่ คือไม่ว่าเราจะทำอะไรเราก็สามารถตามรู้มันไปได้โดยไม่ปรุงแต่ง ไม่เพ่ง ไม่เผลอ ไม่ยึดติด สรุปคือ สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็นก็พอแล้ว ^^


6. ทุกชีวิตเท่าเทียมกัน

หลายๆ คนมีความคิดอย่างแบ่งแยกว่าการทำร้ายหรือฆ่าสัตว์เล็กๆนั้นไม่บาปมากเท่ากับฆ่าสัตว์ใหญ่ อันที่จริงแล้วไม่ว่ามันจะเป็นสัตว์เล็กหรือใหญ่มันก็มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันนั่นคือ “ชีวิต” เราจึงไม่น่ามองแต่ขนาดของตัวแต่ควรมองให้กว้างกว่าที่เป็น นั่นคือมองสรรพสัตว์ให้เป็นชีวิตเหมือนๆกับพวกเรา เราไม่ฆ่ามนุษย์ฉันใดเราก็ไม่ฆ่าสัตว์ฉันนั้น ถ้ามนุษย์เรามีแต่ความเมตตาแล้วโลกก็คงจะสงบสุข และมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นมากมาย และทุกสิ่งนั้นเริ่มได้จาก “ตัวคุณ” เพียงแค่วันนี้ได้เริ่มให้อภัยยุงที่มากัดเราถือว่าเป็นการให้ทาน ไม่ตบมันแต่แค่ไล่มันไป เพียงแค่นี้คุณก็จะกลายเป็นผู้ที่มีเมตตาต่อสรรพสัตว์แล้ว.........


7. ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นอนิจจัง

คำว่าอนิจจัง แปลว่า ไม่เที่ยง หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีวันสูญสลายทั้งสิ้น ลองมองย้อนมาที่ตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักก็ต้องมีวันตายจากเราไปหรือไม่เราก็ตายจากมันซะเอง ของที่ว่าเป็นของเราก็ต้องมีวันที่ใช้การไม่ได้เช่นปากกาเมื่อวานยังใช้ได้อยู่ดีๆ วันนี้ดันเขียนไม่ติดซะแล้ว หรือ หายไปอยู่กับคนที่นั่งโต๊ะข้างๆแล้วก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น ทำทุกอย่างให้เต็มที่เหมือนว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการมีชีวิตอยู่ เราจะได้ไม่ต้องเสียใจที่ไม่ได้ทำ....


8. เทวดาคุ้มครองคนดี

บางคนอาจจะยังไม่รู้นะคะว่าคนดีที่ชอบทำบุญน่ะมีเทวดาประจำตัวด้วยนะคะ! เทวดาประจำตัวที่ว่าก็คือ อย่างที่เวลาเราไปทำบุญมา เค้าก็จะมาอนุโมทนาด้วยและก็จะมาคอยคุ้มครองเราไม่ให้เรามีอันตราย และไม่ได้มีแค่องค์เดียวนะคะ อย่าเข้าใจผิด เพราะฉะนั้นเวลาเราไปทำบุญมา หรือ สวดมนต์ นั่งสมาธิ ก็อย่าลืมแผ่เมตตาและอุทิศส่วนบุญให้เทวดาประจำตัวเราด้วยนะคะ เราจะได้ “ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้” ยังไงล่ะคะ...


9. ธรรมะคือธรรมดาของชีวิต

ที่ว่าธรรมะคือธรรมดาของชีวิตก็เพราะว่าเราสามารถที่จะปฏิบัติได้ในทุกเวลาของการใช้ชีวิตเรา แค่รู้และมีสติในการทำงานต่างๆในชีวิตประจำวันก็เป็นการปฏิบัติธรรมแล้ว แต่ที่ส่วนใหญ่มักฝึกให้นั่งสมาธิ หลับตานิ่งๆ ทำให้เราคิดว่าต้องนั่งนิ่งๆเท่านั้นจึงเป็นการปฏิบัติ แต่ที่จริงแล้วไม่ได้มีแค่นั้น การนั่งสมาธิก็เป็นอุบายอีกวิธีที่ใช้ให้เรามีสติอยู่กับลมหายใจเข้าออก ซึ่งมันจะเห็นได้ชัดกว่าเพราะเราหลับตา อันที่จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นการเดินจงกรม การตามรู้อารมณ์ หรือ การตามรู้กายเคลื่อนไหว ต่างก็เป็นอุบายเพื่อให้เรามีสติอยู่ตลอดเวลานั่นเอง เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำอะไร ขอแค่ให้มีสติรู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไร ก็เป็นการปฏิบัติธรรมแล้ว...........


10. ปฏิบัติธรรมเพื่อไม่เอาอะไร

หลายๆ คนคิดว่าอยากจะปฏิบัติธรรมเพื่อจะได้ ตาทิพย์ หูทิพย์ ระลึกชาติได้ หรือว่าถอดจิตไปเที่ยวในที่ๆอยากจะไปได้ แต่จริงๆแล้วจุดสูงสุดของการปฏิบัติธรรมของทุกคนก็คือ “การพ้นทุกข์” หรือ “นิพพาน” นั่นคือการไม่เกิดอีก ...นิพพานเป็นสภาวะที่ไม่มีรูป (ร่างกาย) ไม่มีเพศ ไม่มีโลภ โกรธ หลง ไม่เอาทั้งสุขและทุกข์ มีแต่เมตตา และอยู่กับปัจจุบันขณะเท่านั้น....และนี่คือความหมายของคำว่า “ปฏิบัติธรรมเพื่อไม่เอาอะไร”


11. มีชีวิตบนความเสี่ยงเพียงแค่ไม่รู้

หากเราไม่มีสติระลึกรู้ ความโลภ โกรธ หลง ที่แวะเวียนเข้ามาในใจมันก็จะกลายมาเป็นเพื่อนของจิตที่คอยดึงเราไปในทางที่ไม่ดี เช่นถ้าเพื่อนที่ชื่อว่า “ความโกรธ” เข้ามา เราก็จะโมโห อาละวาด พูดสิ่งที่ไม่ดีออกไปทำให้คนอื่นเสียใจ และถ้าเพื่อนที่ชื่อว่า “โลภ” เข้ามาเราก็จะกลายเป็นคนที่เห็นแก่ได้ โดยที่ไม่คำนึงถึงผู้อื่น หรือเพื่อนที่ชื่อว่า “หลง” เข้ามาเราก็จะลืมตัว ไม่รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่......แต่ถ้าเรามีเพื่อนที่ชื่อว่าสติ เราก็จะสามารถตัดสินได้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ รวมถึงรู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นก็เปิดประตูต้อนรับ “เพื่อนสติ” เข้ามาเถอะนะคะ…….


12. ส่งจิตออกนอกเป็นทุกข์

การส่งจิตออกนอก คือการเอาจิตไว้นอกกาย หรือเมื่อเราฟังอะไร จิตเราก็จะส่งออกไปให้ความสนใจกับสิ่งนั้น เช่น ไม่ว่าจะดู จะฟัง จะกิน จะสูดกลิ่น หรือ จะสัมผัสกาย คนเราส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยเอาจิตไว้ที่ตัวเองทำให้เกิดทุกข์ได้ง่ายๆ หรือพูดง่ายๆ คือเราก็หลง หรือเผลอไปจนขาดสติ ทำให้เราทำอะไรไปตามกิเลสที่ปรุงแต่งจนเกิดผลเสียกับตัวเอง.....


13. อย่ารังเกียจความทุกข์

คนเรามักยินดีกับความสุขที่เข้ามาในชีวิต แต่ความทุกข์กลับกลายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจที่ไม่มีใครอยากได้มาพบเจอ แต่คุณคิดมั๊ยค่ะว่าความทุกข์ทำให้เราได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตและคิดต่างออกไป เหมือนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงออกบวชเพราะทรงเห็นถึงความทุกข์ในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของคนนั่นเอง และคนหลายๆคนก็ได้มาพบกับธรรมะก็เมื่อตอนที่มีแต่ความทุกข์มารุมเร้าใจ แล้วก็พบได้ว่าจะทุกข์หรือสุขมันก็อยู่ที่ใจของเรานั่นเอง เหมือนกับคำที่บอกว่า “สวรรค์อยู่ที่อก นรกอยู่ที่ใจ” เพราะอันที่จริงแล้วมันก็แค่มองให้ต่างแค่นั้น เหมือนน้ำที่มีอยู่ครึ่งแก้ว บางคนมองว่า “น้ำหายไปตั้งครึ่งแก้ว” แต่อีกคนกลับมองว่า “น้ำเหลืออีกตั้งครึ่งแก้ว” และแน่นอนว่าคนแรกย่อมมีทุกข์มากกว่าอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นจงมองให้ดีเพราะทุกอย่างมี 2 ด้านเสมอ..............


14. อยู่กับปัจจุบันขณะ

การอยู่กับปัจจุบันขณะก็คือการรู้สภาวะอารมณ์ความรู้สึก สภาวธรรมต่างๆตามความเป็นจริงอย่างที่มันเป็นโดยไม่ได้ไปคิดว่ามันเกิดจากอะไร เช่น เวลาเราโกรธเราก็รู้ว่าเรากำลังโกรธแต่ไม่ต้องไปคิดว่าใครมาทำให้โกรธ หรือถ้าคิดก็รู้ว่ากำลังคิด ฉะนั้นแล้วการอยู่กับปัจจุบันคือการตามรู้ทุกขณะจิตโดยเห็นมัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ทั้งนี้การอยู่กับปัจจุบันไม่ได้หมายถึงว่าเราจะต้องจมอยู่กับความรู้สึกนั้นๆ เพียงแต่เราทำตัวให้เป็นผู้รู้ไม่ใช่ผู้เล่น.....


...............................................


เชิญร่วมบริจาคหนังสือกับกลุ่มธรรมะทำดี....


ธรรมะสวัสดีค่ะ เพื่อนๆ พี่ๆ และลุง ป้า น้า อาทุกๆท่าน ^/^ เนื่องจากเดือนก่อนหนูได้คิดโครงการดีๆขึ้นมาได้ตอนระหว่างเรียนค่ะ หนูก็นั่งคิดว่าคนเราอย่างน้อยก็ต้องได้มีโอกาสเข้าโรงพยาบาลอย่างน้อยๆ ก็ครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะตอนอายุเยอะๆก็คงต้องได้นอนโรงพยาบาลบ้าง ผู้ป่วยหลายๆ คนคงเหงาและไม่มีอะไรทำระหว่างที่ต้องนอนพักรักษาตัวอยู่เฉยๆ ถ้าเรามีหนังสือดีๆเกี่ยวกับธรรมะสักเล่มให้เค้าได้อ่านผ่อนคลายกายใจ ที่เหน็ดเหนื่อยกับชีวิตและการงานมานานก็คงจะดีไม่น้อยนะคะว่ามั๊ยคะ


คนหลายๆ คนอาจได้พบธรรมตอนพบโรคก็ได้นะคะ ลองนึกภาพดูสิคะ ว่ามีนางพยาบาลมาเสิร์ฟยาพร้อมกับหนังสือธรรมะที่นอกจากจะเยียวยากายแล้วยังช่วยเยียวยาใจได้ด้วย ตอนนี้หนูก็เก็บเงินจากค่าขนมเข้าโครงการนี้อยู่เหมือนกันค่ะ แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่จะซื้อหนังสือได้มากมายหากไม่มีคนร่วมแบ่งปันเลย หนูจึงอยากขอหนังสือธรรมะดีๆ ที่คิดว่าอ่านง่ายและอยากแบ่งปันให้ผู้ร่วมสังสารวัฎกับเรา ถ้าพี่ๆ เพื่อนๆหรือลุง ป้า น้า อา ผู้ใดสนใจจะสนับสนุนโครงการนี้หนูขออนุโมทนาด้วยนะคะ”


ถ้าอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่เบอร์
085-113-5090 (
น้องมุก), 089-635-2250 (น้องเต้า) หรือเข้าไปดูที่ http://larndham.net/index.php?showtopic=33122


หากจะส่งหนังสือ สามารถส่งมาได้ที่

บ้านเลขที่ 24/166 ซอยลาดพร้าว 21 แขวงจอมพล เขตจตุจักร กทม. 10900


ติดต่อพูดคุยกับกลุ่มธรรมะทำดี ได้ที่
dhammatamdee@hotmail.com


บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา เมื่อได้ยิน...... “ทำไมคุณโง่แบบนี้” “งานชุ่ยๆ แบบนี้เหรอที่ทำเต็มที่แล้ว” “มีหัวไว้ใส่หมวกเปล่าๆ” สารพัดมากมาย คำด่าทอที่เรามักไม่ชอบ – ในที่นี้ก็มีผมอยู่ด้วยแหละครับ เวลาที่มีใครมาต่อว่า มานินทาในทางร้ายๆ แล้วมักจะต้องเดือดร้อนเป็นฝืนเป็นไฟอยู่เสมอ อืม...คิดในใจ นี่ไม่ใช่ตัวเรา เราไม่ได้เป็นคนแบบนั้น เราไม่ใช่คนอย่างที่เขาว่านะ..... ขณะที่คำชม อาทิ “คุณทำงานเก่งจัง” “ทำได้แค่นี้ สุดยอดเลยทีเดียว ยอดเยี่ยมมากๆ๐ “คิดได้แค่นี้ ก็เจ๋งเลย” คำพูดชื่นชม เยินยอในทางบวกเหล่านี้ หลายคนไม่ปฏิเสธ หรือไม่ได้มีท่าทีต่อต้านเหมือนคำพูดร้ายๆ หรือลบๆ แต่กลับมองว่าใช่ๆ…
พันธกุมภา
มีนา ถึง พันธกุมภา มีเรื่องอยากเล่าให้พันธกุมภาฟัง... ช่วงที่ห่างหายกันไป พี่ยังติดตามข่าวคราวการทำงาน การเดินทาง และระลึกถึงเธออยู่เสมอ เพียงแค่รู้ว่าเธอสบายดี พี่ก็สบายใจ เมื่อไม่นานมานี้ พี่เดินทางไปเชียงใหม่ ไปกับกลุ่มคนที่คุ้นเคยบ้าง ไม่คุ้นเคยกันบ้าง หลายคนเคยรู้จักกันมาก่อน หลายคนไม่ได้รู้จัก แม้ว่าจะรู้จักก็ตาม ก็ไม่ได้ลึกซึ้งถึงเรื่องด้านในต่อกัน ไม่เหมือนเพื่อนบางคน แม้ว่าจะไม่ได้พบเจอกันมากนัก แต่เราก็ยังสนิทใจมากกว่า รู้สึกสัมผัสได้ถึงความอาทรที่มีต่อกัน...อย่างน้อง
พันธกุมภา
มีนา ถึง พันธกุมภา จดหมายฉบับก่อน พี่เล่าเรื่องความรักของแม่ที่มีต่อลูกคนหนึ่ง และยังติดใจในสาส์นของท่านดาไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณ ชาวธิเบตอยู่ ... เมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ่ง พี่อยากจะให้น้องและเพื่อน คนรู้จักหลายๆ คนได้อ่านมันอย่างพิจารณาหลายๆ ครั้ง หลายข้อของสาส์นฉบับนี้ เป็นความรักที่มีต่อตนเอง รักตนเอง แบบที่ไม่ได้ตามใจตนเอง ไม่ตามใจในสิ่งที่บำรุงบำเรอให้ตนเองให้ได้ทุกสิ่งที่ตนต้องการ โดยเฉพาะข้อแรกเป็นสิ่งที่ท่านลามะผู้ยิ่งใหญ่ได้ตักเตือนคนสมัยใหม่ได้อย่างเฉียบคม (ระลึกเสมอว่า การจะได้พบความรักและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็ต้องประสบกับความเสี่ยงอันมหาศาลดุจกัน)…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาพี่ได้รับจดหมายที่ส่งต่อๆ กันมา (Forward mail) ฉบับด้านล่างนี้ เป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา (เพราะนี่เข้าเดือนที่ 6ของปีแล้ว...)“สาส์นจากท่าน Dalai Lama ที่ได้กล่าวไว้สำหรับปี 2008 นี้ แล้ว…คุณจะได้พบกับสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ที่คุณจะยินดีมากข้อแนะนำในการดำเนินชีวิต
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาพี่ชอบจดหมายรักฉบับนี้มาก เมื่ออ่านแล้วรู้สึกได้ถึงความรักที่สดใส และความเป็นคน “ธรรมดา” ของน้องที่ผ่านมา พี่ออกจะห่วงใยอยู่ลึกๆ ว่าน้องจะรีบโตมากไปหรือเปล่า รีบที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต รีบมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากไปไหม...จนอาจจะทำให้พลาดความสดใส ความรัก หรือสิ่งต่างๆ ที่เราน่าจะได้เรียนรู้ และเดินผ่านมันมาด้วยความสง่างาม หรือเจ็บปวดไปบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่ต้องเรียนรู้พี่ก็ผ่านช่วงเวลา “หวาน” “ขมๆ” ของชีวิตมาบ้าง เช่นเดียวกับคนทั่วๆ ไป ที่มักจะมีความรักที่สมหวัง ผิดหวัง ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป พี่มักเลือกที่จะจดจำสิ่งที่ดี …
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาอย่าเพิ่งตกใจนะครับพี่ที่ผมจะขอระบายเรื่องรัก ให้พี่รับรู้.....
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาอายุ...วัย หากเราเพียงแบ่งแค่ผู้ใหญ่กับเด็กเหมือนกับสังคมทั่วๆ ไปเขามองกัน เราอาจจะมองเห็นคนแค่ 3 กลุ่มในช่วงชีวิต คือเด็ก วัยทำงาน และผู้ใหญ่ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงของชีวิต ทั้งการเข้าสู่การเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิตทั่วไป เราต้องเคารพคนที่อายุมากกว่าเราหรืออาจจะต้องนับถือคนที่อายุน้อยกว่าเราแต่มีคุณสมบัติมากกว่าคุณสมบัติทั้งการศึกษา การใช้ภาษาอังกฤษ ครอบครัวมีฐานะดี พ่อแม่เลี้ยงดูมาอย่างดี ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ พี่ขอเรียกว่าเป็น “คุณสมบัติทางโลก” ซึ่งอาจจะไม่ใช่ “ความดี” ที่เมื่อก่อนได้รับการให้คุณค่าอย่างสูง ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัยใด ความดีไม่มีอายุ หากแบ่งแยกกับความไม่ดี/…
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรุ่นพี่คนหนึ่งมาหาผมที่บ้าน เราสองคนไม่ได้เจอกันมานานหลายปี พอมาเจอกันอีกหนจึงเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้พบเจอกัน รุ่นพี่คนนี้ชื่อ “นนท์” พี่นนท์ เป็นรุ่นพี่ที่เคยสอนผมเต้นเชียลีดเดอร์ เมื่อตอนเรียนมัธยมต้น อายุของพี่นนท์ห่างจากผม 2 ปี พี่นนท์เป็นคนต่างหมู่บ้าน แต่เราอยู่ในตำบลเดียวกัน ผมค่อนข้างแปลกใจที่พี่นนท์เปลี่ยนแปลงไป ทั้งการพูด ท่าที การแสดงออก จากเมื่อก่อนที่ค่อนข้างกรี๊ดกร๊าด พูดไม่หยุด และชอบนินทาคนอื่นอยู่บ่อยๆ มาคราวนี้พี่นนท์ไม่เหมือนเดิม คือ นิ่งขึ้น ท่าทีสุขุมเยือกเย็น ไม่ทำท่ารุกรี้รุกรนตอนคุยกันเหมือนเมื่อก่อน…
พันธกุมภา
มีนาถึง...ลูกปัดไข่มุกและพันธกุมภาความระลึกถึงวัยเยาว์เมื่อครั้งยังเป็นเด็กสาวสดใสอย่างลูกปัดไข่มุก อดรู้สึกไม่ได้ว่าน้องช่างมี “ทาง” ที่ดีเสียจริง น้องได้เติบโตจากครอบครัวที่หล่อหลอมสิ่งที่ดีงามให้ ทั้งการทำบุญ ทาน และเสริมให้สร้างบารมี ต้องขอบคุณแม่และพ่อที่ปูทางที่ดีให้กับลูก หากมีธรรมแล้ว ไม่ต้องกลัวเลยว่าเด็กสาวและคนรุ่นใหม่จะไม่เติบโตอย่างมีรากเหง้า รู้คิด เพราะกระบวนการเรียนรู้เหล่านี้ไม่ใช่แค่ได้ “ความรู้” หากยังได้ “สติ” และ “ปัญญา” ซึ่งความรู้สมัยใหม่ไม่มีความลึกซึ้งพอเมื่อเราปฏิบัติหรือยังไม่ปฏิบัติก็ตาม เรามักยึดติดกับตัวตน (Ego) และเราไม่ได้พยายามลดมัน…
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาผมได้อ่านเรื่องราวของ “ลูกปัดไข่มุก” แล้ว ขออนุโมทนากับน้องอย่างยิ่ง และยังรู้สึกยินดีกับสิ่งที่น้องได้กระทำลงไป และได้พบการหนทางที่จะนำพาความสุข สงบมาให้กับตนเอง เป็นการเรียนรู้จากตัวเอง มากกว่าการเรียนรู้จากคนอื่นๆ ที่เล่าให้ฟังสู่กันมาการได้ทำสมาธินั้นได้ช่วยให้น้องได้พบกับจิตที่สงบ และเป็นจิตที่นิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้จิตใจเริ่มปรับความละเอียดเพิ่มขึ้น สู่การเจริญสติในระดับต่างๆ ต่อไป....จะว่าไปแล้ว เดี๋ยวนี้ วัยรุ่นรุ่นเดียวกับเราๆ ก็หันมาสนใจเรื่องทางธรรมเยอะเหมือนกันนะ, ช่วงหนึ่งก็มีคนมาถามผมว่า วัยรุ่นสนใจธรรมะเพิ่มขึ้น เป็นกระแสที่ดีแบบนี้ คิดยังไง?…
พันธกุมภา
ลูกปัดไข่มุก ถึง พี่พันธกุมภา และ พี่มีนา....   “เส้นทางที่เรากำลังพยายามจะมุ่งไปอยู่นี้ มันคือหนทางแห่งความสุขและความสำเร็จที่แท้จริงของเราจริงๆหรอ” ....นั่นคือความคิดที่ฉันคิดมาตลอด ฉันโชคดีที่ได้เกิดมาท่ามกลางครอบครัวที่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในวันว่างๆ เรามักจะได้ไปวัดแทนการไปเที่ยวเสมอๆ ซึ่งด้วยความเป็นเด็ก ฉันจึงไม่คิดว่ามันดีนัก.....จะว่าไปฉันทำบุญมาตั้งแต่จำความได้ เพราะถูกสั่งสอนมาให้ทำแบบนั้น ว่าถ้าทำบุญเยอะๆ จะได้ไปสวรรค์ ถ้าทำบาปก็จะตกนรก รวมถึงนิทานต่างๆที่แม่ได้เล่าให้ฟังมาตลอด ฉันจึงพูดได้เต็มปากว่า ฉันเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาจุดหมายปลายทาง การเดินทางธรรมของเธอครั้งนี้อยู่ที่วัดป่าสุคะโต ที่...ซึ่งฉันไม่เคยไป หากหลายคนอยากไป ก็คงไม่ได้คิดถึงเรื่องการเดินทาง หากมักนึกถึงปลายทาง และในที่สุด...แม้รู้ว่าเธออาจจะเดินทางถึงวัดป่าสุคะโตแน่นอน เธอก็น่าจะเรียนรู้ระหว่างทางดังที่เธอเล่าให้เราฟังฉันเคยพูดถึงเรื่องความกลัวระหว่างการเดินทาง “ในความกลัว” มาก่อนแล้ว ด้านหนึ่งฉันนึกเสมอว่า คนธรรมดาทั่วไปอย่างฉัน ร่ำเรียนมาด้วยวิธีคิดแบบมีเป้าหมาย โดยไม่สนใจระหว่างทาง หรือกระบวนการเรียนรู้ก่อนที่จะถึงเป้าหมาย ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว “ระหว่างทาง” เป็นสิ่งสำคัญมาก…