Skip to main content

มีนา

ถึง พันธกุมภา

พี่ได้รับจดหมายที่ส่งต่อๆ กันมา (Forward mail) ฉบับด้านล่างนี้ เป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา (เพราะนี่เข้าเดือนที่ 6ของปีแล้ว...)

“สาส์นจากท่าน Dalai Lama ที่ได้กล่าวไว้สำหรับปี 2008 นี้ แล้ว…คุณจะได้พบกับสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ที่คุณจะยินดีมาก
ข้อแนะนำในการดำเนินชีวิต

1. ระลึกเสมอว่า การจะได้พบความรักและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็ต้องประสบกับความเสี่ยงอันมหาศาลดุจกัน
2. เมื่อคุณแพ้ อย่าลืมเก็บไว้เป็นบทเรียน
3. จงปฏิบัติตาม 3 R
          3.1 เคารพตนเอง (Respect for self)
          3.2 เคารพผู้อื่น  (Respect for others)
          3.3 รับผิดชอบต่อการกระทำของตน (Responsibility for all your actions)
4. จงจำไว้ว่า การที่ไม่ทำตามใจปรารถนาของตนบางครั้งก็ให้โชคอย่างน่ามหัศจรรย์
5. จงเรียนรู้กฎ เพื่อจะทราบวิธีการฝ่าฝืนอย่างเหมาะสม
6. จงอย่าปล่อยให้การทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อย มาทำลายมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ของคุณ
7. เมื่อคุณรู้ว่าทำผิด จงอย่ารอช้าที่จะแก้ไข
8. จงใช้เวลาในการอยู่ลำพังผู้เดียวในแต่ละวัน
9. จงอ้าแขนรับการเปลี่ยนแปลง  แต่อย่าปล่อยให้คุณค่าของคุณหลุดลอยจากไป
10. จงระลึกไว้ว่า บางครั้งความเงียบก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุด
11. จงดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อที่ว่าเมื่อคุณสูงวัยขึ้นและคิดหวนกลับมาคุณจะสามารถมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำลงไปได้อีกครั้ง
12. บรรยากาศอันอบอุ่นในครอบครัวเป็นพื้นฐานสำคัญของชีวิต
13. เมื่อเกิดขัดใจกับคนที่คุณรัก ให้หยุดไว้แค่เรื่องปัจจุบัน อย่าขุดคุ้ยเรื่องในอดีต
14. จงแบ่งปันความรู้ เพื่อเป็นหนทางก้าวสู่ความเป็นอมตะ
15. จงสุภาพกับโลกใบนี้
16. จงหาโอกาสท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่คุณไม่เคยไป อย่างน้อยก็ปีละครั้ง
17. จำไว้ว่า ความสัมพันธ์ที่ดีที่สุด คือความรักมิใช่ความใคร่
18. จงตัดสินความสำเร็จของตนด้วยสิ่งที่ต้องเสียสละ
19. จงเข้าใกล้ความรักด้วยการปล่อยวาง”

ท่านดาไล ลามะ (บางคนเรียก ทะไล ลามะ) ผู้นำทางจิตวิญญาณแห่งพระพุทธศาสนาจากธิเบต ท่านเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณให้กับคนทั่วไป ไม่เพียงแค่คนในธิเบตเท่านั้น ยังมีผู้คนที่นับถือและเคารพท่าน ทั้งคนที่เป็นพุทธศาสนิกชน และผู้นับถือศาสนาอื่นๆ และผู้ไม่นับถือศาสนาใดๆ ก็นับถือตัวท่าน

ท่านได้ให้สาส์นที่น่าสนใจเกี่ยวกับ “ความรัก” เมื่อเพื่อนส่งการ์ดอวยพรอันนี้มาให้พี่อีกครั้ง พี่จึงอดไม่ได้ที่จะเอามาฝากน้องพันธกุมภา หลายข้อ โดยเฉพาะเรื่องความรักจากผู้นำชาวพุทธท่านนี้ เป็นเรื่องที่คนพุทธส่วนมากตั้งคำถามอย่างมากมาย เราเคยถูกสอนมาตลอดว่า ความรัก ความใคร่ เป็นสิ่งที่ไม่ดี คือถูกอธิบายด้วยคำว่า “ตัณหา” หรือความอยาก

สำหรับพี่...ความอยากที่ไม่ได้ไปทำร้ายผู้อื่น ไม่ได้ก้าวล่วงผู้อื่น ถือเป็นสิ่งที่ไม่ได้ผิดอะไร แต่เมื่อใดที่ความอยากไปบดบังหรือเบียดเบียนผู้อื่นและทำร้ายตนเอง พี่...ก็คงไม่มีความสุขนัก

ข้อ 17 และข้อ 19 (ด้านบน) เป็นการกล่าวถึง “ความรัก” อย่างมีสติ แต่...ใครสักกี่คนที่จะมีความรักอย่างมีสติ ถึงแม้จะมีสติก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า ความรักจะปราศจากอารมณ์ ความรู้สึกดีใจ เสียใจ อารมณ์ที่พาไปเหล่านี้ต่างหากที่เราต้องรู้เท่า รู้ทัน เมื่อเรารู้เท่าทันแล้วเราจึงจะปล่อยวางมันได้

ความรักของคนหนุ่ม คนสาว เด็ก หรือผู้ใหญ่ก็ตาม ไม่ได้อยู่ที่อายุของผู้รักหรือผู้ถูกรัก ไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณเป็นคนรัก หรือคนที่ถูกรัก แต่อยู่ที่คุณดำเนินความรักนั้นไปอย่างมีสติ รู้เท่าทันหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของความรักแบบที่แม่รักลูก ลูกรักแม่ แฟน สามี-ภรรยา คนที่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน เพื่อน ญาติพี่น้องรักกัน หรือความรักในรูปแบบอื่นๆ ที่ไม่อาจจำกัดด้วยคำพูดและการเขียน

ครอบครัวที่ฉันรู้จักครอบครัวหนึ่ง เป็นครอบครัวคนจีน แม่รักลูกชายคนโตมาก รักอย่างอธิบายไม่ได้ ไม่มีเหตุผล ... ความรักมักเป็นเช่นนี้ อย่าเอาเหตุผลมาอธิบายเลย... ลูกสาวอีกสองคนเสมือนเป็นองค์ประกอบหนึ่งในชีวิตของแม่เท่านั้น แม้อย่างนั้นแม่ก็ได้ให้ในสิ่งที่ควรจะให้กับลูกทุกๆ คนคือการศึกษา ส่วนเรื่องทรัพย์สินทั้งหลายทั้งปวง รวมทั้งชีวิตของแม่ แม่ได้มอบให้กับลูกชายคนนี้

วันหนึ่งเมื่อลูกชายมีความรักกับผู้หญิงที่มาเป็นภรรยา แม่...รู้สึกสูญเสียความสำคัญที่เธอเคยเป็นที่หนึ่งในใจของลูกรัก เธอจึงเอาเรื่องทรัพย์สินที่ให้ลูกชายดูแลมาเป็นเงื่อนไขสำคัญ เพื่อต่อรองกับความรักที่ลูกน่าจะมีต่อแม่ เธอ...คาดหวังว่า สิ่งที่เธอรักและหวังดีมาตลอดกับลูกชายนั้นจะทำให้ลูกชายหันกลับมาให้ความสำคัญกับเธอเหมือนเดิม...เหมือนเมื่อเขายังเด็ก

เมล็ดพันธุ์แห่งความรักนั้น เธอได้บ่มเพาะให้กับลูกชายที่รักมาเนิ่นนาน แต่เธอยังไม่ได้เรียนรู้แม้อายุล่วงเลยมากว่า 60 ปีว่า เธอเพาะเมล็ด แต่อาหารที่เขาเลือกเมื่อกำลังโต อากาศที่เขาหายใจเมื่อเติบใหญ่ เพื่อนที่เขาคบ ชีวิตด้านอื่นๆ ที่เขามี เป็นอย่างไร พูดง่ายๆ ก็คือ คนปลูกต้นไม้ แต่ต้นไม้ก็เติบโตด้วยต้นไม้เอง ยิ่งถ้าไม่รู้ว่าเราปลูกต้นอะไร แม้จะหวังให้มีผลผลิต แต่เมื่อต้นไม้นั้นเติบโตก็อาจจะไม่ได้มีผล ดอก หรือสิ่งใดเลย แม้แต่ร่มเงา

และหากแม่ผู้นี้ ไม่ได้เรียนรู้ที่จะมีสติรับกับต้นไม้ที่ปลูกแต่ไม่ได้ให้ผลอย่างที่เธอคาดหวังไว้ เธอ...จะตัดมันทิ้งเช่นนั้นหรือ เธอ...เลือกที่จะไม่ตัดมันและยังเลี้ยงดู ยังใส่ปุ๋ย พรวนดิน เหน็ดเหนื่อยกับการดูแลต้นไม้ต้นนี้ อย่างไม่มีเงื่อนไข เพราะความรัก...อย่างขาดสติ

คนเป็นแม่ เป็นพ่อ หรือคนปลูกต้นไม้ น่าจะมีวิธีเลี้ยงดู และเรียนรู้ร่วมกันไป...

ฉันเคยได้คุยกับคนปลูกต้นผลไม้ ทั้งมะม่วง ลิ้นจี่ และอื่นๆ เขาบอกว่า แรกๆ เมื่อผลไม้ไม่ให้ผล เขาก็จะเลือกต้นที่ให้ผลไว้ และเรียนรู้ว่า ทำไมมันจึงให้ผล แรกๆ เขาอาจจะใส่ปุ๋ย รดน้ำ พรวนดิน ช่วยให้ผลมันออก จะมากหรือน้อยเขาก็ยอมรับว่ามันจะออกแค่นั้น ผ่านมาหลายๆ ปีเขาจึงรู้ว่า  หากจะให้ออกดอก-ผลอย่างจริงจัง เขาต้องตัด เล็ม กิ่งก้าน รดน้ำ ตามดูอย่างใกล้ขิด  หากฝนมามาก กรดน้ำก็จะมาก ปีนั้นผลที่ได้ก็จะน้อยหรือไม่มีเลย แต่ถ้าน้ำพอดี ปุ๋ยพอดี ไม่มากเกินไป ก็จะให้ผลผลิตที่ดี

การเลี้ยงลูก รักลูกก็อาจจะเปรียบได้กับการดูแลต้นไม้ หากให้อะไรมากเกินไป อย่างการให้เงินมากกินไป เอาเงินเลี้ยงลูก ลูกก็จะไม่อยากทำงาน เพราะไม่รู้ว่าจะทำเพื่อให้ได้อะไร ในเมื่อพ่อแม่ก็สามารถเลี้ยงเขาได้ตลอดชีวิต  แม้โตแล้วจะให้ต้นไม้...ลูก เติบโตเองทั้งหมดก็ไม่ใช่ ต้องเล็มกิ่ง ตัดบ้าง แต่งบ้าง อบรม...เลี้ยงดู...ว่ากล่าว ตำหนิ ในสิ่งท่ำไม่ถูกบ้าง ก็เป็นสิ่งที่แม่...คนปลูกต้นไม้ควรจะทำ ไม่ใช่เมื่อเติบโตก็ปล่อยไปตามยถากรรม ซึ่งก็ต้องทำให้พอดี เพราะการเข้าไปเจ้ากี้เจ้าการในชีวิต หรือใส่ปุ๋ยหลายขนานมากเกินไป ลูกและต้นไม้ก็อาจจะเฉาตายได้

มาบัดนี้แม่คนนี้เพิ่งจะเริ่มเรียนรู้ เมื่ออายุจะเข้า 70 ว่าเธอเลี้ยงลูกผิดๆ รักลูกอย่างแย่ๆ แต่ก็ไม่สายเกินไป แม้ไม้อ่อนจะดัดง่าย ไม้แข็งจะดัดยาก แต่ก็ยังมีไม้ให้ดัด เธอ...ไม่ได้ตัดทิ้งหรือถอนรากโคน แต่เรียนรู้ที่จะค่อยๆ ดัด ... เป็นการเรียนรู้ที่จะรักทั้งสองฝ่ายอย่างน่าสนใจ    

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
มีเรื่องหนึ่ง ที่อยากเตือนตัวเองมากๆ นั่นคือว่านักภาวนาหลายๆ คน พอภาวนาไปแล้ว ก็เริ่มคิดว่าเป็นนักภาวนา บางทีเราก็หลงไปสร้างภาพความเป็นคนดีขึ้นมาทันที จนลืมนึกถึงไปว่าเราภาวนาเพื่อเห็นความจริง และความจริงนี้ก็เป็นความจริงธรรมดาของกายและใจเท่านั้นเอง
พันธกุมภา
ช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา ผมตั้งใจอธิษฐานในการภาวนาในรูปแบบอิริยาบถ เดิน ยืน นั่ง หรือ “เนสักชิก” ซึ่งเป็นธุดงควัตร นั้นหมายความว่าช่วงกลางคืนผมจะไม่นอนหลับ แต่จะเจริญสติอย่างต่อเนื่องตั้งแต่หัวค่ำจนถึงช่วงสว่าง และใช้ชีวิตต่ออย่างปกติ
พันธกุมภา
สำหรับเรื่องป่าเขา มีเรื่องหนึ่งที่ผมจำได้ ตอนนั้นในการเข้าร่วมคอร์สภาวนาแห่งหนึ่ง อาจารย์ผู้นำกระบวนการ ได้เชื้อเชิญให้ผู้เข้าร่วมทุกคน ได้ร่วมหาคำตอบของชีวิตโดยการเข้าไปในป่า และอยู่ตรงนั้นเพื่อหาคำตอบให้กับชีวิตของตัวเอง โดยการอยู่เงียบๆ และอยู่กับตัวเองคนเดียวให้มากที่สุด ไม่พูดไม่คุยกับใคร และรอคำตอบที่เกิดขึ้นในใจของเรา
พันธกุมภา
ชีวิตในการอยู่ท่ามกลางขุนเขา ป่าไม้ ร่มไพร ลำธาร เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ได้มีอากาสเฝ้ามองใจของตัวเองได้อย่างลึกซึ้ง เป็นบรรยากาศที่เห็นอาการต่างๆ เกิดขึ้น แปรเปลี่ยนไป ตามการปรุงแต่งของอารมณ์และสิ่งที่เข้ามากระทบภายนอก ทั้งการดูผ่านตา ได้ยินผ่านหู ได้กลิ่นผ่านจมูก ก็ตาม
พันธกุมภา
ผมชอบเดินทางไปในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเพราะจะทำให้จิตใจตัวเองเกิดอารมณ์ต่างๆ มากมาย ทั้งที่ไม่ค่อยจะเกิด เช่น ความขุ่นเคืองใจในการตากแดด ความกลัวจากการเดินในป่าช้า ความเหนื่อยจากการเดินหลงทาง เป็นต้น ซึ่งการหาสิ่งใหม่ให้ใจได้รู้ได้เห็นนี้จะช่วยให้เห็นสภาวะต่างๆ เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ถือเป็นอุบายหนึ่งในการภาวนา
พันธกุมภา
การเจริญสติในช่วงที่อยู่ที่วัดป่าสุคะโต ภายหลังจากผ่านบททดสอบแรกเรื่องการเดินจงกรมที่ผมมัวแต่ไปตั้งท่าว่าอยากรู้อยากดูสภาวะแล้ว ก็ได้เกิดความรู้สึกตัวขึ้นว่าตัวเองนั้นเผลอไปจ้องมองเสียนาน
พันธกุมภา
การเดินทางมาเจริญสติที่วัดป่าสุคะโตในช่วงก่อนเข้าพรรษานี้ แม้ว่าที่พักจะไม่เพียงพอแต่ผมก็ได้นอนด้านบนศาลา ซึ่งมีผู้คนมาจากหลายๆ ที่มาร่วมเจริญสติ และยังมีคณะผ้าป่าที่มาร่วมทอดผ้าป่าอีกด้วย ครานี้ที่วัดจึงแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา อยู่ในวัยเด็กเล็ก ไปจนถึงผู้สูงอายุ
พันธกุมภา
วันเข้าพรรษาปีนี้ผมมีความตั้งใจกับตัวเองที่จะภาวนาให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้นโดยการเจริญสติในรูปแบบอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความอดทน พากเพียรให้กับตัวเอง ในการมีสติสัมปชัญญะมากยิ่งขึ้นกว่าชีวิตปกติที่ผ่านมา
พันธกุมภา
 สวัสดีประชาไท สวัสดี ผองน้องพี่ ประชาไทสบายดี กันไหม ให้ถามหาได้พบกัน แบ่งปันธรรม แต่นานมาขอขอบคุณ วิถีพา เราพบกัน
พันธกุมภา
  เรื่องนี้ผ่านมานานแล้ว, ปลายฝนต้นหนาว อากาศร้อนระอุไปทั่วแผ่นฟ้า ผมไม่ค่อยได้มีโอกาสมานั่งพักผ่อนอยู่นิ่งๆ คนเดียวมานานแล้ว เพราะหน้าที่การงานที่มากมาย ทำให้ฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมาของผมเป็นช่วงเวลาที่ผ่านไปอย่างไร้ค่า เพียงเพราะผมมุ่งแต่จะทำงาน แต่ไม่ได้มีโอกาสได้ดูแลคนที่ผมรักเลยแม้แต่น้อย ผมทำงานที่มูลนิธิแห่งหนึ่ง เราทำงานเพื่อสังคม มีอุดมการณ์ที่อยากเห็นคนในสังคมมีคุณภาพชีวิตที่ดี งานที่เราทำเป็นงานเพื่อส่วนรวม เพื่อประโยชน์ของคนอื่น ซึ่งนั่นทำให้ผมต้องมีเวลาให้กับงาน ให้กับคนอื่นมากกว่าการดูแลตัวเองและการดูแลคนที่ผมรัก
พันธกุมภา
ชีวิตเกิดมาหนนี้ สิ่งที่ต้องการสูงสุดคืออะไร? คำถามนี้ ถามแล้ว ถามอีก ใจคอยถามอยู่ตลอดเวลาว่าต้องการอะไร ปรารถนาสิ่งใด ทำไมยังไม่มุ่งไปทางนั้นให้เต็มที่ ไยจึงกลัวที่จะเลือก ที่จะตัดสินใจ แม้ว่ารู้และเห็นว่าความน่ากลัว สังเวช อนาถใจของการเวียนว่ายนี้มีมากน้อยเพียงใด แต่เหตุใด ใจจึงไม่เคยหลุดออกจากสมมุติมากมายที่เกาะกุมเราไว้
พันธกุมภา
ช่วงหลังๆ นี้ผมได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับญาติธรรมกัลยาณมิตรหลายๆ คน ซึ่งแต่ละคนก็เจอสภาวะจิตที่แตกต่างกัน มีรูปแบบการภาวนาที่แตกต่างกัน ตามจริต ตามเหตุ ปัจจัยของแต่ละคน ทำให้แต่ละคนเจอกับสภาวะต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน และมีความรู้ ตื่น เบิกบาน ที่มากมายคละกันไป กัลยาณมิตรที่ร่วมสนทนากันนี้มีอยู่ในหลายวัย หลากอาชีพ และมีความสนใจในการภาวนาที่แตกต่างกัน บางคนมีปัญหาเรื่องความรัก ปัญหาครอบครัว ปัญหากับที่ทำงาน ปัญหากับการเรียน และก็ล้วนแต่มองเห็นว่าการภาวนาโดยการเจริญสติรู้กายรู้ใจในชีวิตประจำวันนี้จะทำให้ตัวเองได้เข้าใจความทุกข์และพ้นจากความทุกข์