Skip to main content

พันธกุมภา


ถึง มีนา

 

ปลายปี 2551 นี้ ผมมีโปรแกรมไปเจริญสติที่วัดป่าสุคะโตอีกครั้ง ภายหลังจากเมื่อสิ้นปี 2550 ที่ผ่านมาผมได้เดินทางไปที่วัดป่าสุคะโตแล้วและได้พบหลัก พบหนทาง หลายอย่างที่เหมาะสมกับตัวเองยิ่งนัก

 

แต่การเดินทางไปครั้งนี้ไม่เหมือนปีก่อน....มีหลายเรื่องเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง ไปตามกาลเวลา สิ่งที่เข้ามารับรู้ทำให้อารมณ์ของผมเกิดขึ้นไปต่างๆ นานา และสิ่งที่เสียใจที่สุด ทำให้ใจหม่นหมองมาหลายวัน นั่นคือการมรณภาพของ "หลวงปู่" เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน

ย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน, ในตอนที่ผมเพิ่งรู้เรื่องการอาพาธของหลวงปู่ จาก "พี่อุ๊" พี่สาวผู้เป็นญาติธรรมที่แสนดี ได้โทรศัพท์มาบอกกับผมว่า หลวงปู่ไม่สบายและกำลังจะเข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬา

 

"หลวงปู่เป็นอะไรครับ" ผมถามด้วยความตกใจ

พี่อุ๊ ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า "หลวงปู่เป็นมะเร็งตับ ไม่รู้ระยะที่ไหน แต่ท่านฉันอาหารไม่ได้แล้ว ยังไงเราไปเยี่ยมทันกันไหม เพราะท่านจะมารักษาตัวที่กรุงเทพฯ ที่โรงพยาบาลจุฬา"

 

ผมตอบตกลง และในใจรู้สึกถึงความเศร้าที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้น ผมทำอะไรไม่ถูก พยายามรู้สึกตัว และตั้งสติ ก่อนที่จะติดต่อไปยังโรงพยาบาลจุฬา เพื่อถามนัดหมายเกี่ยวกับการเข้ารักษาอาการของหลวงปู่ หรือ "พระอาจารย์วรเทพ ฉนฺทพหุโล"

 

เมื่อติดต่อโรงพยาบาลจุฬา ได้แล้ว และรับรู้ การเดินทางเข้ารักษาตัวของหลวงปู่ ซึ่งก่อนหน้านี้ ผมติดต่อทางหลวงปู่ไมได้ จึงเลือกติดต่อโดยตรงกับโรงพยาบาลจุฬาเลย และเมื่อทราบแล้ว ผมจึงได้ติดต่อกลับไปหาพี่อุ๊ เพื่อเดินทางไปเยี่ยมหลวงปู่

 

เมื่อไปถึง เราพบหลวงปู่กับหลวงพี่ตุ้ม หรือ "พระอาจารย์ สันติพงศ์ เขมปญฺโญ" หลวงปู่นอนพักอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดผอมลงมากกว่าเดิม ปากซีดจาง หลวงปู่ยิ้มและทักทายเราสองคนด้วยความเอ็นดู หลวงพี่ตุ้ม ยืนอยู่ปลายเตียงนอน และร่วมทักทายเราสองคนด้วยเช่นกัน

 

ผมสอบถามอาการป่วยของหลวงปู่ ท่านเล่าให้ฟังว่าอาการป่วยด้วยมะเร็งตับนี้เกิดขึ้นนานมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน และก็ค่อยๆ เบาลง และหลังจากที่ท่านได้ไปที่สวนแสงอรุณ ท่านก็เกิดอาการกินอะไรไม่ได้ และอาหารดูจะหวานๆ ในตอนนั้นหลวงพี่ตุ้มได้พาไปตรวจและภายหลังทราบว่าเกิดจากมะเร็งที่ตับออกอาการ

 

หลวงปู่เล่าด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา แวบตาของท่านมีเมตตาต่อผมมาก ส่วนผมนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ ท่าน พี่อุ๊ ยืนอยู่ถัดไป หลวงปู่บอกว่าท่านคิดไว้เสมอว่าวันหนึ่งจะต้องเกิดอาการนี้ขึ้น เพื่อเมื่อก่อนที่ท่านจะบวช ท่านก็เคยดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และรับประทานอาหารที่ไม่ค่อยเป็นประโยชน์เท่าไหร่นัก ท่านยังคิดอยู่ว่าจะเป็นอะไรก่อน จะเป็นที่ตับหรือที่ปอด

 

"หลวงปู่คงจะอยู่กับตัวนี้ เราเคยรับรู้มาแล้วว่าเป็นอย่างไร อาการที่เราเป็น จิตเราบันทึกได้ มีความจำ มันอยู่ในความจำ แต่ถ้าให้ยา อาการคงแรง ไม่รู้จะทนได้ไหม เพราะจิตเรายังไม่เคยรับรู้อารมณ์นั้น แต่ยังไงก็จะพยายามดู ต้องอยู่กับเขาให้ได้ กายป่วยแต่ใจเราไม่ป่วยด้วยอยู่แล้ว" หลวงปู่เล่าด้วยรอยยิ้มแล้ว ทำให้ผมสัมผัสถึงธรรมที่ท่านถ่ายทอด

 

ขณะที่ผมฟังและสนทนากับท่าน ผมไม่กล้าที่จะร้องไห้ให้ท่านรู้ว่าผมเสียใจเพียงใด ในใจมีแต่ความกลัว กลัวหลวงปู่จะมรณภาพ และท่านเองก็ดูเหมือนจะเลือกที่จะอยู่กับมะเร็งและไม่ขอฉีดคีโม ผมน้ำตาเอ่อนองเล็กน้อย พี่อุ๊ ปลอบผมโดยลูบที่ไหล่เบาๆ ....

 

ในช่วงที่สนทนากับหลวงปู่ หลวงพี่ตุ้มท่านก็ได้ร่วมพูดคุยกับเราด้วย ท่านแนะนำเรื่องการปฏิบัติธรรม สอนให้เรา "ดูจิต" เหมือนเรา "แอบมอง" คนที่เราชอบ คือมองเขาแบบไม่ให้เขารู้ตัว ไม่งั้นเขาจะอาย เหมือนกับการดูจิตที่ค่อยๆ ดู ไม่จงใจไปเพ่ง แต่ให้รู้ไปทีละนิดๆ สะสม สภาวะไปเรื่อยๆ และจิตจะเป็นอย่างไรก็อยู่ที่จิตของเรา

 

ผมและพี่อุ๊รับฟังด้วยความตั้งใจ และเราคุยกันว่า คืนนี้จะให้ผมเฝ้าดูแลหลวงปู่ แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องสุขภาพของผมที่ต้องรับการตรวจไตและข้อหัวเข่า ทำให้ไม่สามารถอยู่ดูแลท่านได้ จนสุดท้ายต้องขอลาท่าน และกลับไปทำภารกิจของตัวเอง....ก่อนกลับ ผมเอื้อมมือไปจับกับมือของหลวงปู่ เรากุมมือกันไว้ แม้ไม่มีคำพูดใดๆ ออกมา แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ได้รับจากท่าน

 

ภายหลังจากกลับออกมาจากโรงพยาบาลจุฬา ผมก็ไม่ได้มีโอกาสได้กลับไปเยี่ยมท่านอีกเลย เพราะงานที่ต้องจัดการมากมาย และภาระที่ทำไม่เสร็จ แต่ผมก็ได้บอกกับพี่อุ๊ไว้ว่า ปลายปีนี้ ผมจะไปหาหลวงปู่ เพราะตอนที่คุยกับหลวงปู่ ผมได้บอกท่านแล้วว่าจะไปหาตอนปลายปี

 

ผมจำได้ว่าเมื่อครั้งที่เดินทางไปวัดป่าสุคะโตตอนแรกนั้น หลวงปู่ได้รับผมไว้สอนปฏิบัติ น้ำเสียงฉะฉานของท่าน ความอ่อนโยนและเมตตาที่ได้รับจากท่านทำให้ผมรู้สึกดีใจที่ได้พบครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบท่านหนึ่ง และ "ดงไผ่" คือพื้นที่ฝึกตนอันเปี่ยมด้วยความสงบ สัปปายะ อย่างยิ่ง

 

แม้ว่าตอนแรกผมจะคิดว่าหลวงปู่คือ หลวงพ่อไพศาล วิสาโล แต่เมื่อผมได้รู้ว่าท่านไม่ใช่ ผมก็ไม่ได้เสียใจ แต่กลับดีใจมากกว่าที่ได้พบกับท่าน และท่านยังเมตตาพาผมและพี่ๆ บางท่านไปพบหลวงพ่อไพศาล ที่ "ภูหลง" หรือวัดป่ามหาวัน ซึ่งห่างจากวัดป่าสุคะโตประมาณ 13 กิโลเมตร

 

ต่อมาเมื่อกลับจากวัดป่าสุคะโตในครานั้น ผมก็ได้ติดต่อ โทรศัพท์นมัสการหลวงปู่ และส่งการบ้าน รายงานผลของการปฏิบัติให้ท่านรับทราบและสอนอยู่เสมอๆ ผมจำได้ว่าท่านคอยเตือนผมเรื่องการทำงาน เรื่องการแบ่งเวลา การไม่ส่งใจไปไว้กับคนอื่นมากเกินไป และยังเตือนให้รู้สึกกายและมีสติอยู่เสมอๆ

 

ผมดีใจที่ได้พบและเป็นศิษย์คนหนึ่งของท่าน และผมยังได้บอกกับท่านว่าจะไปนมัสการท่านอีกครั้งตอนปลายปี 2551 ประมาณ 5 วัน แต่ท่านก็เสนอว่าน่าจะมาสัก 10 วัน จะได้อะไรมากกว่ามาสั้นๆ และผมก็บอกกับท่านว่าคงต้องดูก่อน แต่คิดว่าจะไปที่วัดอย่างแน่นอน

 

วันคืนผ่านล่วงมา ภายหลังจากที่ผมได้ไปเยี่ยมหลวงปู่ที่โรงพยาบาลจุฬาได้ไม่กี่อาทิตย์ พี่อุ๊ได้โทรมาบอกกับผมว่า "หลวงปู่เสียแล้ว" ท่านได้มรณภาพไปแล้ว ซึ่งทางวัดป่าสุคะโตจะทำพิธีเพียงไม่กี่วัน เพราะหลวงปู่ท่านได้บริจาคร่างกายให้กับทางโรงพยาบาล

 

ผมร้องไห้ ใจสั่น ทำอะไรไม่ถูก รู้สึกผิดที่ไม่ได้อยู่ดูแลหลวงปู่มากกว่านี้ ตอนที่ท่านมารักษาตัวที่โรงพยาบาลจุฬา เสียใจที่ตัวเองจัดการอะไรไม่ได้ และต้องสูญเสียครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพและนับถือไปอย่างไม่หวนกลับมาได้...

 

ช่วงขณะที่ผมเสียใจนั้น จิตภายในก็บอกกับผมว่า เราเสียใจไปจะได้อะไร สู้เราตั้งใจพากเพียรปฏิบัติและตั้งมั่นในหนทางธรรม ตามที่หลวงปู่สอนไว้จะดีกว่า และอย่าลืมว่าทุกชีวิตไม่เที่ยง ความตายคือความจริงที่ทุกคนต้องพบเจอไม่ช้าก็เร็ว ฉะนั้นจึงควรใช้เวลาที่มีอยู่ของชีวิตให้ดีที่สุด และควรมุ่งมั่นกับการภาวนา พาใจให้พบกับธรรมอันสูงสุด

 

ผมตระหนักรู้ถึงความจริงในแง่ที่ว่าความตายคือการแปรเปลี่ยนสภาพจากแบบหนึ่งไปสู่สภาวะอีกแบบหนึ่ง ซึ่งแม้หลวงปู่จะละสังขารทิ้งกายเนื้อไว้คืนแก่ผืนโลกและธาตุขันธ์ต่างๆ แต่ผมก็รู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าท่านอยู่ข้างๆ และเฝ้าดูผมอยู่เสมอ

 

หลวงปู่ทำให้ผมคิดถึงวัดป่าสุคะโต คิดถึงวันเก่าๆ ที่ผมได้เรียนรู้หลายอย่างจากที่นั้น เรียนรู้ธรรมที่นำพากายและใจนี้ให้เกิดสติปัญญา .....

 

ปลายปีนี้ ผมตัดสินใจไปที่วัดป่าสุคะโต ตามคำมั่นที่ให้ไว้กับหลวงปู่ และผมได้ชวนเพื่อนผองให้ร่วมเดินทางไปด้วยกันในครั้งนี้ด้วย หลายคนยินดีไปร่วมด้วย หลายคนอนุโมทนาในการเดินทาง พี่ๆ หลายคนนัดแนะการเดินทางและเตรียมที่จะไปที่นั่น

 

ณ เวลาปัจจุบันนี้ ความคิดของผมอยู่ในสภาวะที่ว่า ถ้าไปวัดป่าสุคะโต ในวันที่ไม่มีหลวงปู่...จะเป็นอย่างไร....

 

 

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ผมคิดไว้มานานหลายเดือนแล้วว่า จะตั้งใจเขียน "บันทึกการเจริญสติ" ของตัวเองขึ้นมาเพราะคิดว่าคงจะดี ถ้าได้บันทึกไว้ เพื่อการเรียนรู้ของตัวเอง และคนอื่นๆ ที่สนใจ ก่อนที่จะบันทึกในกาลต่อไป ขอเล่าเรื่องการภาวนาของตัวเองก่อน....สำหรับผมแล้ว เริ่มต้นของการปฏิบัติคือเมื่อปลายปี 2549 ก็เกิดจากทุกข์ทางใจ เพราะงานเยอะ เครียด และตอนนั้นแฟนจะขอเลิก เขาเลยเสนอว่าให้ไปปฏิบัติธรรมเพื่อทำใจ จึงได้สมัครไปปฏิบัติของท่าน โกเอ็นก้า ที่ ธรรมอาภา จ.พิษณุโลก พอไปทำมา 10 วัน ก็ดีใจ ที่ทุกข์ครั้งนี้ทำให้ได้พบกับธรรมะ
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนา ปลายปี 2551 นี้ ผมมีโปรแกรมไปเจริญสติที่วัดป่าสุคะโตอีกครั้ง ภายหลังจากเมื่อสิ้นปี 2550 ที่ผ่านมาผมได้เดินทางไปที่วัดป่าสุคะโตแล้วและได้พบหลัก พบหนทาง หลายอย่างที่เหมาะสมกับตัวเองยิ่งนัก แต่การเดินทางไปครั้งนี้ไม่เหมือนปีก่อน....มีหลายเรื่องเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง ไปตามกาลเวลา สิ่งที่เข้ามารับรู้ทำให้อารมณ์ของผมเกิดขึ้นไปต่างๆ นานา และสิ่งที่เสียใจที่สุด ทำให้ใจหม่นหมองมาหลายวัน นั่นคือการมรณภาพของ "หลวงปู่" เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา เมื่อฉบับที่แล้ว ผมได้กล่าวถึงโครงการ “ธรรมทานสู่โรงพยาบาล” ที่ผมและลูกปัดไข่มุก ร่วมกันทำในนามกลุ่ม “ธรรมะทำดี” – กลุ่มที่เราสองคนร่วมกันคิด ร่วมกันก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา เพื่อการเผยแพร่ธรรมะที่เราได้พบและเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ ทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่ ที่ผ่านมา พวกเราสองคนต้องขอบคุณพี่ๆ หลายๆ ท่านที่ได้ส่งหนังสือมาให้นะครับ ตอนนี้มีคนที่มอบหนังสือมาหลายเล่ม ทั้งนิตยสาร และหนังสือธรรมะ และก็มีบางส่วนที่เราไปหาซื้อแถวจตุจักร จากเงินเก็บของเราที่มีอยู่
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง พี่มีนา  ผมหายจากหน้าจอไปนานเพราะมีงานให้ทำ จนฟกช้ำจิตใจไปทั่วเลย ไม่ค่อยมีเวลาได้พัก เพราะงานที่ผมรัก ทำให้ผมต้องใช้กำลังกายและความคิดมากเหลือล้น ผมจึงเป็นดั่งคนที่นำเอาพลังชีวิตในอนาคตมาใช้ ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าจะพอมีเรี่ยวแรงเหลือใช้หรือไม่ในกาลต่อไป เฮ้อ...แต่ที่จะเล่าให้พี่ฟังครานี้ก็คือ ช่วงที่ผ่านมาผมและ “ลูกปัดไข่มุก” ได้ไปจัดห้องสนทนาธรรมชื่อห้องว่า “ห้องธรรมตามใจ” เนื่องในงานเพศศึกษาวิชาการขององค์การแพธ แล้วมีเรื่องที่น่าสนใจมากมาย ทว่าในฉบับนี้อยากเอาคำคมชวนคิดที่ “ลูกปัดไข่มุก” และผมได้ช่วยกันคิดและเขียนขึ้นมาบอกเล่าต่อ ดังนี้ครับ 1.…
พันธกุมภา
มีนา ถึง...น้อง พันธกุมภา ความขี้เกียจมันไม่เข้าใคร ออกใครจริงๆ ... แต่ตอนนี้ต้องเริ่มลุกขึ้นมาทำงานแล้ว เพราะคนที่อดทนไม่ได้เมื่อเราไม่ทำงานก็คือ “แม่” ของเราเอง แม่ของพี่ เป็นภาพสะท้อนของคนจีนในเมืองไทย รุ่นที่ 2 ที่ยังคง ลำบาก ทำงานหนัก และถือปรัชญาพุทธ “ขงจื๊อ” ในเรื่องการทำงานว่าต้องมี ความซื่อสัตย์ ไม่เอารัดเอาเปรียบ ความขยัน อดทน และอดออม แม่มีทุกอย่างจริงๆ แต่พี่อาจจะไม่มีทุกอย่าง อย่างที่แม่มี เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่เรามีความเหมือนและความต่าง แม้เราจะเติบโตมาท่ามกลางครอบครัวที่สอนให้เราเป็นคนค้าขาย เราอาจจะไม่ได้อยากค้าขาย ครอบครัวสอนให้เราทำงานหนัก…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาช่วงนี้เป็นเวลาพักของพี่ ช่างเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากๆ ในความรู้สึก... แต่พี่อดคิดถึงน้องไม่ได้... แล้ววันหนึ่ง... โดยที่ไม่คาดคิด เราก็มาพบกันโดยที่มิได้คาดหมายหรือนัดกันไว้ก่อน พี่อดคิดไม่ได้ว่า ชีวิตคนเราช่างแปลกจริงๆ เราก็มาพบกันจนได้ เพราะความไม่สบายของพี่ชายเพื่อนของเรา ส่วนตัวพี่ไปบ้านนั้นเพราะต้องการไปดูแลตัวเองนอกจากได้ไปดูแลตัวเองและพบกับน้องแล้ว พี่ยังได้พบกับเพื่อนอีกหลายคน ที่ไม่ได้พบกันนานที่นั่น ใครหลายคนบอกว่า โลกมันช่างแคบ ถ้าเรารู้จักคนนี้ เราก็จะรู้จักคนนั้น แต่อาจจะไม่ใช่ในช่วงเวลาเดียวกันเท่านั้นเองการพักผ่อนของพี่ ก็คงเหมือนกับคนทั่วๆ…
พันธกุมภา
มีนา ถึง...พันธกุมภา ตั้งแต่ตกงาน พี่ยังไม่ได้หยุดงานเลย พี่พบว่าโลกปัจจุบันมีงานอยู่หลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่าใครจะนิยามมันว่าเป็นงานอย่างไร สำหรับชีวิตพี่ตอนนี้ มีงานแบบที่ถูกให้คุณค่าทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม และงานที่ไม่ได้ถูกให้ค่าเชิงเศรษฐกิจแต่จำเป็นต้องทำ อันนี้ยังไม่ได้นับรวมเรื่องทางธรรมที่พี่ไปพบมา คืองานที่ทำแล้วไม่มีคุณค่าทางโลกแต่ได้ “บุญ” คิดดูสิว่า... ในโลกเรามีงานมากมายขนาดไหน งานที่พี่ลาออกมาเพื่อขอพัก พี่ยังไม่ได้พักเลยจนกระทั่งบัดนี้ เพราะพี่ทำแต่งานที่ไม่ให้ค่าทางเศรษฐกิจ อย่าง การดูแลแม่ งานบ้าน และการดูแลบ้าน และยังงานอื่นๆ ที่ต้องเกี่ยวข้องกับครอบครัว…
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา ผมขอแสดงความดีกับพี่สาวของผมด้วยนะครับ ที่มีโอกาสได้พักผ่อน แม้ว่าหลายคนจะบอกว่าการที่เราตกงานนั้นเปรียบเสมือนการพายเรือในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่เคว้งคว้างไม่รู้ว่าจะมีหนทางในงานใหม่อย่างไรได้อีก ผมทราบดีว่าพี่คงจะเหนื่อยจากการทำงานมิน้อยเลย และเชื่อว่าการได้รับมอบหมายงานเยอะคงไม่ใช่สาเหตุของการออกจากงานหรอกใช่ไหมครับ ผมรู้ว่าจดหมายหลายฉบับที่พี่ได้เขียนมาบอกเล่านั้นมันสะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้กับวิถีชีวิตความเป็นคนในเมืองหลวง และรวมถึงการต้องสัมพันธ์กับคนมากหน้าหลายตา ที่มีตัวตนแตกต่างกันไป การที่เราทำงานที่เรารัก…
พันธกุมภา
มีนา  ถึง พันธกุมภา พี่กำลังจะเป็นคนตกงานค่ะ... ฉันกำลังจะเป็นคนตกงานค่ะ เดือนสิงหาคมนี้เป็นเดือนสุดท้ายสำหรับการทำงานอย่างเป็นทางการของฉัน ญาติพี่น้อง... เจ้านาย... เพื่อนร่วมงาน... เพื่อน... ต่างเป็นห่วงเป็นใยกลัวว่าพี่จะว่าง กลัวว่าฉันจะไม่มีงานทำ ไม่มีเงินใช้ ตอนที่ฉันทำงาน พวกเขาต่างให้ความห่วง ความกังวล ว่าฉันทำงานหนักเกินไป  คนและสังคมสมัยนี้ให้คุณค่ากับการทำงานมากกว่าคุณค่าของความว่างงาน พี่เคยมีประสบการณ์การตกงานมาก่อนหน้านี้แล้ว ครั้งนั้นพี่ยังไม่สามารถปล่อยวางเรื่องการว่างงานได้ แต่ครั้งนี้ พี่พยายามปล่อยวางเรื่องการงานในปัจจุบันเพื่อพบกับความว่าง …
พันธกุมภา
  พันธกุมภาถึง มีนาเมื่อฉบับที่แล้วพี่มีนาได้กล่าวถึงเรื่องการ "ปล่อยวาง" ซึ่งผมมองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งของการปฏิบัติธรรม เพราะหาไม่แล้วเราก็เป็นเพียงแค่ผู้เผชิญกับความสุขที่จิตใจเกิดขึ้นโดยที่หลงยึดติดอย่างไม่ทันรู้ตัวทั่วถ้วนสิ่งที่ผมอยากจะเน้นย้ำในที่นี้ก็คือ เรื่องการปล่อยวาง หรือ การวางเฉย ซึ่งคล้ายกับภาษาธรรมที่เรียกว่า "อุเบกขา" นี้ ถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง เพราะอย่างที่เราได้รู้กันมานั้นก็คือ ในการปฏิบัติธรรมนั้น ถือว่ามีด้วยกัน 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ การทำสมถะ และการทำวิปัสสนา เท่าที่รู้, การทำสมถะ คือ การทำให้จิตสงบ ทำให้จิตนิ่ง…
พันธกุมภา
มีนา สวัสดี พันธกุมภา รู้ว่าน้องสบายดี พี่ก็ยินดีไปด้วย การดำรงชีวิตอย่างมีสติไม่ใช่เรื่องง่าย พี่ก็ว่างบ้างไม่ว่างบ้าง เพียงแต่ช่วงเวลาที่น้องไม่ว่าง บังเอิญพี่ว่าง ซึ่งเป็นเรื่องดีที่เราจะมีจังหวะชีวิตที่แตกต่างกัน และทำให้การเขียนงานลงตัว พี่ยังคิดอยู่ว่า ถ้าไม่ว่างขึ้นมาพร้อมๆ กัน คงมีปัญหาแน่ๆ สำหรับพี่ ความแตกต่างจึงน่าสนใจ เช่นเดียวกับฤดูที่แตกต่าง ชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ ช่วงสัปดาห์ที่น้องกำลังมีความสุขอยู่นั้น ชีวิตของพี่เหน็ดเหนื่อยและผจญกับความทุกข์ของคนอื่น แล้วยึดมาเป็นความทุกข์ของตนเอง ... บางทีพี่ก็คิดว่า ทำไมเราจึงเป็นคนอย่างนั้นไปได้ และทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่…
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา สวัสดีครับพี่มีนา เป็นอะไรไปถึงไหนอย่างไรบ้างครับ หวังว่าพี่จะสบายดีมีสติในทุกๆ ความสนุกนะครับ อืม...จะว่าไปแล้วเราก็ไม่ได้ตอบรับจดหมายกันนานทีเดียว บางทีพี่ก็ว่างมากมายจนผมรู้สึกอิจฉาตาร้อน และผมเองบางทีก็ว่างนิดหน่อย พอมีเวลามานั่งขีดเขียน เวียนวนให้พี่ได้ยลได้ติดตามอยู่เนืองๆ ช่วงที่ผ่านมาวันเข้าพรรษา ผมพาตัวเองไปเข้าวัดมาครับ แถวๆ เกาะสีชัง ได้ไปกับคนที่รักและใช้ชีวิต “ดูจิต” สนทนาธรรมและดื่มด่ำบรรยากาศอบอุ่นจากไอทะเล ทำกับข้าวกินกันริมชายฝั่ง นั่งนับดาวยามราตรี มีเวลาก็ขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวรอบเกาะ หาซื้อเงาะ ซื้อทุเรียนมานั่งกิน รินน้ำเปล่าชนกัน…