มีนา
ถึง พันธกุมภา
ฉันต้องขอบคุณ พันธกุมภา ที่เชื้อเชิญ และพยายามดึงฉันออกมาเขียน แม้ว่าจะถูกบอกว่า "น่าจะเป็นนักเขียนได้..." แต่ฉันยังไม่...แม้แต่ลงมือทำ จะเป็นได้อย่างไร หน้านี้...และหน้าที่นี้ ต้องเป็นความต้องการของพันธกุมภา ที่จะดึงฉันออกมาจากะลาเดิมเป็นแน่
สำหรับฉันแล้ว การเดินทางไปวัดป่าสุคะโต เพื่อพบหลวงพ่อเทียนของเธอ แทบจะไม่เกี่ยวข้องอะไร หากเราไม่ใช่กัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน ฉันสนับสนุนให้เดินทางเพื่อไปเรียนรู้ ให้จิตอยู่กับกาย คนสมัยนี้...ฉันเองก็เป็นคนสมัยนี้ ไม่ได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบันของตนเอง
ฉันเคยสังเกตตัวเองเมื่อต้องทำงาน ต้องเดินทางไปทำงาน หรือไปในที่ๆ เราไม่รู้จัก ฉันมักกังวลเสมอ แม้ว่าจะใช้การเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ ถึงอย่างไรเขาก็ต้องพาผู้โดยสารทั้งหมดไปส่งที่จุดหมายปลายทางของแต่ละคน ฉันเห็นตัวเองเมื่อฉันไม่รู้จักสถานที่นั้น ซึ่งจริงๆ อาจต้องใช้เวลามากกว่า 1 ชั่วโมงกว่าจะเดินทางถึง ทั้งๆ ที่ไปกับเพื่อนกลุ่มใหญ่ ฉันก็ยังกังวลใจกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงคือจุดหมายปลายทาง
ฉันรู้สึกว่าฉันไม่สามารถควบคุมมันได้ ฉันไม่สามารถวางแผนแล้วเป็นไปอย่างที่ฉันวางไว้ได้ สิ่งใดก็เกิดขึ้นอยู่เสมอ
ข้อธรรมที่ฟังมาตั้งแต่เด็กจนปัจจุบันก็ไม่ช่วยได้ หากฉันหรือเธอไม่เริ่มปฏิบัติ ด้วยการเริ่มวางมัน เมื่อฉันเห็นตัวเองดังนั้นแล้ว การเดินทางอีกครั้งของฉันบนรถโดยสารเช่นเดิม กับเพื่อนกลุ่มเดิม แต่ในสถานที่ใหม่จึงเริ่มขึ้น
ฉันเริ่มดูตัวเอง...อืม...ฉันยังกังวลอยู่ แล้วฉันก็เริ่มมามองดูที่ลมหายใจของตัวเองว่ากำลังหายใจเข้า หรือ หายใจออก สักพักฉันก็มาชื่นชมกับต้นไม้ข้างถนน รถ ผู้คนที่เดินไปมา บางที่ๆ ผ่านแทบจะไม่มีคนเลย บางที่ก็เป็นตลาด เออ...หนอ พอเราอยู่กับปัจจุบันแล้ว ความสุขใจ มันช่างหาง่ายจริงๆ ความกังวลใจที่เคยมีมันมลายหายไปตอนไหน...ไม่รู้
เท่าที่ฉันสัมผัส คนอย่างเราๆ มักวางกายไว้ที่หนึ่ง...ที่นี่ ใจลอยไปอยู่กับอนาคต...สิ่งที่มาไม่ถึง ลึกๆ แล้วมันคือความกลัว ที่การศึกษาและชีวิตสมัยใหม่จับมันใส่สมองส่วนคิดเรามาตลอดว่า คนต้องหา ความมั่นคง ...บางครั้งอดคิดไม่ได้ว่าความมั่นคงมันคืออะไร แปลว่า ความสุขหรือเปล่า อนาคตจะเป็นอย่างไร หลายคนวางแผนเป็นอย่างดี ดังเช่น งาน การนัดหมายงาน มีแผนปี แผน 2 ปี แต่เมื่อเหตุการณ์มาถึง แผนทั้งหลายกลับพลิก ฝนอาจจะตกอย่างแรง น้ำท่วมทำให้เดินทางหรือไปทำงานได้ทันตามที่วางแผนไว้ เหตุการณ์ที่ร้ายแรงก็อาจจะมีคนที่เรารักสูญเสียชีวิต เจ็บ หรือป่วย สิ่งเหล่านี้ ทำให้เราต้องล้มเลิกแผนที่วางไว้ ไม่ว่านานแค่ไหนก็ตาม
อันเนื่องจากการที่เราเห็นคุณค่าของชีวิต ความสุข มากไปกว่า "ความมั่นคง" เงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง หรือสิ่งตอบแทนใดๆ
หลายเสียงคงบอกว่าอยู่ที่เงิน ถ้าเรามีเงินมากๆ จะทำให้เรามั่นคงได้ สิ่งนั้นเป็นความจริงหรือเป็นจริงหรือไม่ ฉันไม่อาจรู้และไม่อาจตอบแทนใครได้ ฉันรู้เพียงว่า หากวันนี้ฉันมีเงินมากๆ ฉันต้องรับผิดชอบมากขึ้น ต้องทำงานมากขึ้น ร่างกายของฉันคงรับกับโรค ความเจ็บป่วยไม่ไหว จิตใจก็คงเครียด ....ฉันคงป่วยจิตและป่วยกายไปพร้อมๆ กัน
ขณะที่คนทำงานเพื่อสังคม แรกเข้ามาต่างมาด้วยความพยายามที่จะเปลี่ยนสังคม อย่างพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน การเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเกิดกับสิ่งใดก็ตาม ย่อมส่งผลกระทบและย้อนกลับมาที่ตัวเรา ทั้งในสิ่งดีและสิ่งที่ไม่ดี แม้ว่าเราจะมีอุดมการณ์เพื่อช่วยชาวบ้าน ช่วยเด็ก ช่วยคนทุกข์ อย่างยากลำบาก ลงมือทำทั้งแรงกายแรงใจ โดยไม่สนใจว่าตนเองจะเจ็บป่วยหรือทุกข์เพียงใด ขอให้คนทุกข์ยากเหล่านี้ได้มีชีวิตที่ดี
คนเหล่านี้เขาขอให้เราทำหรือ? ไม่?
ถ้าเขาขอ เราทำแล้วมีความสุข ก็อย่าลืมดูแลจิตใจตนเอง ... เราไม่รู้ว่า วันนี้เราดีสำหรับคนอื่น แต่เราไม่เห็นดีในตัวเอง
ถ้าเขาไม่ขอ เราทำ...เราคาดหวังให้เขาขอบคุณเราหรือ...เพื่อชื่อเสียงที่จะอยู่กับเราไปจนตายหรือ แล้วเรามีตรงไหนที่เรารักและดูแลตัวเอง อย่างไม่เบียดเบียนต่อสรรพสิ่ง หากคำตอบออกมาว่าเรามีความสุขจากที่ชาวบ้านขอบคุณเรามากมาย เราเองอาจไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย...นอกจากคนอื่นที่รู้จักชื่อและหน้าตาของเรา...เท่านั้น
เมื่อความทุกข์และความเจ็บป่วยมาเยือน หลายคนที่ทำงานเพื่อคนอื่น ทำงานเพื่อสังคม มักย้อนถามตัวเองว่า เราทุ่มเทมานาน เราทำไปเพื่ออะไร ทำไมเราไม่ได้สิ่งตอบแทน การเดินทางเข้าวัดป่าสุคะโต อาจเป็นจุดเริ่มต้อนของพันธกุมภา...ในฐานะเพื่อน ฉันได้แต่เอาใจช่วยว่า เมื่อไปถึงแล้วเธอจะได้เรียนรู้ตั้งแต่เริ่มต้น เรื่องง่ายๆ ที่ทำยากสำหรับคนสมัยนี้...ให้กายกับจิตอยู่ด้วยกัน ...อยู่กับปัจจุบัน...
เมื่อทำงาน เราเองก็เหมือนกับคนทั่วไป ยังต้องดูแลตนเองด้วยการ ดูแลกาย ดูแลจิต ความห่วงใยที่มีต่อคนใฝ่ปฏิบัติธรรมก็เป็นแบบหนึ่ง คนที่มีอุดมการณ์ทำงานเพื่อสังคมก็เป็นแบบหนึ่ง อย่าท้อใจ...ที่จะเริ่มต้น เริ่ม...จากการมองเห็นตัวเอง เห็นจิตของตนเอง