Skip to main content

มีนา

ถึง พันธกุมภา

พี่ชอบจดหมายรักฉบับนี้มาก เมื่ออ่านแล้วรู้สึกได้ถึงความรักที่สดใส และความเป็นคน “ธรรมดา” ของน้องที่ผ่านมา พี่ออกจะห่วงใยอยู่ลึกๆ ว่าน้องจะรีบโตมากไปหรือเปล่า รีบที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต รีบมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากไปไหม...จนอาจจะทำให้พลาดความสดใส ความรัก หรือสิ่งต่างๆ ที่เราน่าจะได้เรียนรู้ และเดินผ่านมันมาด้วยความสง่างาม หรือเจ็บปวดไปบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่ต้องเรียนรู้

พี่ก็ผ่านช่วงเวลา “หวาน” “ขมๆ” ของชีวิตมาบ้าง เช่นเดียวกับคนทั่วๆ ไป ที่มักจะมีความรักที่สมหวัง ผิดหวัง ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป พี่มักเลือกที่จะจดจำสิ่งที่ดี  ส่วนประสบการณ์ที่ไม่ดีก็เป็นสิ่งที่สอนให้เรารู้จักไตร่ตรอง เรียนรู้อย่างเท่าทัน... พี่ก็เคยมีชีวิตวัยเด็ก และวัยรุ่น เช่นเดียวกับน้อง...ไม่ต่างกัน ในความเหมือนมีความต่าง ในความต่างมีความเหมือน…ต่างเป็นภาพสะท้อน

หากความรักเป็นสิ่งที่งดงามแล้ว คนมักตั้งคำถามกับ “ความใคร่” และ “ความสุขนิรันดร์” ส่วนมากเมื่อคนมีความรัก มักตั้งคำถามว่า “เอ? นี่เรากำลังสุขหรือทุกข์อยู่” หลายคนไม่ได้ถามตรงไปตรงมาขนาดนี้ แต่อาจจะถามว่า “ทำไม เขาไม่โทรมาหาเรา” “วันนี้เราโทรหากันกี่ครั้งแล้ว” “ทำไม เขาพูดไม่ดีกับเรานะ” “เขาพูดคำนี้...หมายความว่าอย่างไร” คำถามมากมาย หากคิดง่ายๆ คือ เราเอาใจไปจดจ่อกับอีกคนหนึ่ง ว่าเขาคิดอย่างไรกับเรา

ความรักที่เราไปรักคนอื่นก็เพื่อให้เขากลับมารักเรา มันเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า? หลายครั้ง ความรักคือความหวังของชีวิตมนุษย์ หวังว่าสักวันหนึ่งจะได้แต่งงานและมีความสุขตลอดไป หากความรักเป็น “สุขนิรันดร์” คือความสุขที่อยู่สม่ำเสมอ คนจำนวนมากคงเลือกที่จะมีรัก เพราะสุขและไม่ทุกข์

แต่ในความเป็นจริง ความรักของหนุ่มสาว หนุ่มหนุ่ม สาวสาว เพศใดๆ ก็ตาม ต่างเต็มไปด้วยการเล่นเกมที่ต้องเอาชนะกัน มีอารมณ์ทั้งบวกและลบต่อกัน ความคาดหวังต่อกัน ไม่เพียงแค่ความต้องการทางเพศ แต่ยังมีความต้องการอื่นๆ ที่ต่างคาดหวังและต้องการจากกันและกัน

เราหวังว่าเขาจะโทรมาหาเราตลอด เพราะเรารู้สึกว่าเขาต้องง้อเรา เราหวังว่าเขาจะดูแลเราเป็นอย่างดี เพราะเราเป็นคนดีขนาดนี้ สวย/หล่อขนาดนี้ พ่อแม่เลี้ยงดูเรามาเป็นอย่างดีขนาดนี้ เรายอมให้เขามาใกล้ชิดสนิทสนมก็เป็นบุญของเขาแล้วนะ... ส่วนมากมักคิดกันเช่นนี้

แล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ? ความรักแบบที่คนหนึ่งต้องคอยติดตามอีกคนหนึ่งตลอดเวลา ความรักไม่ใช่เรื่องที่ต่างก็ห่วงใย ใส่ใจ ซึ่งกันและกันหรือ มีด้วยหรือความรักที่บริสุทธิ์ ไม่คาดหวัง ไม่หวังสิ่งตอบแทน แม้กระทั่งความรักตอบ

คนสมัยเรามักตีค่าความรักเป็นสิ่งของ เงิน รางวัล หน้าตาทางสังคม เมื่อมีคนมาให้สิ่งของกับเรา เรามักนึกว่าคนๆ นั้นรักเรา เพราะเราถูกทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นความเคยชิน การแสดงความรักจากพ่อแม่คือรางวัล ตั้งแต่เด็ก เราได้จักรยานคันใหม่ ของเล่นชิ้นใหม่ โทรศัพท์เครื่องใหม่ ก็ต่อเมื่อเราทำตัวดี น่ารัก และพ่อแม่ก็ย้ำเตือนในสิ่งนั้น เราจึงซึมซับมาว่าหากจะแสดงความรัก เราก็แสดงออกด้วยการซื้อของบางอย่างให้คนๆ นั้น

แล้วความห่วงใย ความหวังดี ความห่วงหา อาทรต่อกัน มันอยู่ที่ไหน ... คนมักถามถึงความรักที่บริสุทธิ์ ความสุขนิรันดร์

เพื่อนคนหนึ่งของพี่เธอเป็น “ผู้หญิง” ที่เคยผ่านการคบหากับทั้งผู้ชาย และผู้หญิง มาแล้ว เธอบอกเสมอว่า เธอมีรักที่บริสุทธิ์ เพราะเธอไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับบรรดาแฟนๆ เหล่านั้นเลยสักคน นับรวมทั้งผู้หญิงและผู้ชายก็ 6-7 คน ซึ่งต่างก็อาจจะหวังว่าน่าจะ “มีอะไรกัน” สักวัน แต่เมื่อคบหากันไป 1-2 ปี เพื่อนก็มักเลิกรากับแฟนๆ เหล่านั้น เธอบอกว่า เธอเป็นคนบอกลาคนเหล่านั้นเอง

การเป็นคนบอกลา สำหรับคนทั่วไปหมายถึงการที่เป็นคนชี้ว่าความรักครั้งนี้ ใครเป็นคนที่ถูกรักมากกว่า จริงหรือ? คำถามนี้น่าจะท้าทายคนหลายคน เพราะพี่เองเห็นหลายคู่ที่ฝ่ายหนึ่งยอมรอให้อีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนบอกเลิก เนื่องจากรู้สึกว่าถ้าเป็นฝ่ายบอกก่อนก็จะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต น้อยคู่ที่จะคิดว่า การบอกลากันในสถานภาพ “คุ๋รัก” อาจทำให้ทั้งเราและเขาเริ่มต้นใหม่ได้ ทั้งเริ่มต้นการใช้ชีวิตคู่กับคนที่เข้ากันได้มากกว่า เริ่มต้นการเป็นเพื่อนที่ดีกับคนรักเก่า ที่อาจจะเข้ากันในฐานะแฟนไม่ได้แต่เป็นเพื่อนได้

สำหรับเพื่อนคนนี้ เธอมักคิดไปเองว่า เธอเป็นคนที่ถูกรักมากมาย ความรักบริสุทธิ์ (ปราศจากเพศสัมพันธ์) ของเธอสุดแสนจะน่ายกย่อง แต่ในความเป้นจริงแล้ว เธอเต็มไปด้วยความคาดหวัง หวัง...ที่จะมีชีวิตคู่ที่ดี คนรอบข้างและตัวเธอเองไม่อยากผิดหวัง กลัวว่าจะผิดหวัง ไม่เป็นไปตามสิ่งที่เธอหวังและตั้งใจ จะเป็นคนดีและไม่ผิดพลาดเรื่องคู่มาตลอด เธออธิบายว่า แม้ว่าเธอจะมีแฟนหลายคน คบทั้งสองเพศแต่เธอก็ไม่เคยทำให้ครอบครัวผิดหวังเลย

พี่มักบอกเธอว่า สิ่งใดก็ตามที่มนุษย์คนนั้นๆ กลัว เราจะต้องผ่านมันไปให้ได้ โดยเฉพาะความผิดหวังที่มีต่อตนเอง

ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ พระสงฆ์ที่มีความเข้าใจในเรื่องชาวบ้าน มักเป็นพระที่ผ่านประสบการณ์ทางโลกมาพอสมควร อาจจะผ่านการมีครอบครัว การมีคู่รัก หรือการแต่งงานมาก่อน มักยอมรับและเห็นการเปลี่ยบนแปลงเป็นเรื่องธรรมดา แต่พระที่บวชตั้งแต่ยังเด็ก มักพบความท้าทายกับความต้องการทางเพศ เรื่องเงิน และผ่านสิ่งเหล่านี้ไปไม่ง่ายเลย

โดยเฉพาะเมื่อโลกปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ข่าวสารและสังคม รวมทั้งสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนอย่างมากมายมหาศาล แต่ความรู้ ความคิด และการตีความทางพระพุทธศาสนาหลายๆ ประเด็น ไม่สามารถทำให้คนทั่วไปเข้าใจ และเท่าทันโลกอย่างเท่าทัน ส่งผลให้คนที่ยึดกรอบ ติดกับ (กับดัก) และไม่มีความเข้าใจที่ลึกซึ้ง และปราศจากกรอบทางสังคมบางอย่างไปได้ ก็จะอยู่ในโลกอย่างยากลำบาก

สำหรับพี่แล้ว เพื่อนคนนี้ “ไม่” แม้แต่รู้ว่ากำลังรักใคร รักอย่างไร ไม่รู้ว่าตนเองคาดหวังอะไร เพื่อจะเดินผ่านมันออกมาจากสิ่งเหล่านั้น แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาต้องผ่าน เช่นเดียวกับน้อง ที่กล้ากระโดดออกมาตะโกนว่า “...มาระบายเรื่องรัก” สำหรับพี่ นับเป็นเรื่องที่ดี เพราะมันง่ายมาก แค่...ยอมรับมัน แล้วมันก็จะผ่านไป

ความรักทำให้หัวใจเต้นแรง แต่ถ้ามันเต้นแรงอยู่อย่างนั้น เราก็อาจจะตายได้ง่ายๆ ชีวิตคนเรามีเรื่องสุขก็ชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วครั้ง ไม่มีใครทุกข์แสนทุกข์จนยิ้มไม่ออก ไม่มีใครสุขเพราะรักอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน เราส่วนมากคงอยู่ในชีวิตที่ธรรมดาๆ มากกว่า อย่าให้อะไรมาดึงเราไปอยู่กับสิ่งนอกตัวมากมายอย่างทุกวันนี้มากนักเลย ขอให้มีสติอยู่กับตัว กับชีวิตธรรมดาๆ อย่างทั่วพร้อม เท่านี้ก็น่าจะดีนะ...

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ผมคิดไว้มานานหลายเดือนแล้วว่า จะตั้งใจเขียน "บันทึกการเจริญสติ" ของตัวเองขึ้นมาเพราะคิดว่าคงจะดี ถ้าได้บันทึกไว้ เพื่อการเรียนรู้ของตัวเอง และคนอื่นๆ ที่สนใจ ก่อนที่จะบันทึกในกาลต่อไป ขอเล่าเรื่องการภาวนาของตัวเองก่อน....สำหรับผมแล้ว เริ่มต้นของการปฏิบัติคือเมื่อปลายปี 2549 ก็เกิดจากทุกข์ทางใจ เพราะงานเยอะ เครียด และตอนนั้นแฟนจะขอเลิก เขาเลยเสนอว่าให้ไปปฏิบัติธรรมเพื่อทำใจ จึงได้สมัครไปปฏิบัติของท่าน โกเอ็นก้า ที่ ธรรมอาภา จ.พิษณุโลก พอไปทำมา 10 วัน ก็ดีใจ ที่ทุกข์ครั้งนี้ทำให้ได้พบกับธรรมะ
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนา ปลายปี 2551 นี้ ผมมีโปรแกรมไปเจริญสติที่วัดป่าสุคะโตอีกครั้ง ภายหลังจากเมื่อสิ้นปี 2550 ที่ผ่านมาผมได้เดินทางไปที่วัดป่าสุคะโตแล้วและได้พบหลัก พบหนทาง หลายอย่างที่เหมาะสมกับตัวเองยิ่งนัก แต่การเดินทางไปครั้งนี้ไม่เหมือนปีก่อน....มีหลายเรื่องเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง ไปตามกาลเวลา สิ่งที่เข้ามารับรู้ทำให้อารมณ์ของผมเกิดขึ้นไปต่างๆ นานา และสิ่งที่เสียใจที่สุด ทำให้ใจหม่นหมองมาหลายวัน นั่นคือการมรณภาพของ "หลวงปู่" เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา เมื่อฉบับที่แล้ว ผมได้กล่าวถึงโครงการ “ธรรมทานสู่โรงพยาบาล” ที่ผมและลูกปัดไข่มุก ร่วมกันทำในนามกลุ่ม “ธรรมะทำดี” – กลุ่มที่เราสองคนร่วมกันคิด ร่วมกันก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา เพื่อการเผยแพร่ธรรมะที่เราได้พบและเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ ทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่ ที่ผ่านมา พวกเราสองคนต้องขอบคุณพี่ๆ หลายๆ ท่านที่ได้ส่งหนังสือมาให้นะครับ ตอนนี้มีคนที่มอบหนังสือมาหลายเล่ม ทั้งนิตยสาร และหนังสือธรรมะ และก็มีบางส่วนที่เราไปหาซื้อแถวจตุจักร จากเงินเก็บของเราที่มีอยู่
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง พี่มีนา  ผมหายจากหน้าจอไปนานเพราะมีงานให้ทำ จนฟกช้ำจิตใจไปทั่วเลย ไม่ค่อยมีเวลาได้พัก เพราะงานที่ผมรัก ทำให้ผมต้องใช้กำลังกายและความคิดมากเหลือล้น ผมจึงเป็นดั่งคนที่นำเอาพลังชีวิตในอนาคตมาใช้ ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าจะพอมีเรี่ยวแรงเหลือใช้หรือไม่ในกาลต่อไป เฮ้อ...แต่ที่จะเล่าให้พี่ฟังครานี้ก็คือ ช่วงที่ผ่านมาผมและ “ลูกปัดไข่มุก” ได้ไปจัดห้องสนทนาธรรมชื่อห้องว่า “ห้องธรรมตามใจ” เนื่องในงานเพศศึกษาวิชาการขององค์การแพธ แล้วมีเรื่องที่น่าสนใจมากมาย ทว่าในฉบับนี้อยากเอาคำคมชวนคิดที่ “ลูกปัดไข่มุก” และผมได้ช่วยกันคิดและเขียนขึ้นมาบอกเล่าต่อ ดังนี้ครับ 1.…
พันธกุมภา
มีนา ถึง...น้อง พันธกุมภา ความขี้เกียจมันไม่เข้าใคร ออกใครจริงๆ ... แต่ตอนนี้ต้องเริ่มลุกขึ้นมาทำงานแล้ว เพราะคนที่อดทนไม่ได้เมื่อเราไม่ทำงานก็คือ “แม่” ของเราเอง แม่ของพี่ เป็นภาพสะท้อนของคนจีนในเมืองไทย รุ่นที่ 2 ที่ยังคง ลำบาก ทำงานหนัก และถือปรัชญาพุทธ “ขงจื๊อ” ในเรื่องการทำงานว่าต้องมี ความซื่อสัตย์ ไม่เอารัดเอาเปรียบ ความขยัน อดทน และอดออม แม่มีทุกอย่างจริงๆ แต่พี่อาจจะไม่มีทุกอย่าง อย่างที่แม่มี เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่เรามีความเหมือนและความต่าง แม้เราจะเติบโตมาท่ามกลางครอบครัวที่สอนให้เราเป็นคนค้าขาย เราอาจจะไม่ได้อยากค้าขาย ครอบครัวสอนให้เราทำงานหนัก…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาช่วงนี้เป็นเวลาพักของพี่ ช่างเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากๆ ในความรู้สึก... แต่พี่อดคิดถึงน้องไม่ได้... แล้ววันหนึ่ง... โดยที่ไม่คาดคิด เราก็มาพบกันโดยที่มิได้คาดหมายหรือนัดกันไว้ก่อน พี่อดคิดไม่ได้ว่า ชีวิตคนเราช่างแปลกจริงๆ เราก็มาพบกันจนได้ เพราะความไม่สบายของพี่ชายเพื่อนของเรา ส่วนตัวพี่ไปบ้านนั้นเพราะต้องการไปดูแลตัวเองนอกจากได้ไปดูแลตัวเองและพบกับน้องแล้ว พี่ยังได้พบกับเพื่อนอีกหลายคน ที่ไม่ได้พบกันนานที่นั่น ใครหลายคนบอกว่า โลกมันช่างแคบ ถ้าเรารู้จักคนนี้ เราก็จะรู้จักคนนั้น แต่อาจจะไม่ใช่ในช่วงเวลาเดียวกันเท่านั้นเองการพักผ่อนของพี่ ก็คงเหมือนกับคนทั่วๆ…
พันธกุมภา
มีนา ถึง...พันธกุมภา ตั้งแต่ตกงาน พี่ยังไม่ได้หยุดงานเลย พี่พบว่าโลกปัจจุบันมีงานอยู่หลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่าใครจะนิยามมันว่าเป็นงานอย่างไร สำหรับชีวิตพี่ตอนนี้ มีงานแบบที่ถูกให้คุณค่าทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม และงานที่ไม่ได้ถูกให้ค่าเชิงเศรษฐกิจแต่จำเป็นต้องทำ อันนี้ยังไม่ได้นับรวมเรื่องทางธรรมที่พี่ไปพบมา คืองานที่ทำแล้วไม่มีคุณค่าทางโลกแต่ได้ “บุญ” คิดดูสิว่า... ในโลกเรามีงานมากมายขนาดไหน งานที่พี่ลาออกมาเพื่อขอพัก พี่ยังไม่ได้พักเลยจนกระทั่งบัดนี้ เพราะพี่ทำแต่งานที่ไม่ให้ค่าทางเศรษฐกิจ อย่าง การดูแลแม่ งานบ้าน และการดูแลบ้าน และยังงานอื่นๆ ที่ต้องเกี่ยวข้องกับครอบครัว…
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา ผมขอแสดงความดีกับพี่สาวของผมด้วยนะครับ ที่มีโอกาสได้พักผ่อน แม้ว่าหลายคนจะบอกว่าการที่เราตกงานนั้นเปรียบเสมือนการพายเรือในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่เคว้งคว้างไม่รู้ว่าจะมีหนทางในงานใหม่อย่างไรได้อีก ผมทราบดีว่าพี่คงจะเหนื่อยจากการทำงานมิน้อยเลย และเชื่อว่าการได้รับมอบหมายงานเยอะคงไม่ใช่สาเหตุของการออกจากงานหรอกใช่ไหมครับ ผมรู้ว่าจดหมายหลายฉบับที่พี่ได้เขียนมาบอกเล่านั้นมันสะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้กับวิถีชีวิตความเป็นคนในเมืองหลวง และรวมถึงการต้องสัมพันธ์กับคนมากหน้าหลายตา ที่มีตัวตนแตกต่างกันไป การที่เราทำงานที่เรารัก…
พันธกุมภา
มีนา  ถึง พันธกุมภา พี่กำลังจะเป็นคนตกงานค่ะ... ฉันกำลังจะเป็นคนตกงานค่ะ เดือนสิงหาคมนี้เป็นเดือนสุดท้ายสำหรับการทำงานอย่างเป็นทางการของฉัน ญาติพี่น้อง... เจ้านาย... เพื่อนร่วมงาน... เพื่อน... ต่างเป็นห่วงเป็นใยกลัวว่าพี่จะว่าง กลัวว่าฉันจะไม่มีงานทำ ไม่มีเงินใช้ ตอนที่ฉันทำงาน พวกเขาต่างให้ความห่วง ความกังวล ว่าฉันทำงานหนักเกินไป  คนและสังคมสมัยนี้ให้คุณค่ากับการทำงานมากกว่าคุณค่าของความว่างงาน พี่เคยมีประสบการณ์การตกงานมาก่อนหน้านี้แล้ว ครั้งนั้นพี่ยังไม่สามารถปล่อยวางเรื่องการว่างงานได้ แต่ครั้งนี้ พี่พยายามปล่อยวางเรื่องการงานในปัจจุบันเพื่อพบกับความว่าง …
พันธกุมภา
  พันธกุมภาถึง มีนาเมื่อฉบับที่แล้วพี่มีนาได้กล่าวถึงเรื่องการ "ปล่อยวาง" ซึ่งผมมองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งของการปฏิบัติธรรม เพราะหาไม่แล้วเราก็เป็นเพียงแค่ผู้เผชิญกับความสุขที่จิตใจเกิดขึ้นโดยที่หลงยึดติดอย่างไม่ทันรู้ตัวทั่วถ้วนสิ่งที่ผมอยากจะเน้นย้ำในที่นี้ก็คือ เรื่องการปล่อยวาง หรือ การวางเฉย ซึ่งคล้ายกับภาษาธรรมที่เรียกว่า "อุเบกขา" นี้ ถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง เพราะอย่างที่เราได้รู้กันมานั้นก็คือ ในการปฏิบัติธรรมนั้น ถือว่ามีด้วยกัน 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ การทำสมถะ และการทำวิปัสสนา เท่าที่รู้, การทำสมถะ คือ การทำให้จิตสงบ ทำให้จิตนิ่ง…
พันธกุมภา
มีนา สวัสดี พันธกุมภา รู้ว่าน้องสบายดี พี่ก็ยินดีไปด้วย การดำรงชีวิตอย่างมีสติไม่ใช่เรื่องง่าย พี่ก็ว่างบ้างไม่ว่างบ้าง เพียงแต่ช่วงเวลาที่น้องไม่ว่าง บังเอิญพี่ว่าง ซึ่งเป็นเรื่องดีที่เราจะมีจังหวะชีวิตที่แตกต่างกัน และทำให้การเขียนงานลงตัว พี่ยังคิดอยู่ว่า ถ้าไม่ว่างขึ้นมาพร้อมๆ กัน คงมีปัญหาแน่ๆ สำหรับพี่ ความแตกต่างจึงน่าสนใจ เช่นเดียวกับฤดูที่แตกต่าง ชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ ช่วงสัปดาห์ที่น้องกำลังมีความสุขอยู่นั้น ชีวิตของพี่เหน็ดเหนื่อยและผจญกับความทุกข์ของคนอื่น แล้วยึดมาเป็นความทุกข์ของตนเอง ... บางทีพี่ก็คิดว่า ทำไมเราจึงเป็นคนอย่างนั้นไปได้ และทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่…
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา สวัสดีครับพี่มีนา เป็นอะไรไปถึงไหนอย่างไรบ้างครับ หวังว่าพี่จะสบายดีมีสติในทุกๆ ความสนุกนะครับ อืม...จะว่าไปแล้วเราก็ไม่ได้ตอบรับจดหมายกันนานทีเดียว บางทีพี่ก็ว่างมากมายจนผมรู้สึกอิจฉาตาร้อน และผมเองบางทีก็ว่างนิดหน่อย พอมีเวลามานั่งขีดเขียน เวียนวนให้พี่ได้ยลได้ติดตามอยู่เนืองๆ ช่วงที่ผ่านมาวันเข้าพรรษา ผมพาตัวเองไปเข้าวัดมาครับ แถวๆ เกาะสีชัง ได้ไปกับคนที่รักและใช้ชีวิต “ดูจิต” สนทนาธรรมและดื่มด่ำบรรยากาศอบอุ่นจากไอทะเล ทำกับข้าวกินกันริมชายฝั่ง นั่งนับดาวยามราตรี มีเวลาก็ขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวรอบเกาะ หาซื้อเงาะ ซื้อทุเรียนมานั่งกิน รินน้ำเปล่าชนกัน…