Skip to main content
ช่วงที่ผ่านมา มีจดหมายจาก คุณ พรพรรณ เขียนจดหมายมาสอบถามผม 4 เรื่องดังนี้

 

1. การที่เราต้องอยู่ร่วมกับคนที่เขาไม่ชอบเรา หรือมีทัศนคติที่ขัดแย้งกัน  เราควรทำอย่างไร

2. การแผ่เมตตา  ช่วยให้ทุกข์ที่เกิดขึ้นคลายลง ได้หรือไม่  และการแผ่เมตตามีคุณอย่างไร

3. การไปปฏิบัติ  จะช่วยให้เกิดผลบุญถึงเจ้ากรรมนายเวรได้จริงหรือเปล่าคะ

4. คุณน้องเต้าเชื่อเรื่องกรรม หรือไม่คะ

 

ผมได้รับและตอบกลับดังนี้

....................

 

สวัสดีครับ 
ขอบคุณที่ไว้วางใจให้ผมได้แบ่งปันนะครับ
แต่...สภาวะของผมอาจเป็นคนอื่น ที่มองเข้าไปยังเหตุการณ์ของพี่ที่เกิดขึ้น
ซึ่งคงไม่รู้สึกได้ทั้งหมดเหมือนที่พี่เจอ ยังไงก็ขอแบ่งปันจากที่ตัวเองที่เผชิญและรู้มาบ้างนะครับ
 
เรื่อง 1 การอยู่กับคนที่เขาไม่ชอบเรา ควรทำยังไง


ผมมองว่าคนอื่นๆ มี อยู่ 3 แบบ คือ คนที่ชอบเรา, คนที่ไม่ชอบเรา และ คนที่เฉยๆ กับเรา
นั่นไม่ว่าเราจะทำอะไร จะพูด จะทำ เป็นอย่างไร ก็จะมีคน 3 ประเภทนี้อยู่
หน้าที่ของเราคือ "เอาใจไว้กับตัวเอง" คือ "ไม่เอาใจไว้ที่เขา" เพราะเมื่อใดที่เราเอาใจไปไว้ที่เขา เราก็จะรู้สึกทุกข์ เช่น เมื่อเขาไม่ชอบ เราก็ทุกข์ เมื่อเขาไม่ชมเราก็ทุกข์ อันนี้เพราะเราเอาใจไปไว้ที่เขามากไป ทำให้เราทุกข์เพิ่มขึ้น ยิ่งเมื่อคนที่เขาเห็นแย้งกับเรา ยิ่งไปกันใหญ่เลย ฉะนั้น ขั้นแรกคือ "ให้เราเอาใจไว้กับตัวเองก่อน"


ทีนี้ การเอาใจไว้กับตัวเอง ไม่ได้หมายความว่าเราเห็นแก่ตัวหรือไม่ใส่ใจคนอื่นนะครับ
เรื่องที่เขาไม่เข้าใจ เราก็อธิบายให้เขาเข้าใจ, ถ้าหากเขาร้อนใจใส่เรา เราก็เย็นใจใส่เขา
คนบางคนเวลาเจอเราก็จะมีเรื่องเดิมๆ มาว่า มาวิจารณ์เรา เราก็ปล่อยให้เขาได้ "ปล่อย" เรื่องราวเหล่านั้นออกมา


เมื่อเขาพูดเสร็จ เราก็ "รับฟัง" อย่างตั้งใจ ไม่สวนกลับ เมื่อเสร็จแล้ว เราก็ขอบคุณเขา หรืออาจจะขอโทษเขาไปเลย คือทำให้เรื่องที่เค้าค้างใจ หลุดออกจากเขาก่อน ส่วนเรื่องที่เขาว่ามานั้นจะใช่หรือไม่ใช่ เป็นเรื่องที่เราจะมาจัดการกับตัวเอง
 
ในกรณีที่มีคนมาว่าเรา นินทา หรือด่า เรา ก็เหมือนกับ หากสมมุติว่า ผมเจอกับพี่ แล้วพี่เอาน้ำมาให้ผมดื่ม แต่ผมไม่รับ น้ำแก้วนั้นจะเป็นของใคร .....มันก็ต้องเป็นของพี่ใช่ไหมครับ ก็เหมือนกับถ้าเขาว่าให้เรา ด่าเรา วิจารณ์เรา แล้วเราไม่รับมา มันก็เป็นของเขาอ่าเนอะ^^
 
คนที่มีทัศนคติไม่ตรงกับเรา ถือเป็นบททดสอบของเรา ที่จะทำให้เราได้เติบโต อดทน ที่จะคุยกันอย่างกรุณา ไม่ใช้อารมณ์ คุยอย่างเมตตา แบบนี้ก็น่าจะโอเคแล้วนะครับ ลองอ่านเรื่องนี้นะครับ ไม่แน่ใจว่าจะเข้ากับกรณีที่ 1 หรือไม่ http://www.thaingo.org/writer/view.php?id=954
 
เรื่องที่ 2 การแผ่เมตตา

การแผ่เมตตา ส่งผลอย่างมากต่อจิตใจของเรา อย่างน้อยการแผ่เมตตาก็มีอานิสงค์ในหลายๆ ประการ
เช่น ทำให้ใจเรามีเมตตาต่อสรรพชีวิต ต่อคนรัก ต่อศัตรู ฯลฯ, ลดแรงกรรม, เป็นที่รักของสรรสัตว์
อันนี้ลองอ่านได้เพิ่มเติมที่ ลิ้งค์นี้ครับ http://board.palungjit.com/showthread.php?t=170075
 
สำหรับผม ก็แผ่เมตตาทุกข์วันครับ ช่วยทำให้ใจตัวเอง เอื้ออารีย์ต่อตัวเอง และคนอื่น
มองคนรอบข้าง ทั้งดี ไม่ดี หรือเฉยๆ กับเรา แบบเท่ากัน คือเขาก็เป็นเพื่อนร่วมโลก
หลายเรื่องที่เขาทำไม่ดีกับเรา เพราะเขาไม่รู้ แล้วเราก็ต้องแผ่เมตตาให้เขาได้พบธรรมะ ได้พ้นจากทุกข์
หรือบางทีเขาอาจเป็นคู่เวรที่มาใช้วิบากกับเรา เราก็แผ่เมตตาให้เขา ยิ่งทำมากก็ยิ่งดีนะครับ
คนทุกคนไม่ได้ตั้งใจเกิดมาเป็นคนไม่ดีหรอกเนอะ....
 
เรื่องที่ 3 การปฏิบัติจะช่วยให้เกิดผลบุญถึงเจ้ากรรมนายเวรจริงไหม


ขอตอบว่า จริงครับ
เพราะผมเชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม และการเวียนว่ายตายเกิด ในสังสารวัฏ
ตราบใดที่เรายังไม่ถึงฝั่งพระนิพพาน เราก็ยังเวียนว่ายตายเกิดต่อไป
ไม่ว่าจะไป อบายภูมิ หรือ สุคติภูมิ ก็ล้วนแล้วแต่ต้องเวียนไป ไม่จบสิ้น
ทีนี้ กว่าเราจะเกิดมาเป็นคน เราก็เวียนว่ายตายเกิดมาไม่รู้กี่ภพ กี่ชาติ
มีพ่อ แม่ ญาติ คู่รัก เจ้ากรรม นายเวร มาไม่รู้กี่คน ไม่ว่าจะเป็น ปัจจุบัน หรือ อดีตชาติ
ฉะนั้นการที่เราได้เกิดมาเป็น "คน" ใน ปัจจุบันนี้ ย่อมมีนัยะ สำคัญคือ
เป็นการมาใช้กรรมเก่า และ การสร้างกรรมใหม่
 
ชดใช้กรรมเก่าที่เราเคยทำไม่ดีมา และสร้างกรรมใหม่ให้ส่งผลต่อภพภูมิต่อไป
 
ทีนี้เมื่อเราปฏิบัติธรรมแล้ว สิ่งที่จะเกิดกับเราคือ เราจะมีบารมีทางธรรม มีบุญกุศลเพิ่มมากขึ้น
และเมื่อเรามีบุญเยอะ ก็เหมือน มีน้ำใส่ในแก้วมากยิ่งขึ้นถ้าเรามีมาก แล้วไม่ได้แบ่งให้คนอื่นดื่ม เขาก็จะมาขอเราดื่มเอง ไม่ว่าจะมาให้เห็น หรือ มีสัญญาณต่าๆ ก็ตาม เราก็ต้องแบ่งบุญที่เรามีให้กับ เจ้ากรรมในอดีตชาติ หรือ ในปัจจุบัน ให้เขาได้รับผล อานิสงค์กับเรา ซึ่งมันก็ช่วยได้เยอะทีเดียวนะครับ
 
บางครั้ง การปฏิบัติ ก็ทำให้เราได้
1. ชดใช้ให้กับสิ่งเดิม
2. เพิ่มเติมให้กับสิ่งใหม่
3. รักษาให้ดำรงต่อไป
4. สบายใจทุกๆ ขณะ
 
หน้าที่ของเราคือ
- เอาของที่ไม่ดีออกจากจิตใจ คือ (1.) ไม่ตามใจกิเลส คือ โลภ โกรธ และหลง
อาจจะโดยการ ให้ทาน รักษาศีล เจริญสมาธิ เจริญปัญญา
 
- เพิ่มเติมความ "รู้สึกตัว" คือการเจริญสติ ให้ระลึกรู้กายและใจ ด้วยความเป็นจริง เป็นการทำ สติปัฏฐาน ตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งสอนไว้
ให้จิตเราบ่มเพาะความรัก ความเมตตา กรุณา มุฑิตา ต่อสรรพชีวิต
 
- รักษาจิต ให้มีสติ ระลึกรู้ อยู่ทุกๆ ขณะ ทำบ่อยๆ เนืองๆ ฝึกไปเรื่อยๆ จิตจะรู้ทุกข์ และละทุกข์ได้เอง
 
- เมื่อจิตใจเรา มีสติ ไม่ว่าจะดี ใจ เสียใจ หรืออะไรก็ตาม เราจะรู้ว่า ทุกๆ อย่างมันไม่เที่ยง มีเกิด ก็มีดับ มีเหตุ ก็เกิด หมดเหตุ ก็ดับ ให้เราเห็นความจริงตรงนี้ไว้นะครับว่า "ทุกสิ่งไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน บังคับไม่ได้"
จิตใจของเรา มีสุข มีทุกข์ มีโกรธ มีชอบ มีเครียด มีสุข คละกันไป
ถ้าเราเห็นความจริงในตรงนี้ เราจะมีความสุข
ความสุขที่เราเห็นความจริง, รู้สึกตัว ไม่เผลอไปกับกิเลส ไม่ติดยึดไปกับตัวตน
 
เรื่องที่ 4 เรื่องกรรม

ผมเชื่อเรื่องกรรมนะครับ เช่น เรื่องนี้, ผมถึงได้เจอพี่ในวันเวลาที่พี่ทุกข์ใจไง ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ผมจะได้ตอบเมลของพี่ แสดงว่า ผมคงจะเคยติดค้างอะไรพี่ไว้ ฉะนั้น ผมจึงปรากฏ ให้พี่ได้พบ และเราก็ได้สนทนา แบ่งปันกัน เป็นการใช้กรรมที่ติดค้าง และ ผมก็ได้สร้างกรรมใหม่ให้เราตัวเองด้วย
 
จากเรื่องนี้ ผมคิดว่ากรรม (หมายถึงการกระทำ) มี 2 แบบ คือ กุศลกรรม และ อกุศลกรรม
ซึ่งทั้งสองอย่าง เกิดได้ จาก "เจตนา"
 
ถ้าเราทำกรรมใด ย่อมส่งผมต่อวิบากนั้น หมายถึง เมื่อมีเหตุ ย่อมปรากฏผล เมื่อมีกรรม ย่อมมีผลของกรรม
 
ถ้าเรารู้ว่าตัวเองมีกรรม อย่าพึ่งยอมจำนนกับกรรม ว่าเราต้องใช้กรรมอย่างเดียว แต่ควรมองว่าเราก็ถือโอกาสสร้างกรรมใหม่ขึ้นมา หรือเมื่อเราทุกข์ ก็อย่าไปเผลอไปกับทุกข์
ให้เรารู้ว่าทุกข์เข้ามาเพื่อเป็นบททดสอบ ให้เรา รู้จักความจริงของทุกข์ และได้พ้นจากมัน
 
ทั้งนี้การแผ่เมตตาและการเจริญสติ จะช่วยลดแรงกรรมได้เยอะเลยครับ
เหมือนเราวิ่งเร็วขึ้น เจ้ากรรมก็ตามไม่ทันเรา แต่เราก็อย่าลืมเอาบุญให้เจ้ากรรมด้วยนะครับ
 
ลองอ่านเรื่องกรรมเพิ่มเติมต่อได้ที่ http://dungtrin.com/whatapity/02.htm  
 
----------------------
 
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้
ลองหยุด สำรวจ กายและใจของเรา
พักดู ลมหายใจ ออกและเข้า สัก 3 ครั้ง
 
ยิ้มกับความทุกข์นะครับ
 
ทุกข์ไม่เกิด เราก็ไม่รู้จักทุกข์
มารไม่มี บารมีก็ไม่มา
 
เป็นกำลังใจให้พี่นะครับ

 

 

 

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยชอบอยู่กับตัวเอง เพราะมีความรู้สึกไม่มั่นคง อีกทั้งยังคิดว่าเราควรที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ บ้าง ในการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน การเรียน หรือกิจกรรมต่างๆ ที่มีในความสัมพันธ์  แต่เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆ จำนวนหนึ่งที่ทำงานขับเคลื่อนทางสังคมในเรื่องชีวิตทางเพศได้เข้าร่วมภาวนา หรือ Retreat ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการภาวนาเพื่อติดตามเพื่อนๆ ที่ได้ภาวนาในรุ่นต่างๆ ก่อนหน้านี้ให้ได้พบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยน ซึ่งกันและกันว่าใครเป็นอย่างไร มีสุข มีทุกข์อย่างไรบ้าง
พันธกุมภา
เมื่อมีเวลาตรวจดูสภาวะจิตใจของตัวเองในช่วงนี้แล้ว ก็เหมือนกับว่าผมได้พบกันสภาวธรรมต่างๆ ที่แปรเปลี่ยนไปหลายๆ ประการ มีเกิด มีดับ สลับกันไปในจิตแต่ละช่วงขณะ คือค่อยๆ รู้สึกตัวบ้างในบางครั้ง รู้ว่าเผลอ รู้ว่าหลง รู้ว่าประคอง ในอารมณ์ต่างๆ เช่น ความคิด ความโกรธ หรือแม้กระทั่งความอยาก
พันธกุมภา
ผมถามพี่ที่รู้จักกันท่านหนึ่งว่า "ที่คนทั่วไปไม่ค่อยปฏิบัติธรรมเพราะอะไร"และพี่ท่านนี้ก็ได้ตอบจากประสบการณ์ของตัวเอง ว่า เมื่อก่อนเค้าไม่สนใจ  เพราะเป็นเด็กจะไม่ค่อยมีความทุกข์ แต่พอโตขึ้นแล้วไม่สามารถหาคำตอบได้ในบางคำถาม แต่ธรรมะกลับตอบได้
พันธกุมภา
ถามสวัสดีค่ะเหนื่อยจัง  นอนน้อยเลยเบลอมีคำถามมาถามน้องอีกแล้วค่ะ  คือเมื่อคืนและเมื่อหลายคืนก่อน ดูละครสาปภูษา กับสุสานภูเตศวรสองเรื่องนี้มีความเหมือนกันอยู่อย่างคือ  ย้อนยุค  ทะลุมิติ  โดยมีเรื่องวิญญาณมาเกี่ยวข้องจู่ๆ ก็มีคนถามขึ้นมาว่า  เชื่อเรื่อง ชาตินี้ ชาติหน้า ไหมทำให้พี่คิดขึ้นมาว่า เออ แล้วมันจริงเหรอ เรื่องนี้น่ะไม่รู้สิคะ  ตามความคิดส่วนตัวคือ เชี่อค่ะเชื่อ เลยไม่อยากทำอะไรไม่ดีเลย  อยากสั่งสมความดี สร้างบุญเพราะเราเห็นว่ามันสุขตั้งแต่นาทีที่ทำวันก่อนอ่านหนังสือคุณ ดังตฤณ พี่คิดว่าตามแนวคิดคุณดังตฤณ  มันก็มีจริงสิคะ ชาตินี้…
พันธกุมภา
ต่อจากการตอบจดหมายเรื่องทุกข์ใจกับคนที่ไม่ชอบเรา1 ขอบคุณอย่างยิ่งค่ะอ่านแล้วรู้สึกน้ำตาจะไหล
พันธกุมภา
ช่วงที่ผ่านมา มีจดหมายจาก คุณ พรพรรณ เขียนจดหมายมาสอบถามผม 4 เรื่องดังนี้  1. การที่เราต้องอยู่ร่วมกับคนที่เขาไม่ชอบเรา หรือมีทัศนคติที่ขัดแย้งกัน  เราควรทำอย่างไร2. การแผ่เมตตา  ช่วยให้ทุกข์ที่เกิดขึ้นคลายลง ได้หรือไม่  และการแผ่เมตตามีคุณอย่างไร3. การไปปฏิบัติ  จะช่วยให้เกิดผลบุญถึงเจ้ากรรมนายเวรได้จริงหรือเปล่าคะ4. คุณน้องเต้าเชื่อเรื่องกรรม หรือไม่คะ ผมได้รับและตอบกลับดังนี้.................... สวัสดีครับ ขอบคุณที่ไว้วางใจให้ผมได้แบ่งปันนะครับแต่...สภาวะของผมอาจเป็นคนอื่น…
พันธกุมภา
 คืนนี้ ดึกแล้วครับช่วงเวลาตีสามกว่าๆ ควรเป็นเวลาที่ผมจะได้นอนหลับอย่างสงบแต่ไม่รู้ทำไม? คืนนี้จึงเกิดความรู้สึกว่าอยากจะรวมเล่มบันทึก "ธรรมใจ ไดอารี่" นี้ให้เสร็จ
พันธกุมภา
ผมเขียนเรื่องนี้ตอนเพิ่งตื่น ตอนนี้ยังไม่ได้ล้างหน้า แปรงฟัน ตาก็ดูเบลอ ทำอะไรก็เบลอๆ อยู่นิดหนึ่ง ยังไม่ค่อยมีใจอยากจะทำอะไร ความขี้เกียจเป็นเพื่อนที่ไม่หนีไปไหน ยังคงยืนอยู่ข้างๆ กายผม ไม่อยากทำอะไรเลย แม้ว่าจะมีงานมากน้อยเพียงใด ผมอยากจะหยุดเวลาไว้ตรงที่การอยู่เฉยๆ เพราะเวลาไม่ได้ทำอะไรก็ดีไปอีกอย่าง...บอกไม่ถูกครับ
พันธกุมภา
  ตอนนี้ผมพบว่าความอ่อนล้าทำให้เหนื่อยกับสิ่งกำลังทำอยู่ ไม่ว่างานจะสนุกเพียงใด แต่ถ้าอะไรหลายๆ อย่างเข้ามาในชีวิตจนไม่สามารถจัดการได้ว่าจะทำอะไรก่อนหลัง วิธีการเรียงลำดับความสำคัญของงานเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับการมีชีวิตที่สมดุลกัน
พันธกุมภา
แม่เพิ่งโทรมาถามผมว่าวันเกิดปีนี้จะทำอะไร? และเตือนว่าอย่าลืมไปทำบุญถวายพระ แถมยังบอกอีกว่าปีนี้ อยากให้ทำทานโดยการซื้อผ้าเช็ดตัวให้กับผู้เฒ่าผู้แก่และเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กๆ ในหมู่บ้าน ผมรู้สึกดีใจที่คุณแม่โทรมา เพราะอย่างน้อยแสดงว่าท่านจำวันเกิดของผมได้ แม้ว่าผมจะไม่ค่อยตื่นเต้นอะไรกับวันเกิดเพราะมันก็เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งสำหรับผม แต่ที่ไหนได้วันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตของคุณแม่ เพราะท่านได้ให้การเกิดผมมาลืมตาดูโลก
พันธกุมภา
ช่วงอาทิตย์กว่าที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่คนรอบข้างผมต้องเสียชีวิตไปมากกว่า 3 คน คนหนึ่งเสียชีวิตด้วยการยิงตัวตาย อีกคนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง และคนสุดท้ายเสียชีวิตดูความชรา การจากไปของคนรู้จักเหล่านี้ แน่นอนว่านำมาซึ่งความเสียใจ ความเศร้าโศก และมันก็ทำให้ผมคิดถึง “ความตาย” อยู่ทุกๆ ขณะ เพราะความตายนี้เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราจริงๆ ซึ่งมันเป็นการบอกย้ำธรรมชาติของชีวิตว่าชีวิตทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง
พันธกุมภา
หลังจากวันที่เริ่มบันทึกมาจนถึงวันนี้ ก็ผ่านเลยมาหลายวันแล้ว มีเรื่องราวหลายๆ อย่างเกิดขึ้นในชีวิตแต่เท่าที่สำคัญและจำได้ดีคือ ช่วงวันที่ 5 - 15 มกราคม ที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆ ที่ทำงานสุขภาวะทางเพศประมาณ 20 คนได้เข้าอบรมภาวนาภายในและการเรียนรู้โครงสร้างทางสังคม ที่บ้านสวนธารทิพย์ ซึ่งมีพี่อวยพร เขื่อนแก้ว เป็นกระบวนกรหลัก