ลูกปัดไข่มุก
ถึง พี่พันธกุมภา และ พี่มีนา....
“เส้นทางที่เรากำลังพยายามจะมุ่งไปอยู่นี้ มันคือหนทางแห่งความสุขและความสำเร็จที่แท้จริงของเราจริงๆหรอ” ....นั่นคือความคิดที่ฉันคิดมาตลอด
ฉันโชคดีที่ได้เกิดมาท่ามกลางครอบครัวที่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในวันว่างๆ เรามักจะได้ไปวัดแทนการไปเที่ยวเสมอๆ ซึ่งด้วยความเป็นเด็ก ฉันจึงไม่คิดว่ามันดีนัก.....จะว่าไปฉันทำบุญมาตั้งแต่จำความได้ เพราะถูกสั่งสอนมาให้ทำแบบนั้น ว่าถ้าทำบุญเยอะๆ จะได้ไปสวรรค์ ถ้าทำบาปก็จะตกนรก รวมถึงนิทานต่างๆที่แม่ได้เล่าให้ฟังมาตลอด
ฉันจึงพูดได้เต็มปากว่า ฉันเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี แต่ลึกๆแล้วฉันยังไม่เข้าใจอะไรหลายๆอย่าง จนกระทั่งฉันอายุ 17 ปี เมื่อฉันได้มาพบกับคนๆหนึ่งจากธรรมะ และเราก็มักคุยกันเรื่องธรรมะตลอด นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันเปลี่ยนแปลงความคิดเสียใหม่
ฉันเริ่มมองเห็นตัวเองมากกว่าที่เคยเป็น เริ่มมองความรู้สึกและอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างเข้าใจ จนเริ่มคิดว่าทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ไม่มีอะไรที่คงทนและอยู่กับเราไปตลอด
เชื่อสิว่าการที่เคยได้ยินคนอื่นเค้าพูดมาก่อนนั้น มันเทียบไม่ได้เลยกับการที่เราคิดได้ด้วยตนเอง ฉันเคยได้ยินคำพูดแบบนี้มานานแล้วแต่ก็แค่ฟังผ่านๆไม่ได้คิดอะไร จนตอนนี้ฉันเริ่มมองสิ่งรอบตัว จริงๆ ด้วยทุกอย่างล้วนต้องลาจากเราไปทั้งนั้นเลย...หวีสุดโปรดปรานที่พกติดตัวตลอด..หายไปแล้ว แฟนที่เราแสนรัก...ก็ไปจากเราแล้วด้วย หรือแม้กระทั่งคุณปู่ที่รักก็จากเราไปอย่างไม่มีวันกลับเช่นกัน... คนเราอยู่ท่ามกลางการลาจากตลอดเวลา ถ้าเราไม่จากมัน มันก็ต้องจากเราไป ไม่วันใดก็วันหนึ่งไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม... อ่าว! แล้วคนเราตายไปจะไปอยู่ไหนดีล่ะ นรกหรือสวรรค์
แล้วนรกกับสวรรค์เนี๊ยมันมีจริงๆ หรือ หรือเป็นแค่นิทานหลอกเด็กเท่านั้น!?
ฉันเริ่มอยากรู้...แต่แล้วฉันก็โชคดีอีกอย่างที่ได้พบกับคนๆ นั้น เพราะเค้าได้ทำให้ฉันอยากฝึกนั่งสมาธิอย่างจริงๆ จังๆ สักที...ฉันไปบอกแม่ว่า “อยากจะไปฝึกนั่งสมาธิตามต่างจังหวัดจังเลย” นี่เป็นความคิดที่ไม่เคยอยู่ในหัวของฉันเลยด้วยซ้ำ
แล้วโอกาสก็ผ่านเข้ามา ฉันได้ไปปฏิบัติที่สวนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ อากาศดีมาก ทั้งร่มรื่นและเงียบสงบ นี่เป็นการเดินทางไปต่างจังหวัดคนเดียวและเป็นการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังครั้งแรกในชีวิตของฉัน...
ฉันขออ้างอิงข้อความจากบันทึกของฉันก็แล้วกันนะเพราะมันจะดูสดใหม่กว่าตอนนี้...
วันเดินทาง
อยู่บนรถคณะทัวร์ที่ไปปฏิบัติธรรมเหมือนกันแต่ไม่รู้จักใครเลยสักคน พอตื่นขึ้นมามีสติเมื่อไรก็จะเป็นทุกข์ทุกครั้งไป จิตกระวนกระวายกลัวจะอยู่ไม่ได้ตั้ง 7 วัน
วันที่ 1
ถึงที่ปฏิบัติประมาณตี 4 และได้รู้จักกับพี่กัลยาณมิตรคนหนึ่งซึ่งตลอดระยะเวลาการปฏิบัติพี่เค้าได้ช่วยเหลือเกื้อกูลฉันตลอด เมื่อกี้ตอนเค้าให้นอนพักผ่อนเสียงดนตรีดังกระหึ่มเลย คร๊อก คราก~ (กรนนะ) -*- บางคนก็เสียงมือถือ>.< อีกประมาณ 5 วันก็จะได้กลับแล้ว (จริงๆ เราต้องฝึกตัวเองสิ ทำไมถึงอยากกลับบ้านนัก T^T)
วันที่ 2
วันนี้ตื่นตั้งแต่ตี 4 เลย ไปทำวัตรเช้า (นั่งสมาธิกันนานมากๆ) แต่ก็นั่งได้ดีกว่าเมื่อวานนะ แต่ถึงอย่างงั้นฉันก็ยังมีหลับอยู่ พอหลับตาจิตก็ฟุ้งมากเลย ภาพต่างๆ วิ่งเข้ามาในหัวสมาธิเลยไม่ค่อยเกิด แต่เช้านี้มีปิติเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวเอง แต่ฉันว่าก็ดีมากแล้วล่ะ
วันที่ 3
วันนี้ข้าวเช้าคือกระเพาะปลา ลันลา~ ^^ ตอนนี้ฝึกสมาธิจิตไม่ฟุ้งแล้วและก็สงบเลย แต่เย่ตรงที่สงบไม่นานฉันก็หลับทุกทีน่ะสิ จะว่าไปการทำใจไม่ให้คิดนี่ก็ยากใช่ย่อยนะ วันนี้ไปหลับในห้องปฏิบัติรวมตอนที่เค้าให้หันหน้าไปดูวีดีโอมา พี่เค้าปลุกก็ไม่ตื่น พอตื่นมาอีกที อ่าวหลวงพี่พูดอะไรอยู่น่ะ คนก็หันหน้ามาทำสมาธิกันหมดแล้ว(โชคดีที่ยังไม่เปิดไฟ ไม่งั้นคงหาที่ซุกหน้าไม่ทันแน่ๆ-*-) แต่วันนี้ตอนนั่งสมาธิรอบดึก (หลังจากตื่น-*-) ฉันนั่งดีมากเลย จิตสงบไม่หลับแล้วก็เกิดปิติอีกครั้ง ตัวโยกไปมาอย่างเร็วๆ เลย ฉันก็ดูไปเรื่อยๆ พยายามไม่คิดอะไร แล้วก็เห็นแสงสีขาวแว๊บขึ้นมา เหมือนแฟลชกล้องถ่ายรูปน่ะ 2 ดวงแป๊บเดียวเอง (ใจก็คิดว่าเค้ามาถ่ายรูปตอนเรานั่งสมาธิกันรึเปล่านะ?) แต่ก็ไม่ได้ลืมตานะ ดูต่อไปเรื่อยๆ แล้วก็เหมือนมีคนมาเปิดไฟ ภาพที่มองเริ่มสว่างขึ้นกว่าที่เคยเห็นแต่ก็ไม่ได้จ้ามากนะ รู้สึกดีจังเลย...พอปวดขาฉันก็ขยับตัวนิดหน่อย แต่ยังดีที่ว่าพอหลับตาปุ๊บปิติก็จะเกิดขึ้นทันทีเลย ^^
วันที่ 4
วันนี้ตอนเช้านั่งไม่ดีเลย(เริ่มยึดติดและ -*-) แต่ตอนนั่งรอบบ่ายน่ะสงบดีมากเลย หลงพี่ท่านสอนท่านั่งด้วยว่าควรนั่งยังไง
(นั่งหลังตรง หลับตาเบาๆ ไม่เกร็งที่หน้าผาก เหลือบตาขึ้นนิดหน่อย มือก็ควรเอามาวางซ้อนขวาทับซ้าย วางไว้ใกล้ๆ ท้องเพราะมันจะทำให้ตัวเราตรงโดยอัตโนมัติ) ส่วนรอบดึกฉันก็เห็นแสงสีขาวอีกครั้ง ตอนเห็นก็ยังตกใจเหมือนเดิมเพราะนึกว่ามีคนมาเปิดไฟ >.< ส่วนปิติที่เกิดขึ้นก็ทำให้ฉันเวียนหัวน่าดู...
วันที่ 5
อีกวันเดียวก็ได้กลับบ้านแล้ว^^ อากาศที่นี่เย็นสบาย เมื่อคืนก็หลับสบายเหมือนเคยเลยทำให้สรุปได้ว่า ถ้าฉันไม่หลับในห้องปฏิบัติรวม ฉันก็จะหลับสบายให้ห้องพักได้ ^^
วันที่ 6
เช้านี้พอทำวัตรเช้าเสร็จแล้วก็เดินทางไปยังวัดใกล้เคียง ได้มีโอกาสทำอาหารถวายสามเณรกว่า 200 รูปแน่ะ ดีใจมากๆเลย พอกลับมาเห็นคนอื่นเค้าเก็บเสื้อผ้ากันหมดแล้ว รีบวิ่งเลย แล้วก็เข้ามาขอขมาพระอาจารย์ นั่งสมาธิอีกไม่นานก็ได้กลับบ้าน เย้ๆๆๆ ได้กลับบ้านแล้วววววววววววว ถึงกรุงเทพประมาณตี 4
....เสร็จสิ้นภารกิจที่ได้ไปปฏิบัติธรรม กลับบ้านมาพร้อมกับความรู้สึกที่แตกต่างในหัวมีคำถามพร้อมคำตอบเต็มไปหมดว่า แต่ก่อนเราไม่เคยได้เข้าใจอะไรอย่างนี้ก็เพราะว่าเราปิดใจนั้นเอง... ปิดแต่คิดว่าเปิด....มันเลยไม่ได้อะไร ตอนนั่งไปปฏิบัติ มีคำถามในใจอยู่เรื่อยๆ ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรอ?
ที่เค้าว่าจะเห็นองค์พระ และจะได้ไปในที่ๆ อยากจะไป ฟังแล้วมันเป็นไปไม่ค่อยได้เลย คิดแย้งอยู่เรื่อยๆ แต่ตอนหลังก็คิดว่าเอาเถอะ ไหนๆ ก็มาแล้ว ลองดูสักตั้งจะเป็นไร ก็เลยลบความสงสัยออกให้หมด ทำใจให้โล่งๆ นั่งแล้วมันก็สบายดี ถึงยังไม่เห็นองค์พระอย่างที่เค้าบอกกันก็เถอะ... แต่จิตได้อยู่นิ่งๆ มันก็มีความสุขที่สุดแล้ว เค้าบอกกันมาว่าคนเราเข้าใจคนอื่นมามากมายแต่คนที่อยู่กับเราตลอดเวลานั่นคือตัวเราเองกลับเป็นอะไรที่เข้าใจได้ยากที่สุด เพราะอะไรนะ? ก็เพราะว่าเราเอาจิตไปไว้ที่อื่นหมดน่ะสิ จิตอยู่ที่ไหนเรามักจะทำสิ่งนั้นได้ดีเสมอ.............
ช่วงที่ผ่านมาฉันได้ดูจิตของตัวเอง ทำให้ได้รู้ว่าตนเองมีตัณหามากมาย ยังอยากได้อยากมี ยังยึดติดอยู่กับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ซึ่งการดูจิตทำให้ฉันรู้เท่าทัน และสามารถละบางอย่างออกไปได้ ถึงจะยังไม่ทั้งหมดก็ตาม ซึ่งฉันว่านี่คือสิ่งที่สำคัญที่ได้จากการไปปฏิบัติธรรมในครั้งนี้
หลายๆ คนถามฉันว่ามีความเปลี่ยนแปลงยังไงหลังจากที่ได้ไปปฏิบัติมา..ฉันคิดว่า ฉันดูจิตตัวเองบ่อยขึ้น คือรู้ตัวตอนไหนจะพยายามนั่งดูจิตคือดูอารมณ์ของตัวเองว่าตอนนี้เรารู้สึกยังไง โกรธ เครียด ดีใจ หรือเสียใจ พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า ถ้าเรารู้เท่าทันอะไร เราก็จะสามารถดับมันได้…
และฉันก็จะพยายามเอาจิตไว้กับตัวตลอด (เวลาที่ไม่เผลอน่ะนะ)
มันก็เหมือนกับการนั่งสมาธิแต่ลืมตานั่นแหละ คือมองตัวเอง ถึงแม้ว่าจะเห็นอะไรก็ไม่ต้องไปตั้งคำถามมันว่า นั้นอะไรน่ะ ทำไมเค้าถึงทำแบบนั้น หรืออะไรก็ตาม นิ่งๆไว้ เห็นก็รู้ว่าเห็น ไม่ต้องไปใส่อะไรลงไปคือตามรู้ไม่ต้องใช้สมองคิดมาถึงตรงนี้ฉันจึงคิดว่าน่าจะเขียนมาถึงพี่พันธกุมภาและพี่มีนาเพราะว่าฉันก็เป็นเด็กน้อยคนนึงที่อีกไม่นานก็จะก้าวผ่านความเป็นเด็กเข้าสู่วัยเยาวชน
ขอบคุณครอบครัวของฉันที่ได้อบรมเลี้ยงดูมาอย่างเข้าใจและใกล้ชิดพระพุทธศาสนา ขอบคุณกัลยาณมิตรทุกๆท่านที่ช่วยดำรงพระพุทธศาสนาไว้ ฉันหวังว่าบทความน้อยๆ นี้จะมีส่วนช่วยให้คนรุ่นใหม่ที่ต้องการจะฝึกปฏิบัติธรรมได้มีแรงจูงใจในการเริ่มต้นทำในสิ่งที่ดี
และหวังว่าฉันคงจะได้พบบทความที่เล่าเรื่องราวการปฏิบัติธรรมของคนอื่นๆ มาเล่าสู่กันฟังนะคะ ^^