Skip to main content

มีนา

ถึง พันธกุมภา

พี่ชอบจดหมายรักฉบับนี้มาก เมื่ออ่านแล้วรู้สึกได้ถึงความรักที่สดใส และความเป็นคน “ธรรมดา” ของน้องที่ผ่านมา พี่ออกจะห่วงใยอยู่ลึกๆ ว่าน้องจะรีบโตมากไปหรือเปล่า รีบที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต รีบมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากไปไหม...จนอาจจะทำให้พลาดความสดใส ความรัก หรือสิ่งต่างๆ ที่เราน่าจะได้เรียนรู้ และเดินผ่านมันมาด้วยความสง่างาม หรือเจ็บปวดไปบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่ต้องเรียนรู้

พี่ก็ผ่านช่วงเวลา “หวาน” “ขมๆ” ของชีวิตมาบ้าง เช่นเดียวกับคนทั่วๆ ไป ที่มักจะมีความรักที่สมหวัง ผิดหวัง ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป พี่มักเลือกที่จะจดจำสิ่งที่ดี  ส่วนประสบการณ์ที่ไม่ดีก็เป็นสิ่งที่สอนให้เรารู้จักไตร่ตรอง เรียนรู้อย่างเท่าทัน... พี่ก็เคยมีชีวิตวัยเด็ก และวัยรุ่น เช่นเดียวกับน้อง...ไม่ต่างกัน ในความเหมือนมีความต่าง ในความต่างมีความเหมือน…ต่างเป็นภาพสะท้อน

หากความรักเป็นสิ่งที่งดงามแล้ว คนมักตั้งคำถามกับ “ความใคร่” และ “ความสุขนิรันดร์” ส่วนมากเมื่อคนมีความรัก มักตั้งคำถามว่า “เอ? นี่เรากำลังสุขหรือทุกข์อยู่” หลายคนไม่ได้ถามตรงไปตรงมาขนาดนี้ แต่อาจจะถามว่า “ทำไม เขาไม่โทรมาหาเรา” “วันนี้เราโทรหากันกี่ครั้งแล้ว” “ทำไม เขาพูดไม่ดีกับเรานะ” “เขาพูดคำนี้...หมายความว่าอย่างไร” คำถามมากมาย หากคิดง่ายๆ คือ เราเอาใจไปจดจ่อกับอีกคนหนึ่ง ว่าเขาคิดอย่างไรกับเรา

ความรักที่เราไปรักคนอื่นก็เพื่อให้เขากลับมารักเรา มันเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า? หลายครั้ง ความรักคือความหวังของชีวิตมนุษย์ หวังว่าสักวันหนึ่งจะได้แต่งงานและมีความสุขตลอดไป หากความรักเป็น “สุขนิรันดร์” คือความสุขที่อยู่สม่ำเสมอ คนจำนวนมากคงเลือกที่จะมีรัก เพราะสุขและไม่ทุกข์

แต่ในความเป็นจริง ความรักของหนุ่มสาว หนุ่มหนุ่ม สาวสาว เพศใดๆ ก็ตาม ต่างเต็มไปด้วยการเล่นเกมที่ต้องเอาชนะกัน มีอารมณ์ทั้งบวกและลบต่อกัน ความคาดหวังต่อกัน ไม่เพียงแค่ความต้องการทางเพศ แต่ยังมีความต้องการอื่นๆ ที่ต่างคาดหวังและต้องการจากกันและกัน

เราหวังว่าเขาจะโทรมาหาเราตลอด เพราะเรารู้สึกว่าเขาต้องง้อเรา เราหวังว่าเขาจะดูแลเราเป็นอย่างดี เพราะเราเป็นคนดีขนาดนี้ สวย/หล่อขนาดนี้ พ่อแม่เลี้ยงดูเรามาเป็นอย่างดีขนาดนี้ เรายอมให้เขามาใกล้ชิดสนิทสนมก็เป็นบุญของเขาแล้วนะ... ส่วนมากมักคิดกันเช่นนี้

แล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ? ความรักแบบที่คนหนึ่งต้องคอยติดตามอีกคนหนึ่งตลอดเวลา ความรักไม่ใช่เรื่องที่ต่างก็ห่วงใย ใส่ใจ ซึ่งกันและกันหรือ มีด้วยหรือความรักที่บริสุทธิ์ ไม่คาดหวัง ไม่หวังสิ่งตอบแทน แม้กระทั่งความรักตอบ

คนสมัยเรามักตีค่าความรักเป็นสิ่งของ เงิน รางวัล หน้าตาทางสังคม เมื่อมีคนมาให้สิ่งของกับเรา เรามักนึกว่าคนๆ นั้นรักเรา เพราะเราถูกทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นความเคยชิน การแสดงความรักจากพ่อแม่คือรางวัล ตั้งแต่เด็ก เราได้จักรยานคันใหม่ ของเล่นชิ้นใหม่ โทรศัพท์เครื่องใหม่ ก็ต่อเมื่อเราทำตัวดี น่ารัก และพ่อแม่ก็ย้ำเตือนในสิ่งนั้น เราจึงซึมซับมาว่าหากจะแสดงความรัก เราก็แสดงออกด้วยการซื้อของบางอย่างให้คนๆ นั้น

แล้วความห่วงใย ความหวังดี ความห่วงหา อาทรต่อกัน มันอยู่ที่ไหน ... คนมักถามถึงความรักที่บริสุทธิ์ ความสุขนิรันดร์

เพื่อนคนหนึ่งของพี่เธอเป็น “ผู้หญิง” ที่เคยผ่านการคบหากับทั้งผู้ชาย และผู้หญิง มาแล้ว เธอบอกเสมอว่า เธอมีรักที่บริสุทธิ์ เพราะเธอไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับบรรดาแฟนๆ เหล่านั้นเลยสักคน นับรวมทั้งผู้หญิงและผู้ชายก็ 6-7 คน ซึ่งต่างก็อาจจะหวังว่าน่าจะ “มีอะไรกัน” สักวัน แต่เมื่อคบหากันไป 1-2 ปี เพื่อนก็มักเลิกรากับแฟนๆ เหล่านั้น เธอบอกว่า เธอเป็นคนบอกลาคนเหล่านั้นเอง

การเป็นคนบอกลา สำหรับคนทั่วไปหมายถึงการที่เป็นคนชี้ว่าความรักครั้งนี้ ใครเป็นคนที่ถูกรักมากกว่า จริงหรือ? คำถามนี้น่าจะท้าทายคนหลายคน เพราะพี่เองเห็นหลายคู่ที่ฝ่ายหนึ่งยอมรอให้อีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนบอกเลิก เนื่องจากรู้สึกว่าถ้าเป็นฝ่ายบอกก่อนก็จะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต น้อยคู่ที่จะคิดว่า การบอกลากันในสถานภาพ “คุ๋รัก” อาจทำให้ทั้งเราและเขาเริ่มต้นใหม่ได้ ทั้งเริ่มต้นการใช้ชีวิตคู่กับคนที่เข้ากันได้มากกว่า เริ่มต้นการเป็นเพื่อนที่ดีกับคนรักเก่า ที่อาจจะเข้ากันในฐานะแฟนไม่ได้แต่เป็นเพื่อนได้

สำหรับเพื่อนคนนี้ เธอมักคิดไปเองว่า เธอเป็นคนที่ถูกรักมากมาย ความรักบริสุทธิ์ (ปราศจากเพศสัมพันธ์) ของเธอสุดแสนจะน่ายกย่อง แต่ในความเป้นจริงแล้ว เธอเต็มไปด้วยความคาดหวัง หวัง...ที่จะมีชีวิตคู่ที่ดี คนรอบข้างและตัวเธอเองไม่อยากผิดหวัง กลัวว่าจะผิดหวัง ไม่เป็นไปตามสิ่งที่เธอหวังและตั้งใจ จะเป็นคนดีและไม่ผิดพลาดเรื่องคู่มาตลอด เธออธิบายว่า แม้ว่าเธอจะมีแฟนหลายคน คบทั้งสองเพศแต่เธอก็ไม่เคยทำให้ครอบครัวผิดหวังเลย

พี่มักบอกเธอว่า สิ่งใดก็ตามที่มนุษย์คนนั้นๆ กลัว เราจะต้องผ่านมันไปให้ได้ โดยเฉพาะความผิดหวังที่มีต่อตนเอง

ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ พระสงฆ์ที่มีความเข้าใจในเรื่องชาวบ้าน มักเป็นพระที่ผ่านประสบการณ์ทางโลกมาพอสมควร อาจจะผ่านการมีครอบครัว การมีคู่รัก หรือการแต่งงานมาก่อน มักยอมรับและเห็นการเปลี่ยบนแปลงเป็นเรื่องธรรมดา แต่พระที่บวชตั้งแต่ยังเด็ก มักพบความท้าทายกับความต้องการทางเพศ เรื่องเงิน และผ่านสิ่งเหล่านี้ไปไม่ง่ายเลย

โดยเฉพาะเมื่อโลกปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ข่าวสารและสังคม รวมทั้งสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนอย่างมากมายมหาศาล แต่ความรู้ ความคิด และการตีความทางพระพุทธศาสนาหลายๆ ประเด็น ไม่สามารถทำให้คนทั่วไปเข้าใจ และเท่าทันโลกอย่างเท่าทัน ส่งผลให้คนที่ยึดกรอบ ติดกับ (กับดัก) และไม่มีความเข้าใจที่ลึกซึ้ง และปราศจากกรอบทางสังคมบางอย่างไปได้ ก็จะอยู่ในโลกอย่างยากลำบาก

สำหรับพี่แล้ว เพื่อนคนนี้ “ไม่” แม้แต่รู้ว่ากำลังรักใคร รักอย่างไร ไม่รู้ว่าตนเองคาดหวังอะไร เพื่อจะเดินผ่านมันออกมาจากสิ่งเหล่านั้น แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาต้องผ่าน เช่นเดียวกับน้อง ที่กล้ากระโดดออกมาตะโกนว่า “...มาระบายเรื่องรัก” สำหรับพี่ นับเป็นเรื่องที่ดี เพราะมันง่ายมาก แค่...ยอมรับมัน แล้วมันก็จะผ่านไป

ความรักทำให้หัวใจเต้นแรง แต่ถ้ามันเต้นแรงอยู่อย่างนั้น เราก็อาจจะตายได้ง่ายๆ ชีวิตคนเรามีเรื่องสุขก็ชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วครั้ง ไม่มีใครทุกข์แสนทุกข์จนยิ้มไม่ออก ไม่มีใครสุขเพราะรักอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน เราส่วนมากคงอยู่ในชีวิตที่ธรรมดาๆ มากกว่า อย่าให้อะไรมาดึงเราไปอยู่กับสิ่งนอกตัวมากมายอย่างทุกวันนี้มากนักเลย ขอให้มีสติอยู่กับตัว กับชีวิตธรรมดาๆ อย่างทั่วพร้อม เท่านี้ก็น่าจะดีนะ...

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา เมื่อได้ยิน...... “ทำไมคุณโง่แบบนี้” “งานชุ่ยๆ แบบนี้เหรอที่ทำเต็มที่แล้ว” “มีหัวไว้ใส่หมวกเปล่าๆ” สารพัดมากมาย คำด่าทอที่เรามักไม่ชอบ – ในที่นี้ก็มีผมอยู่ด้วยแหละครับ เวลาที่มีใครมาต่อว่า มานินทาในทางร้ายๆ แล้วมักจะต้องเดือดร้อนเป็นฝืนเป็นไฟอยู่เสมอ อืม...คิดในใจ นี่ไม่ใช่ตัวเรา เราไม่ได้เป็นคนแบบนั้น เราไม่ใช่คนอย่างที่เขาว่านะ..... ขณะที่คำชม อาทิ “คุณทำงานเก่งจัง” “ทำได้แค่นี้ สุดยอดเลยทีเดียว ยอดเยี่ยมมากๆ๐ “คิดได้แค่นี้ ก็เจ๋งเลย” คำพูดชื่นชม เยินยอในทางบวกเหล่านี้ หลายคนไม่ปฏิเสธ หรือไม่ได้มีท่าทีต่อต้านเหมือนคำพูดร้ายๆ หรือลบๆ แต่กลับมองว่าใช่ๆ…
พันธกุมภา
มีนา ถึง พันธกุมภา มีเรื่องอยากเล่าให้พันธกุมภาฟัง... ช่วงที่ห่างหายกันไป พี่ยังติดตามข่าวคราวการทำงาน การเดินทาง และระลึกถึงเธออยู่เสมอ เพียงแค่รู้ว่าเธอสบายดี พี่ก็สบายใจ เมื่อไม่นานมานี้ พี่เดินทางไปเชียงใหม่ ไปกับกลุ่มคนที่คุ้นเคยบ้าง ไม่คุ้นเคยกันบ้าง หลายคนเคยรู้จักกันมาก่อน หลายคนไม่ได้รู้จัก แม้ว่าจะรู้จักก็ตาม ก็ไม่ได้ลึกซึ้งถึงเรื่องด้านในต่อกัน ไม่เหมือนเพื่อนบางคน แม้ว่าจะไม่ได้พบเจอกันมากนัก แต่เราก็ยังสนิทใจมากกว่า รู้สึกสัมผัสได้ถึงความอาทรที่มีต่อกัน...อย่างน้อง
พันธกุมภา
มีนา ถึง พันธกุมภา จดหมายฉบับก่อน พี่เล่าเรื่องความรักของแม่ที่มีต่อลูกคนหนึ่ง และยังติดใจในสาส์นของท่านดาไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณ ชาวธิเบตอยู่ ... เมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ่ง พี่อยากจะให้น้องและเพื่อน คนรู้จักหลายๆ คนได้อ่านมันอย่างพิจารณาหลายๆ ครั้ง หลายข้อของสาส์นฉบับนี้ เป็นความรักที่มีต่อตนเอง รักตนเอง แบบที่ไม่ได้ตามใจตนเอง ไม่ตามใจในสิ่งที่บำรุงบำเรอให้ตนเองให้ได้ทุกสิ่งที่ตนต้องการ โดยเฉพาะข้อแรกเป็นสิ่งที่ท่านลามะผู้ยิ่งใหญ่ได้ตักเตือนคนสมัยใหม่ได้อย่างเฉียบคม (ระลึกเสมอว่า การจะได้พบความรักและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็ต้องประสบกับความเสี่ยงอันมหาศาลดุจกัน)…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาพี่ได้รับจดหมายที่ส่งต่อๆ กันมา (Forward mail) ฉบับด้านล่างนี้ เป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา (เพราะนี่เข้าเดือนที่ 6ของปีแล้ว...)“สาส์นจากท่าน Dalai Lama ที่ได้กล่าวไว้สำหรับปี 2008 นี้ แล้ว…คุณจะได้พบกับสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ที่คุณจะยินดีมากข้อแนะนำในการดำเนินชีวิต
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาพี่ชอบจดหมายรักฉบับนี้มาก เมื่ออ่านแล้วรู้สึกได้ถึงความรักที่สดใส และความเป็นคน “ธรรมดา” ของน้องที่ผ่านมา พี่ออกจะห่วงใยอยู่ลึกๆ ว่าน้องจะรีบโตมากไปหรือเปล่า รีบที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต รีบมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากไปไหม...จนอาจจะทำให้พลาดความสดใส ความรัก หรือสิ่งต่างๆ ที่เราน่าจะได้เรียนรู้ และเดินผ่านมันมาด้วยความสง่างาม หรือเจ็บปวดไปบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่ต้องเรียนรู้พี่ก็ผ่านช่วงเวลา “หวาน” “ขมๆ” ของชีวิตมาบ้าง เช่นเดียวกับคนทั่วๆ ไป ที่มักจะมีความรักที่สมหวัง ผิดหวัง ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป พี่มักเลือกที่จะจดจำสิ่งที่ดี …
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาอย่าเพิ่งตกใจนะครับพี่ที่ผมจะขอระบายเรื่องรัก ให้พี่รับรู้.....
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาอายุ...วัย หากเราเพียงแบ่งแค่ผู้ใหญ่กับเด็กเหมือนกับสังคมทั่วๆ ไปเขามองกัน เราอาจจะมองเห็นคนแค่ 3 กลุ่มในช่วงชีวิต คือเด็ก วัยทำงาน และผู้ใหญ่ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงของชีวิต ทั้งการเข้าสู่การเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิตทั่วไป เราต้องเคารพคนที่อายุมากกว่าเราหรืออาจจะต้องนับถือคนที่อายุน้อยกว่าเราแต่มีคุณสมบัติมากกว่าคุณสมบัติทั้งการศึกษา การใช้ภาษาอังกฤษ ครอบครัวมีฐานะดี พ่อแม่เลี้ยงดูมาอย่างดี ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ พี่ขอเรียกว่าเป็น “คุณสมบัติทางโลก” ซึ่งอาจจะไม่ใช่ “ความดี” ที่เมื่อก่อนได้รับการให้คุณค่าอย่างสูง ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัยใด ความดีไม่มีอายุ หากแบ่งแยกกับความไม่ดี/…
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรุ่นพี่คนหนึ่งมาหาผมที่บ้าน เราสองคนไม่ได้เจอกันมานานหลายปี พอมาเจอกันอีกหนจึงเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้พบเจอกัน รุ่นพี่คนนี้ชื่อ “นนท์” พี่นนท์ เป็นรุ่นพี่ที่เคยสอนผมเต้นเชียลีดเดอร์ เมื่อตอนเรียนมัธยมต้น อายุของพี่นนท์ห่างจากผม 2 ปี พี่นนท์เป็นคนต่างหมู่บ้าน แต่เราอยู่ในตำบลเดียวกัน ผมค่อนข้างแปลกใจที่พี่นนท์เปลี่ยนแปลงไป ทั้งการพูด ท่าที การแสดงออก จากเมื่อก่อนที่ค่อนข้างกรี๊ดกร๊าด พูดไม่หยุด และชอบนินทาคนอื่นอยู่บ่อยๆ มาคราวนี้พี่นนท์ไม่เหมือนเดิม คือ นิ่งขึ้น ท่าทีสุขุมเยือกเย็น ไม่ทำท่ารุกรี้รุกรนตอนคุยกันเหมือนเมื่อก่อน…
พันธกุมภา
มีนาถึง...ลูกปัดไข่มุกและพันธกุมภาความระลึกถึงวัยเยาว์เมื่อครั้งยังเป็นเด็กสาวสดใสอย่างลูกปัดไข่มุก อดรู้สึกไม่ได้ว่าน้องช่างมี “ทาง” ที่ดีเสียจริง น้องได้เติบโตจากครอบครัวที่หล่อหลอมสิ่งที่ดีงามให้ ทั้งการทำบุญ ทาน และเสริมให้สร้างบารมี ต้องขอบคุณแม่และพ่อที่ปูทางที่ดีให้กับลูก หากมีธรรมแล้ว ไม่ต้องกลัวเลยว่าเด็กสาวและคนรุ่นใหม่จะไม่เติบโตอย่างมีรากเหง้า รู้คิด เพราะกระบวนการเรียนรู้เหล่านี้ไม่ใช่แค่ได้ “ความรู้” หากยังได้ “สติ” และ “ปัญญา” ซึ่งความรู้สมัยใหม่ไม่มีความลึกซึ้งพอเมื่อเราปฏิบัติหรือยังไม่ปฏิบัติก็ตาม เรามักยึดติดกับตัวตน (Ego) และเราไม่ได้พยายามลดมัน…
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาผมได้อ่านเรื่องราวของ “ลูกปัดไข่มุก” แล้ว ขออนุโมทนากับน้องอย่างยิ่ง และยังรู้สึกยินดีกับสิ่งที่น้องได้กระทำลงไป และได้พบการหนทางที่จะนำพาความสุข สงบมาให้กับตนเอง เป็นการเรียนรู้จากตัวเอง มากกว่าการเรียนรู้จากคนอื่นๆ ที่เล่าให้ฟังสู่กันมาการได้ทำสมาธินั้นได้ช่วยให้น้องได้พบกับจิตที่สงบ และเป็นจิตที่นิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้จิตใจเริ่มปรับความละเอียดเพิ่มขึ้น สู่การเจริญสติในระดับต่างๆ ต่อไป....จะว่าไปแล้ว เดี๋ยวนี้ วัยรุ่นรุ่นเดียวกับเราๆ ก็หันมาสนใจเรื่องทางธรรมเยอะเหมือนกันนะ, ช่วงหนึ่งก็มีคนมาถามผมว่า วัยรุ่นสนใจธรรมะเพิ่มขึ้น เป็นกระแสที่ดีแบบนี้ คิดยังไง?…
พันธกุมภา
ลูกปัดไข่มุก ถึง พี่พันธกุมภา และ พี่มีนา....   “เส้นทางที่เรากำลังพยายามจะมุ่งไปอยู่นี้ มันคือหนทางแห่งความสุขและความสำเร็จที่แท้จริงของเราจริงๆหรอ” ....นั่นคือความคิดที่ฉันคิดมาตลอด ฉันโชคดีที่ได้เกิดมาท่ามกลางครอบครัวที่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในวันว่างๆ เรามักจะได้ไปวัดแทนการไปเที่ยวเสมอๆ ซึ่งด้วยความเป็นเด็ก ฉันจึงไม่คิดว่ามันดีนัก.....จะว่าไปฉันทำบุญมาตั้งแต่จำความได้ เพราะถูกสั่งสอนมาให้ทำแบบนั้น ว่าถ้าทำบุญเยอะๆ จะได้ไปสวรรค์ ถ้าทำบาปก็จะตกนรก รวมถึงนิทานต่างๆที่แม่ได้เล่าให้ฟังมาตลอด ฉันจึงพูดได้เต็มปากว่า ฉันเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาจุดหมายปลายทาง การเดินทางธรรมของเธอครั้งนี้อยู่ที่วัดป่าสุคะโต ที่...ซึ่งฉันไม่เคยไป หากหลายคนอยากไป ก็คงไม่ได้คิดถึงเรื่องการเดินทาง หากมักนึกถึงปลายทาง และในที่สุด...แม้รู้ว่าเธออาจจะเดินทางถึงวัดป่าสุคะโตแน่นอน เธอก็น่าจะเรียนรู้ระหว่างทางดังที่เธอเล่าให้เราฟังฉันเคยพูดถึงเรื่องความกลัวระหว่างการเดินทาง “ในความกลัว” มาก่อนแล้ว ด้านหนึ่งฉันนึกเสมอว่า คนธรรมดาทั่วไปอย่างฉัน ร่ำเรียนมาด้วยวิธีคิดแบบมีเป้าหมาย โดยไม่สนใจระหว่างทาง หรือกระบวนการเรียนรู้ก่อนที่จะถึงเป้าหมาย ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว “ระหว่างทาง” เป็นสิ่งสำคัญมาก…