Skip to main content

มีนา

20080321 ภาพพระอาทิตย์ยามเย็น

ถึง พันธกุมภา

จุดหมายปลายทาง การเดินทางธรรมของเธอครั้งนี้อยู่ที่วัดป่าสุคะโต ที่...ซึ่งฉันไม่เคยไป หากหลายคนอยากไป ก็คงไม่ได้คิดถึงเรื่องการเดินทาง หากมักนึกถึงปลายทาง และในที่สุด...แม้รู้ว่าเธออาจจะเดินทางถึงวัดป่าสุคะโตแน่นอน เธอก็น่าจะเรียนรู้ระหว่างทางดังที่เธอเล่าให้เราฟัง

ฉันเคยพูดถึงเรื่องความกลัวระหว่างการเดินทาง “ในความกลัว” มาก่อนแล้ว ด้านหนึ่งฉันนึกเสมอว่า คนธรรมดาทั่วไปอย่างฉัน ร่ำเรียนมาด้วยวิธีคิดแบบมีเป้าหมาย โดยไม่สนใจระหว่างทาง หรือกระบวนการเรียนรู้ก่อนที่จะถึงเป้าหมาย ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว “ระหว่างทาง” เป็นสิ่งสำคัญมาก อาจจะมากกว่าเป้าหมายด้วยซ้ำไป

จากนักเรียนมัธยมสู่การเรียนมหาวิทยาลัย เป้าหมายอาจจะอยู่ที่การเรียนจบ การรับปริญญา ปริญญาบัตร หรือการได้เกียรตินิยม ความหมายของการเรียน มันอยู่ที่ปริญญาหรือการเรียนได้ที่หนึ่งเท่านั้นหรือ

สำหรับใครหลายคนขอเพียงแค่เรียนจบ ขอเพียงแค่สอบได้ เหล่านี้ล้วนเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ บางคนขอจบแบบมีเกียรตินิยมควบคู่มาด้วย นี่เองที่เป็นเป้าหมาย สิ่งนี้หรือคือคุณค่าของการศึกษา

เมื่อร่ำเรียนจบมาแล้ว เราอาจจะได้พบว่า เพื่อนเราที่ต้องออกจากการศึกษากระทันหัน (retired) ก็ล้วนเรียนอยู่กับเรา แล้วเขานำเอาวิชาความรู้ไปใช้ได้บ้างไหม มีจุดหมายอื่นหรือเปล่าที่เขาได้ทำแม้ว่าเขาอาจจะเรียนไม่จบได้ปริญญา หรือไปเรียนจบที่อื่นที่อาจจะมีศักดิ์ศรีน้อยกว่า จบช้ากว่า

เพื่อนๆ ฉันหลายคนที่ต้องออกจากการศึกษากลางคัน จำนวนหนึ่งไปเรียนต่อที่สถาบันอื่น อีกจำนวนหนึ่งกลับไปทำงาน หรือทำในสิ่งที่เขาสนใจ  เช่น ‘เม’ เพื่อนคนหนึ่งที่เคยรีไทร์ไปขายเสื้อผ้าอยู่บริเวณมหาวิทยาลัยที่เราเรียนด้วยกัน เขาเล่าให้ฟังว่า ความผิดพลาดที่ผ่านมา ทำให้เขาสู้กับการเรียนครั้งใหม่ในมหาวิทยาลัยเปิด เขาเรียนจบช้ากว่าเราเพียงปีเดียว และเขาก็มาทำงานไม่ต่างจากเรา ... เรื่องราวของเมบอกฉันว่า คนเราเรียนรู้จากความผิดพลาดได้

ไม่ได้ผิดอะไรที่คนเราจะหกล้ม หรือล้มทั้งยืน หากเรายังมีลมหายใจ เราเรียนรู้มันได้ แม้จะต้องผ่านความเจ็บปวดบ้างก็ตาม

เราถูกสอนและให้คุณค่าจากผู้อื่น คนอื่น ในด้านการศึกษาว่าต้องประสบความสำเร็จในชีวิต ด้วยการเรียนจบ ทำงานที่เงินเดือนสูงๆ มีบ้านหลังโต มีรถแพงขับ ซึ่งไปผูกติดกับการบริโภคทั้งสิ้น คุณค่าของการศึกษาในท้ายที่สุดไปจบที่การตีค่าเป็นราคา ค่าเงิน

ไม่ใช่ว่าเงินไม่สำคัญ หรือเป็นเป้าหมายสูงสุดสำหรับ “ความสำเร็จ” แต่คุณภาพอีกหลายอย่าง เช่น สุขภาพ ความสุข การมีชีวิตที่ไม่ทำร้ายตนเอง ไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน เหล่านี้ไม่ได้ถูกวัดออกมาเป็นคุณค่าเลย อีกอย่างหนึ่งคนสมัยเราอาจจะให้คุณค่าของเงินเกินกว่าที่มันเป็น คือให้เงินตีค่าเสียหมด แต่ความสุขที่จะได้ทำงาน สุขภาพที่ดีจนกว่าจะหมดอายุขัย กลับถูกมองข้าม ละเลย

ช่วงที่พระพุทธองค์ทรงพากเพียรเพื่อเรียนรู้ทางธรรมหรือหนทางแห่งการปล่อยวางอย่างที่สุด เราขอใช้คำนี้ เพราะสำหรับเราแล้ว พระพุทธองค์ทรงเรียนรู้ด้วยพระองค์เองและให้ความสำคัญทุกขณะหายใจ หลับ เดิน นั่งหรือนอน ทรงปล่อยวางจากความวิตก กังวล ความไม่สบายใจใดๆ ทั้งปวง ที่คนสมัยเรายากที่จะเรียนรู้

คนในสมัยเรา เรียนรู้เพื่อจะให้ถึงเป้าหมาย โดยละทิ้งระหว่างทางสู่เป้าหมาย ซึ่งอาจมีสาระสำคัญยิ่งกว่าเสียอีก...

ระหว่างทางที่พระพุทธองค์ทรงเรียนรู้ แม้ไม่ใช่ทุกข์ของพระองค์ แต่พระพุทธองค์เห็นทุกข์ของมนุษย์ ที่มีทั้งความอยากต่อเงินทอง อยากต่อสิ่งของของคนอื่น อยากในสิ่งที่มากเกินความต้องการ ซึ่งก่อให้เกิดความเบียดเบียนต่อผู้อื่น เบียดเบียนเพื่อมาเป็นสิ่งของๆ เรา นำมาครอบครอง ท่านครุ่นคิดถึงการละวางความอยากเหล่านั้น ไม่ใช่ว่าจะละวางได้ทันที แต่เป็นการลด ค่อยๆ ลด ในขณะเดียวกันก็เรียนรู้จิตใจของตนไปด้วย

การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เพียงแค่นั่งหลับตาแล้วตามลมหายใจ เดิน นั่ง และนอนอย่างมีสติเท่านั้น ต้องรวมการเรียนรู้ที่จะมีปัญญาในด้านอื่นๆ โดยเฉพาะการลดที่จะยึด ลดที่จะติด กับสิ่งใดๆ โดยเฉพาะตัวเราเอง ยึดกับความสำเร็จ ยึดที่จะต้องเป็นสิ่งนั้นๆ ไปด้วย สิ่งที่สำคัญสำหรับการเรียนรู้ก็คือคนรอบข้าง ทั้งเพื่อน ญาติ พี่ น้อง พ่อ แม่ เพื่อนร่วมงานที่สนับสนุนเรา และให้ข้อคิดที่ดีกับเราได้ เช่นเดียวกับการอยู่รวมกันของสงฆ์ หรือ สังฆะ ที่แปลว่าการรวมกัน “ความเป็นชุมชน” ที่ไม่ยึดกับพื้นที่ว่าต้องเป็นวัดนี้ บ้านนั้น อาศรมที่นี่เท่านั้นที่เราจะรวมกันได้ หากหมายถึงการรวมกันเพื่อเรียนรู้สู่ทางที่จะไปด้วยกัน

ทางธรรม ไม่ใช่เพียงต้องไปถึงวัดป่าสุคะโต แต่วัดป่าสุคะโตเป็นพื้นที่ที่เอื้อให้เราเดินไปสู่ทางธรรมทางหนึ่ง ... ระหว่างทาง และยังไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ สำเร็จอย่างไร คือสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกมาก

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยชอบอยู่กับตัวเอง เพราะมีความรู้สึกไม่มั่นคง อีกทั้งยังคิดว่าเราควรที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ บ้าง ในการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน การเรียน หรือกิจกรรมต่างๆ ที่มีในความสัมพันธ์  แต่เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆ จำนวนหนึ่งที่ทำงานขับเคลื่อนทางสังคมในเรื่องชีวิตทางเพศได้เข้าร่วมภาวนา หรือ Retreat ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการภาวนาเพื่อติดตามเพื่อนๆ ที่ได้ภาวนาในรุ่นต่างๆ ก่อนหน้านี้ให้ได้พบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยน ซึ่งกันและกันว่าใครเป็นอย่างไร มีสุข มีทุกข์อย่างไรบ้าง
พันธกุมภา
เมื่อมีเวลาตรวจดูสภาวะจิตใจของตัวเองในช่วงนี้แล้ว ก็เหมือนกับว่าผมได้พบกันสภาวธรรมต่างๆ ที่แปรเปลี่ยนไปหลายๆ ประการ มีเกิด มีดับ สลับกันไปในจิตแต่ละช่วงขณะ คือค่อยๆ รู้สึกตัวบ้างในบางครั้ง รู้ว่าเผลอ รู้ว่าหลง รู้ว่าประคอง ในอารมณ์ต่างๆ เช่น ความคิด ความโกรธ หรือแม้กระทั่งความอยาก
พันธกุมภา
ผมถามพี่ที่รู้จักกันท่านหนึ่งว่า "ที่คนทั่วไปไม่ค่อยปฏิบัติธรรมเพราะอะไร"และพี่ท่านนี้ก็ได้ตอบจากประสบการณ์ของตัวเอง ว่า เมื่อก่อนเค้าไม่สนใจ  เพราะเป็นเด็กจะไม่ค่อยมีความทุกข์ แต่พอโตขึ้นแล้วไม่สามารถหาคำตอบได้ในบางคำถาม แต่ธรรมะกลับตอบได้
พันธกุมภา
ถามสวัสดีค่ะเหนื่อยจัง  นอนน้อยเลยเบลอมีคำถามมาถามน้องอีกแล้วค่ะ  คือเมื่อคืนและเมื่อหลายคืนก่อน ดูละครสาปภูษา กับสุสานภูเตศวรสองเรื่องนี้มีความเหมือนกันอยู่อย่างคือ  ย้อนยุค  ทะลุมิติ  โดยมีเรื่องวิญญาณมาเกี่ยวข้องจู่ๆ ก็มีคนถามขึ้นมาว่า  เชื่อเรื่อง ชาตินี้ ชาติหน้า ไหมทำให้พี่คิดขึ้นมาว่า เออ แล้วมันจริงเหรอ เรื่องนี้น่ะไม่รู้สิคะ  ตามความคิดส่วนตัวคือ เชี่อค่ะเชื่อ เลยไม่อยากทำอะไรไม่ดีเลย  อยากสั่งสมความดี สร้างบุญเพราะเราเห็นว่ามันสุขตั้งแต่นาทีที่ทำวันก่อนอ่านหนังสือคุณ ดังตฤณ พี่คิดว่าตามแนวคิดคุณดังตฤณ  มันก็มีจริงสิคะ ชาตินี้…
พันธกุมภา
ต่อจากการตอบจดหมายเรื่องทุกข์ใจกับคนที่ไม่ชอบเรา1 ขอบคุณอย่างยิ่งค่ะอ่านแล้วรู้สึกน้ำตาจะไหล
พันธกุมภา
ช่วงที่ผ่านมา มีจดหมายจาก คุณ พรพรรณ เขียนจดหมายมาสอบถามผม 4 เรื่องดังนี้  1. การที่เราต้องอยู่ร่วมกับคนที่เขาไม่ชอบเรา หรือมีทัศนคติที่ขัดแย้งกัน  เราควรทำอย่างไร2. การแผ่เมตตา  ช่วยให้ทุกข์ที่เกิดขึ้นคลายลง ได้หรือไม่  และการแผ่เมตตามีคุณอย่างไร3. การไปปฏิบัติ  จะช่วยให้เกิดผลบุญถึงเจ้ากรรมนายเวรได้จริงหรือเปล่าคะ4. คุณน้องเต้าเชื่อเรื่องกรรม หรือไม่คะ ผมได้รับและตอบกลับดังนี้.................... สวัสดีครับ ขอบคุณที่ไว้วางใจให้ผมได้แบ่งปันนะครับแต่...สภาวะของผมอาจเป็นคนอื่น…
พันธกุมภา
 คืนนี้ ดึกแล้วครับช่วงเวลาตีสามกว่าๆ ควรเป็นเวลาที่ผมจะได้นอนหลับอย่างสงบแต่ไม่รู้ทำไม? คืนนี้จึงเกิดความรู้สึกว่าอยากจะรวมเล่มบันทึก "ธรรมใจ ไดอารี่" นี้ให้เสร็จ
พันธกุมภา
ผมเขียนเรื่องนี้ตอนเพิ่งตื่น ตอนนี้ยังไม่ได้ล้างหน้า แปรงฟัน ตาก็ดูเบลอ ทำอะไรก็เบลอๆ อยู่นิดหนึ่ง ยังไม่ค่อยมีใจอยากจะทำอะไร ความขี้เกียจเป็นเพื่อนที่ไม่หนีไปไหน ยังคงยืนอยู่ข้างๆ กายผม ไม่อยากทำอะไรเลย แม้ว่าจะมีงานมากน้อยเพียงใด ผมอยากจะหยุดเวลาไว้ตรงที่การอยู่เฉยๆ เพราะเวลาไม่ได้ทำอะไรก็ดีไปอีกอย่าง...บอกไม่ถูกครับ
พันธกุมภา
  ตอนนี้ผมพบว่าความอ่อนล้าทำให้เหนื่อยกับสิ่งกำลังทำอยู่ ไม่ว่างานจะสนุกเพียงใด แต่ถ้าอะไรหลายๆ อย่างเข้ามาในชีวิตจนไม่สามารถจัดการได้ว่าจะทำอะไรก่อนหลัง วิธีการเรียงลำดับความสำคัญของงานเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับการมีชีวิตที่สมดุลกัน
พันธกุมภา
แม่เพิ่งโทรมาถามผมว่าวันเกิดปีนี้จะทำอะไร? และเตือนว่าอย่าลืมไปทำบุญถวายพระ แถมยังบอกอีกว่าปีนี้ อยากให้ทำทานโดยการซื้อผ้าเช็ดตัวให้กับผู้เฒ่าผู้แก่และเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กๆ ในหมู่บ้าน ผมรู้สึกดีใจที่คุณแม่โทรมา เพราะอย่างน้อยแสดงว่าท่านจำวันเกิดของผมได้ แม้ว่าผมจะไม่ค่อยตื่นเต้นอะไรกับวันเกิดเพราะมันก็เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งสำหรับผม แต่ที่ไหนได้วันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตของคุณแม่ เพราะท่านได้ให้การเกิดผมมาลืมตาดูโลก
พันธกุมภา
ช่วงอาทิตย์กว่าที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่คนรอบข้างผมต้องเสียชีวิตไปมากกว่า 3 คน คนหนึ่งเสียชีวิตด้วยการยิงตัวตาย อีกคนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง และคนสุดท้ายเสียชีวิตดูความชรา การจากไปของคนรู้จักเหล่านี้ แน่นอนว่านำมาซึ่งความเสียใจ ความเศร้าโศก และมันก็ทำให้ผมคิดถึง “ความตาย” อยู่ทุกๆ ขณะ เพราะความตายนี้เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราจริงๆ ซึ่งมันเป็นการบอกย้ำธรรมชาติของชีวิตว่าชีวิตทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง
พันธกุมภา
หลังจากวันที่เริ่มบันทึกมาจนถึงวันนี้ ก็ผ่านเลยมาหลายวันแล้ว มีเรื่องราวหลายๆ อย่างเกิดขึ้นในชีวิตแต่เท่าที่สำคัญและจำได้ดีคือ ช่วงวันที่ 5 - 15 มกราคม ที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆ ที่ทำงานสุขภาวะทางเพศประมาณ 20 คนได้เข้าอบรมภาวนาภายในและการเรียนรู้โครงสร้างทางสังคม ที่บ้านสวนธารทิพย์ ซึ่งมีพี่อวยพร เขื่อนแก้ว เป็นกระบวนกรหลัก