Skip to main content

พันธกุมภา

ถึง มีนา

ช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรุ่นพี่คนหนึ่งมาหาผมที่บ้าน เราสองคนไม่ได้เจอกันมานานหลายปี พอมาเจอกันอีกหนจึงเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้พบเจอกัน รุ่นพี่คนนี้ชื่อ “นนท์” พี่นนท์ เป็นรุ่นพี่ที่เคยสอนผมเต้นเชียลีดเดอร์ เมื่อตอนเรียนมัธยมต้น อายุของพี่นนท์ห่างจากผม 2 ปี พี่นนท์เป็นคนต่างหมู่บ้าน แต่เราอยู่ในตำบลเดียวกัน

ผมค่อนข้างแปลกใจที่พี่นนท์เปลี่ยนแปลงไป ทั้งการพูด ท่าที การแสดงออก จากเมื่อก่อนที่ค่อนข้างกรี๊ดกร๊าด พูดไม่หยุด และชอบนินทาคนอื่นอยู่บ่อยๆ มาคราวนี้พี่นนท์ไม่เหมือนเดิม คือ นิ่งขึ้น ท่าทีสุขุมเยือกเย็น ไม่ทำท่ารุกรี้รุกรนตอนคุยกันเหมือนเมื่อก่อน แถมยังไม่นินทาใคร ให้ได้ยินเลย

“ตอนนี้เป็นยังไงบ้างจ๊ะลูก” พี่นนท์ถามผม หลังจากที่ผมยกมือไหว้ และผมค่อนข้างแปลกใจที่พี่เค้าเรียกผมว่าลูก ผมไม่ได้ถามกลับว่าทำไมถึงเรียกผมว่า ‘ลูก’ ผมเพียงแต่พยักหน้า ตอบและบอกว่า “สบายดีครับ ไม่ได้เจอกันนานเลย พี่สบายดีนะครับ แหม เดี๋ยวนี้เปลี่ยนแปลงเยอะเลยนะ”

“ใช่” พี่นนท์ตอบด้วยความมั่นใจ แล้วก็เล่าชีวิตของเขาที่ผ่านมา เขาบอกว่า หลังจากเรียนจบมัธยมปลายก็ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคอีสาน ตอนนั้นเป็นช่วงที่เข้าสู่วัยรุ่น และออกไปอยู่ห่างบ้านเป็นครั้งแรก ช่วงที่เรียนปี 1 ปี 2 ก็ต้องใจเรียน และโทรกลับบ้าน คุยกับคนที่บ้านบ่อยๆ แต่พอขึ้น ปี 3 ปี 4 ก็เริ่มเที่ยวกับเพื่อนๆ แล้วก็ใช้จ่ายของฟุ่มเฟือย จนต้องยืมเงินคนอื่นมา แล้วติดหนี้ในที่สุด

“นี่ไม่นับหนี้เงินกู้ยืมที่กู้นะ เวลาเงินไม่พอจ่ายก็ไปขอยืมคนอื่นๆ พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองใช้จ่ายฟุ่มเฟือยขนาดนั้น ครั้งหนึ่งมีเพื่อนชวนไปทำงานอย่างว่า แต่ดีที่ไม่ไปเพราะรู้เลยว่าเรากำลังจะเข้าไปสู่อะไร” พี่นนท์เล่ามาถึงตรงนี้ น้ำเสียงเริ่มนิ่งและอ่อนลง ดูเหมือนแกจะเริ่มปลงกับชีวิต

ชายหนุ่มรุ่นพี่ เล่าต่อว่า ตอนนั้นชีวิตทุกข์มาก เครียดและคิดมาก การเรียนก็ไม่ค่อยดีเหมือนช่วงแรกๆ เพื่อนๆ ที่เที่ยวก็ทะเลาะกัน คุยกันไม่รู้เรื่อง เลยไม่รู้ว่าจะเอายังไงดี แต่แล้วมันก็ผ่านพ้นช่วงนั้นมาได้ เพราะมีคนที่รู้จักกันอีกคนมาช่วยใช้หนี้ให้ โดยเค้าให้เราทยอยใช้หนี้เดือนละไม่มากนัก ตอนนั้นจึงเป็นโชคของตัวเอง

ผมไม่คิดเลยว่า พี่ที่ไม่เคยเจอกันมานาน เมื่อมาเจอกันอีกครา มันเหมือนมีเรื่องราวที่มาเล่าสู่กันฟังมากมายและลึกเพียงนี้ ผมได้เล่าให้พี่นนท์ฟังเรื่องชีวิตตัวเอง ทั้งการเรียน การทำงาน และความรัก – เราคุยกันไป หัวเราะไปและบางคราก็หยุดนิ่งอยู่นานเมื่อเป็นเรื่องเศร้าของอีกคนหนึ่ง

กว่า 3 ชั่วโมง ที่เราคุยกัน มีเรื่องหนึ่งที่เราคุยแล้วดูเหมือนจะทำให้ชีวิตเราอิ่มเอมใจและเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น สิ่งที่เราคุยนั้นก็คือเรื่อง “ธรรมะ” – ธรรมะที่ไม่ได้คุยถึงหลักธรรม ศีล หรือ พระไตรปิฎก แต่เป็นเรื่อง “ชีวิต” เป็นเรื่อง “ภายใน” ที่เราต่างได้เรียนรู้จากการเจริญสติ หรือ ปฏิบัติธรรม

พี่นนท์เล่าให้ฟังว่า หลังจากที่ใกล้จบปี 4 เขาได้พบกับหนังสือธรรมะของพระอาจารย์ปราโมทย์ ปราโมชโช จากนั้นเขาก็ได้อ่าน และนำหลักปฏิบัติในหนังสือมาอ่าน ซึ่งหนังสือเป็นเรื่องของการ “ดูจิต” โดยมีเนื้อหาเน้นในการปรับความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม และการเจริญสติในแนวการดูจิต

พี่นนท์ บอกว่า “พี่ค่อยๆ อ่านหนังสือทีละหน้า ไม่กล้าอ่านทั้งหมด พออ่านไปหน้าไหนก็เริ่มเอามาปฏิบัติไปทีละน้อย ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ไม่กล้าทำอะไรมาก เพราะบางเรื่องถ้าไม่ได้ทำ มันจะอ่านไม่รู้เรื่อง เลยต้องเอาทีละเล็ก ทีละน้อย”

เมื่อได้อ่านและนำมาปฏิบัติแล้ว พี่นนท์บอกว่า ชีวิตของตัวเองเปลี่ยนไปมาก รู้ทันจิตใจของตัวเอง รู้ทันอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด สุข ทุกข์ เศร้า ดีใจ เสียใจ อยู่บ่อยๆ และไม่คิดมากเหมือนอดีต ซึ่งพี่นนท์บอกว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ชนิดหักมุมอย่างที่ผมได้เห็น เป็นผลพวงมาจากหนังสือเล่มนี้นั้นเอง

พอคุยเรื่องหนังสือ เราก็พบเหมือนกันว่า เดี๋ยวนี้หนังสือธรรมะ มีเยอะมากในท้องตลาด นอกจากหนังสือที่มีแจกเป็นธรรมทานตามแหล่งต่างๆ แล้ว ก็จะมีหนังสือธรรมะขายในราคาที่ต่างกันไป และคนก็ไม่รู้สึกเสียดายเงินที่จะซื้อ ถึงแม้บางเล่มจะมีราคาสูงก็ตาม

“พี่ว่าเดี๋ยวนี้คนเข้าถึงธรรมะมากขึ้น” พี่นนท์พูดลอยๆ ออกมา แต่เป็นสิ่งที่น่าคิดมาก เพราะผมเองก็เห็นด้วยว่าคนเข้าถึงธรรมะมากขึ้น ทั้งเรื่องการเจริญสติ เรื่องหลักธรรม มีหลายรูปแบบที่มีการนำธรรมะเข้ามาเชื่อมโยงให้กับคน ทั้งทำให้เป็นเรื่องสนุก ตื่นเต้น ขำขัน หรือออกมาผ่านสื่อเวบไซต์ โปรแกรมบล็อกต่างๆ

ผมไม่ได้คิดลึกลงไปว่า สิ่งเหล่านี้เหมาะสมหรือไม่อย่างไร ทว่ากลับมองเห็นว่ายิ่งธรรมะเข้าใกล้ชีวิตคนได้มากเท่าใด ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี แม้ว่าแต่ละคนจะเรียนรู้ต่างกัน เช่น บางคนเรียนรู้จากการฟัง การอ่าน แต่การเรียนรู้เหล่านี้ก็ช่วยให้คนได้เข้าใจหลัก เข้าใจธรรมะที่นำมาปรับใช้กับชีวิตของตนเอง ตามภูมิปัญญา ภูมิธรรมของแต่ละคนที่มีอยู่ (ทั้งที่สั่งสมมาแต่อดีตกาล และปัจจุบัน)

บ่อยครั้งธรรมะถูกมองให้เป็นเรื่องไกลตัวคน มองเป็นเรื่องเครื่องรางของขลัง มองเป็นเรื่องพระ เรื่องเจ้า เพียงเท่านั้นที่ “ผูกขาด” ความรู้นี้แต่เพียงกลุ่มเดียว แต่หาใช่เป็นของคนทุกคน ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้ว ธรรมไม่ได้หมายความว่าเป็นของกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง แต่หลักธรรมนั้นเป็นของคนทุกๆ คน คือหลักสากล

ครั้งหนึ่งในพุทธกาล เมื่อ พระพุทธเจ้า ตรัสว่า “ดูกร ภิกษุทั้งหลาย.....” ภิกษุ ที่พระพุทธองค์หมายถึงคือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ชาย หญิง นี่หมายความว่า คำสอนของพระพุทธองค์ เมื่อเรียกภิกษุแล้วไม่ได้หมายความแค่ “ผู้ที่นุ่งห่มผ้าเหลือง” เพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นจุดสะท้อนว่าคนทุกคนสามารถเข้าถึงธรรมะได้เสมอกัน

ส่วนจะเข้าถึงมากน้อย ลึกตื้น หนาบาง อย่างไร ก็เป็นสิ่งที่แต่ละคนจะได้รับและเรียนรู้ ตามศักยภาพและภูมิธรรมของตนที่มี

อย่างไรก็ตามนอกจากเรื่องคนที่เข้าถึงธรรมะเยอะแล้ว อีกอย่าง ที่พี่นนท์ ถามผมว่า “คิดยังไง ที่วัยรุ่นสนใจธรรมะ เป็นค่านิยม เป็นกระแส เป็นเพียงความฮิตเท่านั้นหรือยังไง”

ผมตอบพี่นนท์ทันทีว่า “ถ้าวัยรุ่นฮิตธรรมะแล้วจะเป็นปัญหาอะไร เพราะอย่างน้อยเขาก็ได้ซึมซับเข้าไปสู่ตัวเอง ได้เข้าใกล้ธรรมะ และเมื่อเข้าถึงแล้ว บางคนไม่ชอบ ก็เป็นสิทธิในการเลือกของเขา แต่บางคนที่ชอบก็เป็นสิ่งที่เขาเลือกด้วยความเต็มใจว่าจะเดินต่อไปอย่างไร แต่ละคนก็มีเวลาที่ธรรมะจะจัดสรรแตกต่างกัน แล้วแต่ปัจจัยต่างๆ ด้วย”

พี่นนท์พยักหน้า และเสริมว่า “ผู้ใหญ่มักชอบบ่นว่าวัยรุ่นชอบฮิตอะไรแล้วจะเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่ไม่ได้มองหรือสนับสนุนให้วัยรุ่นได้ทำอะไรดีๆ จริงๆ เลย พอทำอะไรที่ไม่ดีก็ต่อว่า พอทำอะไรดีๆ ก็ว่าเป็นค่ากระแสชั่วคราว แต่ไม่มีความพยายามให้วัยรุ่นมีช่องทางที่จะทำอะไรดีๆ ต่อเนื่องเลย”

ยิ่งเมื่อพี่นนท์คุยมาถึงตรงนี้ก็ทำให้ผมคิดถึงสิ่งที่พี่มีนาเขียนเมื่อฉบับที่แล้ว ว่าจริงๆ แล้วจิตของวัยรุ่น นั้นก็ต้องเป็นสิ่งที่วัยรุ่นคนนั้นๆ จะพยุง พยายามรักษาสภาวะจิตของตัวเองต่อไป แต่ต่อข้อที่ว่า “ใจของใคร” นี่สิ ยิ่งกลับเห็นว่าผู้ใหญ่ได้เอาใจออกมาที่วัยรุ่นมากกว่าการมองใจของตนเอง ทำให้คิดแทนเด็ก กลัว กังวลใจต่างๆ นานาว่าวัยรุ่นจะทำแบบนั้นไม่ดี หรือจะทำแบบนี้ได้จริงหรือไม่

ผู้ใหญ่บางท่านไม่ได้นำใจมาสู่ตนหรือดูจิตของตัวเอง จนต้องพบกับความทุกข์ใจนานาประการ (ที่ว่าดูจิตตัวเอง ไม่ได้แปลว่าเห็นแก่ตัว หรือที่ว่าไม่ให้ผู้ใหญ่เอาใจมาไว้ที่วัยรุ่น ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้ห่วงใย หรือเข้าใจวัยรุ่นนะครับ) เพียงเพราะส่งจิตออกข้างนอก

การที่วัยรุ่นฮิตธรรมะ หรือคนทั่วไปหันมาเข้าถึงธรรมะมากขึ้นนั้น ถือเป็นสิ่งที่ดีที่ควรให้เวลา เพราะการเรียนรู้ทางธรรมเป็นสิ่งที่ควรให้เวลา ไม่ใช่ว่ารู้จักธรรมแล้วจะบรรลุธรรมในไม่กี่วินาที หรือเป็นคนดีในชั่วพริบตา ( ในพุทธกาลอาจมี แต่ปัจจุบันผมไม่แน่ใจนัก) เพราะทุกๆ อย่างต้องให้เวลา

ให้เวลาตัวเองในที่นี้คือ ให้เวลาตัวเองดูจิตของตัวเองบ่อยๆ ขึ้น รู้ตัวบ่อยขึ้น ไม่ส่งจิตออกนอก ค่อยๆ ทำไปทีละนิด ทำเหมือนดั่งคำกล่าวของพระอาจารย์ท่านหนึ่งที่สอนว่า “ให้ปฏิบัติ เหมือนไม่ได้ปฏิบัติ” คือ ทำไปแบบเล่นๆ ไม่เพ่ง ไม่กดดันตัวเอง ค่อยๆ รู้ รู้ไปทีละนิด เวลาโกรธก็รู้ เวลากลัวก็รู้ เวลาหลงก็รู้ เวลารู้ก็รู้ สักแต่ว่ารู้ไปอย่างเดียว

ค่อยๆ ทำ ไปทีละเล็ก บ่อยๆ ต่อเนื่อง สม่ำเสมอ

ท้ายที่สุดแล้ว ผมและพี่นนท์ เราต่างเป็นวัยรุ่น และเราทั้งสองก็เป็นคนที่อยู่ในกระแสฮิตธรรมะ แต่สิ่งที่ทำให้เราได้พบและเดินทางแห่งธรรมเสมอมา ก็คือ การจัดสรรธรรมะที่เข้ามาในตัวเราโดยที่เราเองต่างตอบไม่ได้ว่าทำไมเราจึงเป็นเช่นนั้น และเราก็เป็นเพียงคนที่แสวงหาบางสิ่ง ที่เราเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้....

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ผมคิดไว้มานานหลายเดือนแล้วว่า จะตั้งใจเขียน "บันทึกการเจริญสติ" ของตัวเองขึ้นมาเพราะคิดว่าคงจะดี ถ้าได้บันทึกไว้ เพื่อการเรียนรู้ของตัวเอง และคนอื่นๆ ที่สนใจ ก่อนที่จะบันทึกในกาลต่อไป ขอเล่าเรื่องการภาวนาของตัวเองก่อน....สำหรับผมแล้ว เริ่มต้นของการปฏิบัติคือเมื่อปลายปี 2549 ก็เกิดจากทุกข์ทางใจ เพราะงานเยอะ เครียด และตอนนั้นแฟนจะขอเลิก เขาเลยเสนอว่าให้ไปปฏิบัติธรรมเพื่อทำใจ จึงได้สมัครไปปฏิบัติของท่าน โกเอ็นก้า ที่ ธรรมอาภา จ.พิษณุโลก พอไปทำมา 10 วัน ก็ดีใจ ที่ทุกข์ครั้งนี้ทำให้ได้พบกับธรรมะ
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนา ปลายปี 2551 นี้ ผมมีโปรแกรมไปเจริญสติที่วัดป่าสุคะโตอีกครั้ง ภายหลังจากเมื่อสิ้นปี 2550 ที่ผ่านมาผมได้เดินทางไปที่วัดป่าสุคะโตแล้วและได้พบหลัก พบหนทาง หลายอย่างที่เหมาะสมกับตัวเองยิ่งนัก แต่การเดินทางไปครั้งนี้ไม่เหมือนปีก่อน....มีหลายเรื่องเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง ไปตามกาลเวลา สิ่งที่เข้ามารับรู้ทำให้อารมณ์ของผมเกิดขึ้นไปต่างๆ นานา และสิ่งที่เสียใจที่สุด ทำให้ใจหม่นหมองมาหลายวัน นั่นคือการมรณภาพของ "หลวงปู่" เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา เมื่อฉบับที่แล้ว ผมได้กล่าวถึงโครงการ “ธรรมทานสู่โรงพยาบาล” ที่ผมและลูกปัดไข่มุก ร่วมกันทำในนามกลุ่ม “ธรรมะทำดี” – กลุ่มที่เราสองคนร่วมกันคิด ร่วมกันก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา เพื่อการเผยแพร่ธรรมะที่เราได้พบและเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ ทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่ ที่ผ่านมา พวกเราสองคนต้องขอบคุณพี่ๆ หลายๆ ท่านที่ได้ส่งหนังสือมาให้นะครับ ตอนนี้มีคนที่มอบหนังสือมาหลายเล่ม ทั้งนิตยสาร และหนังสือธรรมะ และก็มีบางส่วนที่เราไปหาซื้อแถวจตุจักร จากเงินเก็บของเราที่มีอยู่
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง พี่มีนา  ผมหายจากหน้าจอไปนานเพราะมีงานให้ทำ จนฟกช้ำจิตใจไปทั่วเลย ไม่ค่อยมีเวลาได้พัก เพราะงานที่ผมรัก ทำให้ผมต้องใช้กำลังกายและความคิดมากเหลือล้น ผมจึงเป็นดั่งคนที่นำเอาพลังชีวิตในอนาคตมาใช้ ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าจะพอมีเรี่ยวแรงเหลือใช้หรือไม่ในกาลต่อไป เฮ้อ...แต่ที่จะเล่าให้พี่ฟังครานี้ก็คือ ช่วงที่ผ่านมาผมและ “ลูกปัดไข่มุก” ได้ไปจัดห้องสนทนาธรรมชื่อห้องว่า “ห้องธรรมตามใจ” เนื่องในงานเพศศึกษาวิชาการขององค์การแพธ แล้วมีเรื่องที่น่าสนใจมากมาย ทว่าในฉบับนี้อยากเอาคำคมชวนคิดที่ “ลูกปัดไข่มุก” และผมได้ช่วยกันคิดและเขียนขึ้นมาบอกเล่าต่อ ดังนี้ครับ 1.…
พันธกุมภา
มีนา ถึง...น้อง พันธกุมภา ความขี้เกียจมันไม่เข้าใคร ออกใครจริงๆ ... แต่ตอนนี้ต้องเริ่มลุกขึ้นมาทำงานแล้ว เพราะคนที่อดทนไม่ได้เมื่อเราไม่ทำงานก็คือ “แม่” ของเราเอง แม่ของพี่ เป็นภาพสะท้อนของคนจีนในเมืองไทย รุ่นที่ 2 ที่ยังคง ลำบาก ทำงานหนัก และถือปรัชญาพุทธ “ขงจื๊อ” ในเรื่องการทำงานว่าต้องมี ความซื่อสัตย์ ไม่เอารัดเอาเปรียบ ความขยัน อดทน และอดออม แม่มีทุกอย่างจริงๆ แต่พี่อาจจะไม่มีทุกอย่าง อย่างที่แม่มี เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่เรามีความเหมือนและความต่าง แม้เราจะเติบโตมาท่ามกลางครอบครัวที่สอนให้เราเป็นคนค้าขาย เราอาจจะไม่ได้อยากค้าขาย ครอบครัวสอนให้เราทำงานหนัก…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาช่วงนี้เป็นเวลาพักของพี่ ช่างเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากๆ ในความรู้สึก... แต่พี่อดคิดถึงน้องไม่ได้... แล้ววันหนึ่ง... โดยที่ไม่คาดคิด เราก็มาพบกันโดยที่มิได้คาดหมายหรือนัดกันไว้ก่อน พี่อดคิดไม่ได้ว่า ชีวิตคนเราช่างแปลกจริงๆ เราก็มาพบกันจนได้ เพราะความไม่สบายของพี่ชายเพื่อนของเรา ส่วนตัวพี่ไปบ้านนั้นเพราะต้องการไปดูแลตัวเองนอกจากได้ไปดูแลตัวเองและพบกับน้องแล้ว พี่ยังได้พบกับเพื่อนอีกหลายคน ที่ไม่ได้พบกันนานที่นั่น ใครหลายคนบอกว่า โลกมันช่างแคบ ถ้าเรารู้จักคนนี้ เราก็จะรู้จักคนนั้น แต่อาจจะไม่ใช่ในช่วงเวลาเดียวกันเท่านั้นเองการพักผ่อนของพี่ ก็คงเหมือนกับคนทั่วๆ…
พันธกุมภา
มีนา ถึง...พันธกุมภา ตั้งแต่ตกงาน พี่ยังไม่ได้หยุดงานเลย พี่พบว่าโลกปัจจุบันมีงานอยู่หลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่าใครจะนิยามมันว่าเป็นงานอย่างไร สำหรับชีวิตพี่ตอนนี้ มีงานแบบที่ถูกให้คุณค่าทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม และงานที่ไม่ได้ถูกให้ค่าเชิงเศรษฐกิจแต่จำเป็นต้องทำ อันนี้ยังไม่ได้นับรวมเรื่องทางธรรมที่พี่ไปพบมา คืองานที่ทำแล้วไม่มีคุณค่าทางโลกแต่ได้ “บุญ” คิดดูสิว่า... ในโลกเรามีงานมากมายขนาดไหน งานที่พี่ลาออกมาเพื่อขอพัก พี่ยังไม่ได้พักเลยจนกระทั่งบัดนี้ เพราะพี่ทำแต่งานที่ไม่ให้ค่าทางเศรษฐกิจ อย่าง การดูแลแม่ งานบ้าน และการดูแลบ้าน และยังงานอื่นๆ ที่ต้องเกี่ยวข้องกับครอบครัว…
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา ผมขอแสดงความดีกับพี่สาวของผมด้วยนะครับ ที่มีโอกาสได้พักผ่อน แม้ว่าหลายคนจะบอกว่าการที่เราตกงานนั้นเปรียบเสมือนการพายเรือในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่เคว้งคว้างไม่รู้ว่าจะมีหนทางในงานใหม่อย่างไรได้อีก ผมทราบดีว่าพี่คงจะเหนื่อยจากการทำงานมิน้อยเลย และเชื่อว่าการได้รับมอบหมายงานเยอะคงไม่ใช่สาเหตุของการออกจากงานหรอกใช่ไหมครับ ผมรู้ว่าจดหมายหลายฉบับที่พี่ได้เขียนมาบอกเล่านั้นมันสะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้กับวิถีชีวิตความเป็นคนในเมืองหลวง และรวมถึงการต้องสัมพันธ์กับคนมากหน้าหลายตา ที่มีตัวตนแตกต่างกันไป การที่เราทำงานที่เรารัก…
พันธกุมภา
มีนา  ถึง พันธกุมภา พี่กำลังจะเป็นคนตกงานค่ะ... ฉันกำลังจะเป็นคนตกงานค่ะ เดือนสิงหาคมนี้เป็นเดือนสุดท้ายสำหรับการทำงานอย่างเป็นทางการของฉัน ญาติพี่น้อง... เจ้านาย... เพื่อนร่วมงาน... เพื่อน... ต่างเป็นห่วงเป็นใยกลัวว่าพี่จะว่าง กลัวว่าฉันจะไม่มีงานทำ ไม่มีเงินใช้ ตอนที่ฉันทำงาน พวกเขาต่างให้ความห่วง ความกังวล ว่าฉันทำงานหนักเกินไป  คนและสังคมสมัยนี้ให้คุณค่ากับการทำงานมากกว่าคุณค่าของความว่างงาน พี่เคยมีประสบการณ์การตกงานมาก่อนหน้านี้แล้ว ครั้งนั้นพี่ยังไม่สามารถปล่อยวางเรื่องการว่างงานได้ แต่ครั้งนี้ พี่พยายามปล่อยวางเรื่องการงานในปัจจุบันเพื่อพบกับความว่าง …
พันธกุมภา
  พันธกุมภาถึง มีนาเมื่อฉบับที่แล้วพี่มีนาได้กล่าวถึงเรื่องการ "ปล่อยวาง" ซึ่งผมมองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งของการปฏิบัติธรรม เพราะหาไม่แล้วเราก็เป็นเพียงแค่ผู้เผชิญกับความสุขที่จิตใจเกิดขึ้นโดยที่หลงยึดติดอย่างไม่ทันรู้ตัวทั่วถ้วนสิ่งที่ผมอยากจะเน้นย้ำในที่นี้ก็คือ เรื่องการปล่อยวาง หรือ การวางเฉย ซึ่งคล้ายกับภาษาธรรมที่เรียกว่า "อุเบกขา" นี้ ถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง เพราะอย่างที่เราได้รู้กันมานั้นก็คือ ในการปฏิบัติธรรมนั้น ถือว่ามีด้วยกัน 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ การทำสมถะ และการทำวิปัสสนา เท่าที่รู้, การทำสมถะ คือ การทำให้จิตสงบ ทำให้จิตนิ่ง…
พันธกุมภา
มีนา สวัสดี พันธกุมภา รู้ว่าน้องสบายดี พี่ก็ยินดีไปด้วย การดำรงชีวิตอย่างมีสติไม่ใช่เรื่องง่าย พี่ก็ว่างบ้างไม่ว่างบ้าง เพียงแต่ช่วงเวลาที่น้องไม่ว่าง บังเอิญพี่ว่าง ซึ่งเป็นเรื่องดีที่เราจะมีจังหวะชีวิตที่แตกต่างกัน และทำให้การเขียนงานลงตัว พี่ยังคิดอยู่ว่า ถ้าไม่ว่างขึ้นมาพร้อมๆ กัน คงมีปัญหาแน่ๆ สำหรับพี่ ความแตกต่างจึงน่าสนใจ เช่นเดียวกับฤดูที่แตกต่าง ชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ ช่วงสัปดาห์ที่น้องกำลังมีความสุขอยู่นั้น ชีวิตของพี่เหน็ดเหนื่อยและผจญกับความทุกข์ของคนอื่น แล้วยึดมาเป็นความทุกข์ของตนเอง ... บางทีพี่ก็คิดว่า ทำไมเราจึงเป็นคนอย่างนั้นไปได้ และทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่…
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา สวัสดีครับพี่มีนา เป็นอะไรไปถึงไหนอย่างไรบ้างครับ หวังว่าพี่จะสบายดีมีสติในทุกๆ ความสนุกนะครับ อืม...จะว่าไปแล้วเราก็ไม่ได้ตอบรับจดหมายกันนานทีเดียว บางทีพี่ก็ว่างมากมายจนผมรู้สึกอิจฉาตาร้อน และผมเองบางทีก็ว่างนิดหน่อย พอมีเวลามานั่งขีดเขียน เวียนวนให้พี่ได้ยลได้ติดตามอยู่เนืองๆ ช่วงที่ผ่านมาวันเข้าพรรษา ผมพาตัวเองไปเข้าวัดมาครับ แถวๆ เกาะสีชัง ได้ไปกับคนที่รักและใช้ชีวิต “ดูจิต” สนทนาธรรมและดื่มด่ำบรรยากาศอบอุ่นจากไอทะเล ทำกับข้าวกินกันริมชายฝั่ง นั่งนับดาวยามราตรี มีเวลาก็ขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวรอบเกาะ หาซื้อเงาะ ซื้อทุเรียนมานั่งกิน รินน้ำเปล่าชนกัน…