Skip to main content
   

ขึ้นหัวไว้ไม่ได้หมายความว่าตัวผมเองกำลังหลบหน้าหลบตาไปอยู่ที่อยุธยาแต่อย่างใด ช่วงที่หายไปเพราะจำต้องไปปฏิบัติภารกิจทั้งส่วนตัวและไม่ส่วนตัว พอได้จังหวะแล้วจึงเข้ามาเขียนงานที่ห่างหายไปนานอีกครั้ง

หลายคนคงนึกได้แล้วว่าหมายถึงผลงานใหม่ของมาโนช พุฒตาล ซึ่งผมได้ซีดีผลงานล่าสุดของเขา ทั้งสองชิ้นมาพร้อมกันมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว แต่เพิ่งมีโอกาสได้ฟังเมื่อไม่นานมานี้เอง

สิ่งที่ผมหวังจากชื่อมาโนช พุฒตาลคือตัวงานดนตรีหลังจากที่เขาห่างหายจากการออกอัลบั้มเพลงไปพักนึง ("ชีวิตที่เจ็บปวดของคนป่วย" เหมือนออกมาให้หวังอะไรบางอย่างเล่น ๆ แล้วก็หายไป) เราอาจได้รู้จักเขาในฐานะนักจัดรายการวิทยุในคลื่นที่ปิดตัวลงไปแล้ว ใครหลายคงติดใจในท่วงท่าลีลาการจัดรายการของ "บุตรนายเฉลียวกับนางอำไพ" คนนี้ ขณะที่บางคนอาจคิดถึงเขาในฐานะคนทำดนตรี โดยเฉพาะแนวโปรเกรสซีฟ ร็อค อย่างอัลบั้ม "ในทรรศนะของข้าพเจ้า" ที่คมคายทั้งเนื้อหาและตัวเพลง แล้วเชื่อได้ว่าต้องมีคนที่ชื่นชมตัวเขาในทั้งสองบทบาท

ผมเปิดแผ่นลำดับที่หนึ่ง "อยู่อยุธยา" เล่นไปในขณะที่ครุ่นคิดถึงเจตนาว่าทำไมมาโนช พุฒตาลที่มีต้นทุนทางสังคมอยู่พอสมควรถึงเลือกทำงานแบบต้นทุนต่ำ ทำแบบ Self-Release ไม่พึงพาค่ายใด หรือเป็นเพราะบริบททางธุรกิจดนตรีในปัจจุบัน ทำให้เลือกเล่นกับพื้นที่ที่ต่างออกไป คิดในแง่ร้ายกว่านี้หน่อยคือนี่เป็นช่องทางเดียวที่เหลือ

 

In ayuthaya

 (ในครั้งนี้ผู้เขียนเองขออนุญาตใช้รูปแบบถ่ายเองนะครับ เนื่องจากรูปอัลบั้มสองอัลบั้มนี้หายากมาก
อาจจะดูขัด ๆ ตาหน่อย Wink)

 

ผลงานลำดับที่หนึ่ง  "อยู่อยุธยา" เป็นงานเดี่ยวที่แบ่งเป็นสองแทร็ก แทร็กแรกเป็นเพลงที่เจ้าตัวบอกว่าเอาเพลง "อยุธยา" (เมืองเก่าของเราแต่ก่อน) มาร้องเล่นจนแปลงเนื้อเป็นของตนเองกลายเป็นเพลงยาวสิบนาที (มีแทรกเล่าเรื่องในช่วงกลางเพลง) ส่วนแทรกที่สองยาวยี่สิบกว่านาที จริง ๆ แล้วตัวเพลงเป็นเพลงเดียวกับแทร็กแรกแต่คราวนี้ตัวอาซัน (มาโนช) เองออกมาพูดอธิบายความเพิ่มเติมในแต่ละท่อนด้วย

ด้วยความเป็นงานแบบอะคูสติกแบบเรื่อย ๆ ที่ไม่มีการเล่นแบบร็อคที่หนักแน่น หรือการเรียบเรียงที่ซับซ้อนสำหรับผู้ที่หวังจะได้ฟังงานแบบเดียวกับอัลบั้ม ".ในทรรศนะของข้าพเจ้า" คงมีผิดหวังกันไปบ้าง แต่สำหรับคนที่ชอบแกจัดรายการวิทยุ เจอเล่นไปพูดไปแบบนี้คงหายคิดถึงกันไปหลายโยชน์

อย่างไรก็ดี บรรยากาศของเพลงโฟล์คแบบ "มาเดี่ยว" ของแกก็ยังมีเสน่ห์ไปอีกแบบ ไม่นับว่าเนื้อเพลงนี้ฟังก็รู้ว่าเขียนออกมาจากใจ ใช้ภาษาง่าย ๆ แต่เล่าเรื่องได้เห็นภาพ มีแกมขี้เล่นเสียเล็กน้อย เคร่งขรึมขึ้นบ้างในช่วงหลัง เขาเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงของอยุธยาเมื่อ 20 ปีที่แล้วกับปัจจุบัน แน่นอนว่าตัวเพลงมันต้องสะท้อนและวิพากษ์สภาพในปัจจุบัน ขณะเดียวกันก็มีอารมณ์แบบโหยหาอดีตกวักมือเชื้อชวนอยู่อย่างเสียมิได้

ผมฟังไปต้องระวังไป เพราะแม้จะไม่ได้อยู่อยุธยาเอง แต่ภาพสวย ๆ ของอยุธยาเมื่อยี่สิบปีที่แล้วจากถ้อยเสียงบอกเล่าของอาซันมันก็ชวนให้ถูกฉุดไปอยู่ในเวลานั้นแล้วปฏิเสธปัจจุบัน ผมชอบเนื้อเพลงที่ฟังดูมาจากใจ แต่ไม่จำเป็นว่าจะต้องเห็นด้วยเสียหมด

อัลบั้มลำดับแรกเป็นเหมือนการทักทายเรียกน้ำย่อยก่อนจะมาถึงอัลบั้มลำดับที่สอง ที่คราวนี้ร่วมทำงานกับ สมพงศ์ ศิวิโรจน์ อดีตมือกีต้าร์วงมาลีฮวนน่า ในชื่อที่ตรงไปตรงมาเอามาก ๆ อย่าง "มาโนช พุฒตาล บุตรของนางเฉลียวกับนางอำไพ & สมพงศ์ ศิวิโรจน์ บุตรของนายเลื่อนกับนางซุ่นลิ่น"

ในอัลบั้มนี้มีเพลง 4 เพลง และมีการพูดคุยถึงเบื้องหลังและแรงบันดาลใจในรูปแบบกึ่ง ๆ รายการวิทยุอีก 3 แทร็ก ต่อกัน อย่างเพลง "(กนกพงศ์) คนฟังเสียงฝน" ที่นอกจากจะเป็นเหมือนเพลง Tribute ให้กับกนกพงศ์ สงสมพันธ์ ผู้จากไปแล้ว ทางอาซันเองก็บอกว่ามันแต่งออกมาจากความประทับใจในเวลาได้ฟังเสียงฝนด้วย ดนตรีในเพลงนี้มีท่อนเวิร์สที่ฟังแล้วชวนให้นึกถึงโฟล์คนิ่ง ๆ ของ นิค เดรก แถมยังได้กีต้าร์ติดบลูส์แซมมาอย่างได้อารมณ์

ในส่วน "เพลงช้าง" เป็นเพลงที่มาจากแรงบันดาลใจของ สมพงศ์ ศิวิโรจน์ ที่เริ่มมาจากการตั้งคำถามว่าขณะที่มีคนบอกว่าช้างใกล้สูญพันธุ์ แต่กลับเจอช้างอยู่ได้บ่อย ๆ ตามถนนหนทาง เริ่มมาก็เว่ากันซื่อ ๆ และสมพงศ์เองก็เล่นยังคงเล่นบทบาทเว่ากันซื่อ ๆ ตลอดทั้งเพลงจึงให้อารมณ์แบบเพลงพูดขี้เล่น ๆ อยู่อย่างเสียมิได้ หีบเพลงปากกับเสียงคอรัส มีช้าง-มีช้าง-มีช้าง ยิ่งช่วยขับเน้นความขี้เล่นเสียจนอาจทำให้รู้สึกฉงนฉงายว่าต้องการสื่อเรื่องช้างหรือมากกว่านั้น แม้จะได้ฟังเจ้าตัวพูดถึงแรงบันดาลใจเอง ก็ยังไม่ค่อยเชื่ออยู่ดี ดันไปรู้สึกว่าเขาพูดความจริงไม่หมดเสียนี่

"บอกดวงจันทร์ฉันเหนื่อย" เป็นเพลงเรียบ ๆ ที่ผมดันฟังแล้วชอบเอามาก ๆ อาซันบอกว่าเนื้อเพลงนี้เริ่มมาจากอารามอยากมีเพลงที่พูดถึงดวงจันทร์อย่างศิลปินอื่น ๆ เขาบ้าง (เช่น Cat Steven มี Moonshadow อะไรแบบนี้เป็นต้น)  เนื้อเพลงที่พูดถึงทั้งความรักและชีวิตในแบบคนที่ผ่านโลกมานาน แม้เพลงจะจบได้แบบยังไม่ถึงฝั่งเท่าไหร่ก็ตาม

"อย่าสิ้นหวัง" เป็นโฟล์คมาตรฐานสุด ๆ มีทั้งเนื้อหาและดนตรีที่อาจหาฟังได้เมื่อสัก 10-20 ปีมาแล้ว ไม่รู้ว่าจงใจหรือเป็นเพราะเสียงร้องของสมพงศ์ ด้วยหรือเปล่าที่ทำให้รู้สึกว่าเพลงนี้มันแอบ Lo-fi ทำให้ยิ่งเหมือนกับกำลังฟังจากเทปคาสเซทท์ยังไงอย่างนั้น เหมาะกับคนที่ชอบอะไรแบบโอลดี้วินเทจจ์ดีจริง

ในอัลบั้มหลังนี้ยังคงเป็นโฟล์คที่มีทั้งความขี้เล่นและลุ่มลึก อาจจะดูมีอะไรเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาหน่อย ช่วงพูดคุยในตอนหลัง (ซึ่งยาวกินเวลาเกินครึ่งแผ่น) ฟังดูธรรมชาติเป็นกันเอง ทั้งมาโนชและคุณสมพงษ์เองยังพอกันตั้งคำถามกลัวว่าการที่ออกมาพูดถึงแรงบันดาลใจในเพลงต่าง ๆ มันจะจำกัดจินตนาการ จำกัดการตีความของคนฟังหรือเปล่า

ผมก็แอบตอบให้ตรงนี้เลยว่า สำหรับผมแล้ว ไม่ค่อยมีผลเท่าไหร่ มันอาจลดเสน่ห์ในความ "กำกวม" ไปบ้าง (แม้แต่เพลงช้างที่สุดจะตรงไปตรงมา...เว้ากันซื่อ ๆ ขนาดไหน ผมเองก็ยังไม่วายสงสัยว่ามันต้องแอบซ่อนอะไรอยู่) แต่ก็ทำให้งานดูกระจ่างแจ่มแจ้งดี อีกนัยหนึ่งก็แสดงความใกล้ชิดระหว่างผู้ผลิตกับผู้เสพงาน ยิ่งแทร็กที่พูดถึงแรงบัลดาลใจใน "อยู่อยุธยา" นี้ ยิ่งทำให้รู้สึกตัวเพลงดูมีพลังขึ้นด้วยซ้ำ

การเผยถึงแรงบันดาลใจจะไม่เป็นปัญหาตราบใดที่มันไม่ถูกผูกขาดทำให้เป็น "ความจริงหนึ่งเดียว"และผมเป็นคนเชื่อว่า ผลงานนั้นแยกออกมาจากตัวศิลปิน หากมีใครตีความเนื้อหาแย้งไปจากที่ศิลปินออกมาบอกเอง ก็ไม่ใช่เรื่องผิด เผลอ ๆ ความเห็นของเขาอาจจะสะกิดให้ตัวศิลปินเองนึกอะไรบางอย่างเพิ่มเติมออกก็ได้

ผมถึงคิดว่า "อยู่อยุธยา" จึงเป็นอัลบั้มที่เหมาะแก่การพักผ่อนสำหรับคนที่เจอเรื่องยุ่งยาก และยังคงรู้สึกยากลำบากกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย (ผมเองก็เป็น) ให้ได้เห็นภาพอดีตหวาน ๆ (ที่ตัวเองไม่ได้เป็นเจ้าของ) ชั่วคราว แล้วก็ตื่นขึ้นมาต่อสู้กับกงล้อของการเวลาที่หมุนต่อไป

.

.

ในโลกที่ไม่มี "ความจริงหนึ่งเดียว" ให้ต้องเชื่อตามอีกแล้ว

บล็อกของ Music

Music
ภฤศ ปฐมทัศน์ ผมได้ยินข่าวเรื่อง "จังหวะแผ่นดิน World Musiq & World Bar B Q" วันเดียวก่อนวันงานนั่นเอง ได้ยินคุณทอดด์ ทองดี พูดผ่านวิทยุว่าจะมีศิลปินจากหลายประเทศทั่วโลกมาเข้าร่วม และมีการแสดงร่วมกันของเพื่อแสดงให้เห็นว่าดนตรีมันไร้พรมแดน ผมเองเข้าใจความรู้สึกของคนที่พูดอะไรที่เป็นอุดมคติครับ และรู้สึกที่สิ่งที่คุณทอดด์แกพูดแกไม่ได้ตอแหล (แบบพวกอ้างศีลธรรม) ผมรู้สึกได้จากน้ำเสียงและการไหว้วอนขอให้ภาครัฐและกระทรวงวัฒนธรรมหันมาสนใจ ทำให้รู้สึกว่าแกมีความตั้งใจตรงนี้จริง ๆ แต่ว่าอุดมคติที่สวยงามบางทีมันเป็นแค่สิ่งที่ฉาบเคลือบอะไรที่ยังแหว่งโหว่อยู่ภายใน…
Music
    ขึ้นหัวไว้ไม่ได้หมายความว่าตัวผมเองกำลังหลบหน้าหลบตาไปอยู่ที่อยุธยาแต่อย่างใด ช่วงที่หายไปเพราะจำต้องไปปฏิบัติภารกิจทั้งส่วนตัวและไม่ส่วนตัว พอได้จังหวะแล้วจึงเข้ามาเขียนงานที่ห่างหายไปนานอีกครั้ง หลายคนคงนึกได้แล้วว่าหมายถึงผลงานใหม่ของมาโนช พุฒตาล ซึ่งผมได้ซีดีผลงานล่าสุดของเขา ทั้งสองชิ้นมาพร้อมกันมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว แต่เพิ่งมีโอกาสได้ฟังเมื่อไม่นานมานี้เอง สิ่งที่ผมหวังจากชื่อมาโนช พุฒตาลคือตัวงานดนตรีหลังจากที่เขาห่างหายจากการออกอัลบั้มเพลงไปพักนึง ("ชีวิตที่เจ็บปวดของคนป่วย" เหมือนออกมาให้หวังอะไรบางอย่างเล่น ๆ แล้วก็หายไป)…
Music
ช่วงที่ผ่านมาผมขอลาพักจากการเขียนคอลัมน์ไปชั่วคราว ไม่ได้ลากิจ และยังไม่ได้ลาออกจากการเขียนคอลัมน์แน่นอน เพียงแต่หลบจากความเหนื่อยล้าจากหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อไปเติมพลังให้ตัวเองเท่านั้นในช่วงที่พักจากการเขียนคอลัมน์ไป ก็คิดว่าจะลองหลบมุมสงบ ๆ อยู่ ปิดหูปิดตาตัวเองจากสิ่งรอบข้างดูสักพัก … แต่แล้วก็ไม่สำเร็จ ในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมามีข่าวบางอย่างที่ทำให้ผมต้องรู้สึกถึงความย่ำแย่ น่าเบื่อหน่ายไม่รู้จบของประเทศที่ผมอยู่อีกครั้งจริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องของผู้ชายคนหนึ่ง (ซึ่งสื่อบางแห่งดูจะพยายามแปลงให้เขากลายเป็นเพศอื่นอยู่เสมอ…ซึ่งผมว่าเขาคงไม่เดือดร้อนอะไร) เขาไม่ได้เป็นคนดีอะไรนักหนา…
Music
  นิยายวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องเล่าอิงจินตนาการพร้อมกับความเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์ นักทฤษฎีแบ่งนิยายวิทยาศาสตร์ออกไว้เป็นสามยุคใหญ่ ๆ คือ ‘ยุคคลาสสิก' ที่มักพูดถึงอนาคตภายใต้อวกาศกว้างใหญ่ไพศาล มองอนาคตอย่างก้าวหน้าและอิงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ จนกระทั่งความเจ็บปวดหลังยุคอุตสาหกรรมที่ยังมีการกดขี่กันของมนุษย์ทำให้ ‘ยุคที่สอง' ของนิยายวิทยาศาสตร์เริ่มมีท่าทีวิพากษ์สังคมเข้ามาปะปน บางเรื่องก็มีประเด็นทางสังคม อย่างการเหยียดเพศ เหยียดเชื้อชาติ บ้างก็มีจินตนาการของรัฐบาลเผด็จการเบ็ดเสร็จที่อาศัยเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ มาจนถึง ‘คลื่นลูกที่สาม' ก็มองโลกในแง่ร้ายอย่างสุดกู่ จินตนาการก้าวหน้า ล้ำสมัย…
Music
 "The disgraced values of the company manAre why you fight and sacrificeDon't bend or break for their one-way rulesOr run from battles you know you'll lose""คุณค่าของคนทำงานที่ถูกลดทอนคือเหตุผลที่คุณเสียสละ ต่อสู้ และวิงวอนคุณไม่อาจฝ่าฝืนกฏเหล็กของพวกเขาได้หรือแม้จะทั่งจะหนีจากการดิ้นรนที่คุณรู้ว่าจะแพ้โดยไม่อาจทำอะไร"- Tomorrow's IndustryDropkick Murphys เป็นวงพังค์ร็อคที่มาจากการรวมตัวของชาวไอริชที่อพยพมาอาศัยในเมืองบอสตัน ประเทศสหรัฐฯ มีผลงานที่พอให้คนต่างแดนได้รู้จักบ้างคือเพลงประกอบภาพยนตร์ The Departed ที่ชื่อ "I'm Shipping Up to Boston"…
Music
การยึดติดในสถาบันหรือรางวัลว่าเป็นตัววัดความเก่งกาจของศิลปินดูเป็นเรื่องหน้าขำอย่างหนึ่งในโลกที่กำลังเผชิญหน้ากับความหลากหลาย คิด ๆ ดูว่าแนวดนตรีในโลกนี้ถ้านับรวม Sub-Genre ทั้งหลายเข้าไปด้วยแล้วก็มีมากจนนับแทบไม่ไหว แต่รางวัลจากสถาบันทั้งหลายมันแบ่งง่าย ๆ แค่ ป็อบ ร็อค อาร์แอนด์บี ซึ่งไม่อาจตอบรับกับความหลากหลายได้ และพาลจะทำให้เป็นการขีดเส้นขั้น ผูกขาดรูปแบบบางอย่างไว้ก็ได้ว่า "เสียงดี" ต้องเป็นเสียงแบบนี้ การเรียบเรียงที่ดีต้องเป็นแบบนี้ ๆ ฯลฯ ผมถึงคิดว่า เราควรจะไม่ไปยึดติดอะไรมากกับรางวัลที่มาจากการตัดสินของคนไม่กี่คนบนหิ้งเรื่องศิลปะที่มาจากการผูกขาดรสนิยมมันชวนให้รู้สึกย่ำแย่ฉันใด…
Music
อะไรๆ ในโลกนี้มันน่าสนใจไปหมดแหละครับ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีแต่ผู้คนหันไปมอง หันไปพูดถึง เก็บมาเล่ากันทั่วบ้านทั่วเมือง ช่วยผลิตซ้ำ และแม้กระทั่งสร้างคู่ตรงข้ามให้กับคนที่ไม่รู้ และ/หรือ ไม่อยากรู้ ขณะเดียวกันสิ่งที่ผมคิดว่ามันน่าสนใจมาก ๆ โคตร ๆ อีกอย่างหนึ่งก็คือสิ่งที่อยู่ในซอกหลืบไม่ค่อยมีคนสนใจ มันดูเหมือนการได้ค้นพบอะไรบางอย่างที่อาจจะทำให้เราอัศจรรย์ใจหรือทำให้ผิดหวังก็ได้ เพียงแต่ในทุกวันนี้ไอ้สิ่งที่อยู่ในซอกหลืบจริงๆ มันหายากขึ้นทุกที ในวงการเพลงอินดี้อะไรทั้งหลายก็มีชื่อวงทั้งต่างประเทศและในประเทศผุดผาดขึ้นมาให้จำกันไม่ทัน และพอลองเจียดเวลา (อันน้อยนิด) จากการทำมาหากินมาลองฟัง…
Music
รูป Ad จาก http://www.electthedead.co.uk/วง System of a Down เป็นวงดนตรีอเมริกันที่สมาชิกทั้ง 4 คนล้วนเป็นชาวอาร์เมเนียน ดนตรีของพวกเขา บางคนก็เรียกว่าเป็นอัลเตอร์เนทีฟ บ้างก็ว่าเป็นนูเมทัล บ้างก็พยายามจำกัดความง่ายๆ ว่าเป็นฮาร์ดร็อค แต่ถ้าให้เรียกแบบกินความหมายครอบคลุมที่สุดล่ะก็ คงต้องบอกว่าพวกเขาเป็นวงร็อคที่แพรวพราว สอดผสานดนตรีในพรมแดนอื่นๆ เข้ากับซาวน์พื้นฐานแบบยุค 90's และขณะเดียวกันก็มีพลังขับเคลื่อนแบบพังค์นอกจากจะเป็นที่รู้จักกันในฐานะของวงร็อคหลากกลิ่นแล้ว แฟนเพลงหลายคนยังชอบเนื้อหาวิจารณ์สังคมและการเมืองของพวกเขาที่เข้าใจทำให้ถูกจริตคนบางกลุ่มได้ บวกกับดนตรีหนักๆ จากหลายๆ เพลงแล้ว…
Music
  ช่วงที่ผ่านมามีข่าวคราวเกี่ยวกับคอนเสิร์ตแนวอนุรักษ์ธรรมชาติอะไรพวกนี้ออกมาหลากหลายมากมายอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะคอนเสิร์ตต้านโลกร้อนที่เข้าใจเกาะกระแสเรื่องที่คนทั่วโลกสนใจ (แต่ไม่รู้ว่าเข้าใจลึกไปในระดับไหน) มาสร้างเวทีคอนเสิร์ตให้สนุกสุดเหวี่ยง เวลามีคนมาถามความเห็นผมเรื่องนี้ ผมมักจะหัวเราะ หะ ๆ แล้วตอบว่ารู้สึกเฉย ๆ ถ้ามันจะดีมันก็ดีในแง่ที่มีคอนเสิร์ตมาให้สนุกกัน ส่วนศิลปินก็ได้หน้าได้ตากันไป เพราะโดยส่วนตัวผมไม่คิดว่าศิลปินจะรู้ลึกรู้จริงรู้จังอะไรกันเรื่องนี้มากมาย ไม่ต้องกระไรมาก ผมจะยกตัวอย่างจากประสบการณ์ตรงเรื่องหนึ่ง คือเมื่อหลายปีก่อน…
Music
  "ผมคงจัดเป็นพวกปีกซ้ายนั่นแหละ และพอเวลาผ่านไปผมก็รู้สึกแข็งแกร่งขึ้น ผมให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์มากกว่าอิฐบล็อกหรือกำแพงศักดิ์สิทธิ์ ผมเชื่อในการมีชีวิตอยู่ ผมคิดว่าแทนที่คำถามจะเป็น ‘พวกคุณเชื่อในพระเจ้าหรือเปล่า' มันควรจะเป็นว่า ‘พระเจ้าเชื่อในพวกเราหรือเปล่า' ต่างหาก ใครจะรู้ได้"- Aviv Geffen - Memento Mori"Officer, it's better to be a coward that is alivethan to be a dead heroYou fight with tanks and gunsI fight with pen and paperYou call me a draft dodgerMemento Mori..."- Memento Mori (2)จริงๆ แล้ว ไม่เพียง Aviv Geffen เท่านั้นที่เป็นที่รู้จักของชาวอิสราเอลโดยทั่วไป…
Music
  "1,000 people yellShouting my nameBut I wanna die in this momentI wanna die"- 1,000 People -Aviv Geffen เกิดและเติบโตในช่วงสงครามเลบานอนครั้งแรก ที่กองทัพอิสราเอลคิดจะเข้ายึดครองเลบานอนเพื่อยุติสงครามกลางเมือง แต่ความขัดแย้งนี้ดูจะห่างไกลจากตัวเขารวมถึงหนุ่มสาวคนอื่น ๆ ซึ่งต่างก็ดำเนินชีวิตคู่ขนานกับความขัดแย้งนี้จนแม้ปัจจุบันก็ยังไม่จบไม่สิ้น ข้อตกลงหยุดยิงไม่อาจทำให้ความตึงเครียดลดลงได้ ระเบิดนิรนามยังคงถูกยิงมาจากที่ไหนสักแห่งภาพที่ดูขัดแย้งกันอย่างชัดเจนในตัว Geffen คือ ขณะที่เขาแต่งเพลงและเผยความคิดเห็นในแบบอิสราเอลฝ่ายซ้าย แต่ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ประสบความสำเร็จในอาชีพทางดนตรี…
Music
  "Love films are broadcast lateBut violence is allowed at any hourWhile on a kibbutz a girl was rapedIn the disco they set their spirits free"- Violence -เป็นเรื่องธรรมดาที่น้อยคนในบ้านเราจะรู้จักศิลปินหนุ่มจากอิสราเอลที่ชื่อ Aviv Geffen เพราะผมเองกว่าจะรู้จักเขาก็ต้องโยงอะไรหลายทอดอยู่เหมือนกันมันเริ่มจากการที่ผมชื่นชอบวงโปรเกรสซีฟร็อค ที่ชื่อ Porcupine Tree แล้วนักร้องนำและผู้กุมบังเหียนของวงนี้คือ Steve Wilson ในขณะที่ยังคงอยู่กับวงเดิม ก็ได้ออกไปมีโปรเจกท์ย่อยคือวง Blackfield ด้วย ซึ่งวงโปรเจกท์ของเขานี้ ก็ตั้งใจว่าจะเป็นวงป็อบร็อค ที่ทำร่วมกับนักดนตรีรุ่นน้องชาวอิสราเอลคนหนึ่ง…