Skip to main content

การยึดติดในสถาบันหรือรางวัลว่าเป็นตัววัดความเก่งกาจของศิลปินดูเป็นเรื่องหน้าขำอย่างหนึ่งในโลกที่กำลังเผชิญหน้ากับความหลากหลาย คิด ๆ ดูว่าแนวดนตรีในโลกนี้ถ้านับรวม Sub-Genre ทั้งหลายเข้าไปด้วยแล้วก็มีมากจนนับแทบไม่ไหว แต่รางวัลจากสถาบันทั้งหลายมันแบ่งง่าย ๆ แค่ ป็อบ ร็อค อาร์แอนด์บี ซึ่งไม่อาจตอบรับกับความหลากหลายได้ และพาลจะทำให้เป็นการขีดเส้นขั้น ผูกขาดรูปแบบบางอย่างไว้ก็ได้ว่า "เสียงดี" ต้องเป็นเสียงแบบนี้ การเรียบเรียงที่ดีต้องเป็นแบบนี้ ๆ ฯลฯ ผมถึงคิดว่า เราควรจะไม่ไปยึดติดอะไรมากกับรางวัลที่มาจากการตัดสินของคนไม่กี่คนบนหิ้ง

เรื่องศิลปะที่มาจากการผูกขาดรสนิยมมันชวนให้รู้สึกย่ำแย่ฉันใด เรื่องการเมืองที่มาจากการผูกขาดของคนบนหิ้งก็ชวนให้รู้สึกย่ำแย่ฉันนั้น การพยายามสกัดไม่ให้มีการแก้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันโดยอ้างว่าจะเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองปกป้องตัวเองได้ มันก็ฟังดูเป็นการย่ำอยู่กับที่แล้วก็เป็นการปกป้องพวกพ้องที่อาจจะไม่ใช่นักการเมืองแต่อยู่บนหิ้งโดยอ้อม ๆ เช่นกัน

--------------------------

สิ่งที่อยู่บนหิ้งเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมืองหรือเรื่องศิลปวัฒนธรรมจะต้องถูกตั้งคำถามบ้างว่าพวกเขาเป็นตัวแทนของประชาชน หรือแม้แต่เป็นตัวแทนของ Minority ได้จริงหรือเปล่า

ชะแว๊บมาพูดถึงสิ่งที่น่าจะเป็น "ทางเลือกที่สาม" ในวงการของดนตรี สำหรับคนที่ไม่ค่อยปลาบปลื้มกับดนตรีกระแสหลัก และมีรสนิยมที่ต่างออกไป ผมพยายามหลีกเลี่ยงคำว่าอินดี้อย่างสุดชีวิตเพราะคำ ๆ นี้ ในปัจจุบันมันถูกนำไปแปลงความหมายโดยผู้มีบารมีนอกค่ายเพลงจนทำให้คนเข้าใจผิด ๆ ถูก ๆ และใครที่ไม่รู้จริงก็มักจะด่าเหมามันหมด

ช่วงนี้มีโอกาสได้ฟังอยู่สองวงคือ Disorder วงแนวเมทัลที่เน้นการใส่จังหวะแบบกรู๊ฟเสริมอิทธิพลจากฮาร์ดคอร์ บ้างอาจจะเรียกวงนี้ว่าเป็นแนวเมทัลเพื่อชีวิต !? ซึ่งน่าจะจงใจหมายถึงเนื้อเพลงที่ที่หันมาพูดถึงสังคมรอบตัวแทนการอยู่กับแฟนตาซี

อัลบั้มที่วงนี้เพิ่งออกมาคือ This's order ที่ผมฟังโดยรวมแล้วคงต้องพูดแบบบั่นทอนกำลังใจหน่อยว่า ในแง่ของดนตรีโดยรวมแล้วยังไม่สุดและไม่มีอะไรที่เด่นเป็นพิเศษออกมา เพลงช้าสองเพลงที่ดูหลุดโทนหน่อย ๆ เพราะดีครับ โดยเฉพาะสายลมที่จากไป ทั้งเนื้อหาและดนตรีมันชวนให้นึกถึงพวกเพื่อชีวิตจริง ๆ

เนื้อหารวม ๆ ของอัลบั้มนี้แล้วมันชวนให้นึกถึงเมทัลวิพากษ์สังคมอีกวงหนึ่ง ซึ่งถ้าจะให้พูดแล้วส่วนใหญ่ยังหนีไม่พ้นกรอบคิดเดิม ๆ ซึ่งไม่ค่อยต่างอะไรกับการแค่ได้ระบายอารมณ์ดิบ ๆ ออกมาเท่าไหร่ เว้นอยู่เพลงเดียวเท่านั้นที่ผมคิดว่าเข้าท่าคือเพลง หลอกตัวเอง ...ที่ถ้าหากอัลบั้มนี้เป็นคอนเซปท์อัลบั้มแล้วล่ะก็ มันเป็นเพลงปิดอัลบั้ม (ไม่นับ Instrumental Outro) ที่เหมาะสมทีเดียว

 

อีกวงหนึ่งที่หน้าปกเด่นตระหง่านออกมาคือวงที่ชื่อภูมิจิต ในอัลบั้ม Found and Lost ถ้าไม่รู้จักมาก่อนจะพยายามเดาไปหลายเลยว่ามันเป็นวงแนวอะไรกันแน่ ด้วยน่าปกและชื่อเพลงที่น่าสนใจทำให้ผมลองเอามาฟังดูก็พบว่ามันเป็นเพลงทีแม้จะยังคงพื้นฐานแบบป็อบร็อคเอาไว้ แต่ก็เจือด้วยนีโอ-ไซคีเดลิก บางเพลงออกเป็นชูเกส (Shoegaze) เลยทีเดียว

หลายเพลงในอัลบั้มนี้ฟังเพลินและเชื่อว่าตั้งใจทำได้ดีทีเดียว แต่บางเพลงก็ธรรมดาไปหน่อย ด้านเนื้อหานี้แหวกออกมาจากวงนอกกระแสวงอื่นอยู่เหมือนกัน เรียกว่ามีแนวทางของตัวเองดี เพลงอย่าง New World Order พูดถึงอะไรที่ไม่ค่อยได้ยินจากปากของศิลปินไทยเท่าไหร่นัก แต่การถ่ายทอดเพลงนี้ยังมีลักษณะที่ชวนให้รู้สึกว่ามันจริงจังก็จริงจังไม่สุด บางประโยคของเนื้อเพลงทำให้โทนจริงจังในเพลง "หลุด" ออกมาเล็กน้อย

ทางวงภูมิจิตเคยบอกไว้ว่าอัลบั้มนี้เหมือนเป็นคอนเซปท์อยู่กลาย ๆ เกี่ยวกับชีวิตเด็กชายคนหนึ่งที่อาจจะชื่อภูมิจิตก็ได้ โดยพูดถึงสิ่งที่เขาได้พบเจอผันผ่านมาในชีวิต มีทั้งเรื่องความประทับใจใน "เมฆสีรุ้ง" เรื่องวุ่นวายใน "มากมายก่ายกอง" ดนตรีของสองเพลงนี้ฟังได้แบบเรื่อย ๆ

ขณะที่เพลงที่ดูตรงไปตรงมามากที่สุดในอัลบั้มอย่าง "รอผล..." ที่พูดถึงการรอผลสอบเอนทรานส์ ผมว่าเพลงนี้มีวิธีการเล่าเรื่องแบบที่ชวนให้รู้สึกได้มากกว่าช่วงท้าย ๆ ที่เริ่มพูดถึงอะไรในเรื่องสัจธรรมที่ฟังดู Sophisicate เกินไปหน่อยเมื่อเทียบกับการพูดถึงอะไรที่จับต้องได้ในช่วงต้น ๆ ของอัลบั้ม (ในอีกแง่หนึ่งเพลงอย่าง "อัตวินิบาตกรรม" กับ "รักคือความทุกข์ สุขคือนิพพาน" อาจจะดูเข้ากับปกอัลบั้ม แต่ผมคิดว่าถ้าจะทำเป็นคอนเซปท์อัลบั้มเนื้อหาของเพลงไม่น่าจะทิ้งห่างแบบไม่มีจุดเชื่อมโยงขนาดนี้)

อย่างไรก็ตามผมก็ยอมรับวงนี้ในแง่ความสดใหม่ ขณะเดียวกันก็ของมองโลกในแง่ดีรอดูพัฒนาการทั้งด้านดนตรีด้านเนื้อหาของพวกเขาต่อไป 

 

บล็อกของ Music

Music
ภฤศ ปฐมทัศน์ ผมได้ยินข่าวเรื่อง "จังหวะแผ่นดิน World Musiq & World Bar B Q" วันเดียวก่อนวันงานนั่นเอง ได้ยินคุณทอดด์ ทองดี พูดผ่านวิทยุว่าจะมีศิลปินจากหลายประเทศทั่วโลกมาเข้าร่วม และมีการแสดงร่วมกันของเพื่อแสดงให้เห็นว่าดนตรีมันไร้พรมแดน ผมเองเข้าใจความรู้สึกของคนที่พูดอะไรที่เป็นอุดมคติครับ และรู้สึกที่สิ่งที่คุณทอดด์แกพูดแกไม่ได้ตอแหล (แบบพวกอ้างศีลธรรม) ผมรู้สึกได้จากน้ำเสียงและการไหว้วอนขอให้ภาครัฐและกระทรวงวัฒนธรรมหันมาสนใจ ทำให้รู้สึกว่าแกมีความตั้งใจตรงนี้จริง ๆ แต่ว่าอุดมคติที่สวยงามบางทีมันเป็นแค่สิ่งที่ฉาบเคลือบอะไรที่ยังแหว่งโหว่อยู่ภายใน…
Music
    ขึ้นหัวไว้ไม่ได้หมายความว่าตัวผมเองกำลังหลบหน้าหลบตาไปอยู่ที่อยุธยาแต่อย่างใด ช่วงที่หายไปเพราะจำต้องไปปฏิบัติภารกิจทั้งส่วนตัวและไม่ส่วนตัว พอได้จังหวะแล้วจึงเข้ามาเขียนงานที่ห่างหายไปนานอีกครั้ง หลายคนคงนึกได้แล้วว่าหมายถึงผลงานใหม่ของมาโนช พุฒตาล ซึ่งผมได้ซีดีผลงานล่าสุดของเขา ทั้งสองชิ้นมาพร้อมกันมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว แต่เพิ่งมีโอกาสได้ฟังเมื่อไม่นานมานี้เอง สิ่งที่ผมหวังจากชื่อมาโนช พุฒตาลคือตัวงานดนตรีหลังจากที่เขาห่างหายจากการออกอัลบั้มเพลงไปพักนึง ("ชีวิตที่เจ็บปวดของคนป่วย" เหมือนออกมาให้หวังอะไรบางอย่างเล่น ๆ แล้วก็หายไป)…
Music
ช่วงที่ผ่านมาผมขอลาพักจากการเขียนคอลัมน์ไปชั่วคราว ไม่ได้ลากิจ และยังไม่ได้ลาออกจากการเขียนคอลัมน์แน่นอน เพียงแต่หลบจากความเหนื่อยล้าจากหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อไปเติมพลังให้ตัวเองเท่านั้นในช่วงที่พักจากการเขียนคอลัมน์ไป ก็คิดว่าจะลองหลบมุมสงบ ๆ อยู่ ปิดหูปิดตาตัวเองจากสิ่งรอบข้างดูสักพัก … แต่แล้วก็ไม่สำเร็จ ในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมามีข่าวบางอย่างที่ทำให้ผมต้องรู้สึกถึงความย่ำแย่ น่าเบื่อหน่ายไม่รู้จบของประเทศที่ผมอยู่อีกครั้งจริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องของผู้ชายคนหนึ่ง (ซึ่งสื่อบางแห่งดูจะพยายามแปลงให้เขากลายเป็นเพศอื่นอยู่เสมอ…ซึ่งผมว่าเขาคงไม่เดือดร้อนอะไร) เขาไม่ได้เป็นคนดีอะไรนักหนา…
Music
  นิยายวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องเล่าอิงจินตนาการพร้อมกับความเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์ นักทฤษฎีแบ่งนิยายวิทยาศาสตร์ออกไว้เป็นสามยุคใหญ่ ๆ คือ ‘ยุคคลาสสิก' ที่มักพูดถึงอนาคตภายใต้อวกาศกว้างใหญ่ไพศาล มองอนาคตอย่างก้าวหน้าและอิงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ จนกระทั่งความเจ็บปวดหลังยุคอุตสาหกรรมที่ยังมีการกดขี่กันของมนุษย์ทำให้ ‘ยุคที่สอง' ของนิยายวิทยาศาสตร์เริ่มมีท่าทีวิพากษ์สังคมเข้ามาปะปน บางเรื่องก็มีประเด็นทางสังคม อย่างการเหยียดเพศ เหยียดเชื้อชาติ บ้างก็มีจินตนาการของรัฐบาลเผด็จการเบ็ดเสร็จที่อาศัยเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ มาจนถึง ‘คลื่นลูกที่สาม' ก็มองโลกในแง่ร้ายอย่างสุดกู่ จินตนาการก้าวหน้า ล้ำสมัย…
Music
 "The disgraced values of the company manAre why you fight and sacrificeDon't bend or break for their one-way rulesOr run from battles you know you'll lose""คุณค่าของคนทำงานที่ถูกลดทอนคือเหตุผลที่คุณเสียสละ ต่อสู้ และวิงวอนคุณไม่อาจฝ่าฝืนกฏเหล็กของพวกเขาได้หรือแม้จะทั่งจะหนีจากการดิ้นรนที่คุณรู้ว่าจะแพ้โดยไม่อาจทำอะไร"- Tomorrow's IndustryDropkick Murphys เป็นวงพังค์ร็อคที่มาจากการรวมตัวของชาวไอริชที่อพยพมาอาศัยในเมืองบอสตัน ประเทศสหรัฐฯ มีผลงานที่พอให้คนต่างแดนได้รู้จักบ้างคือเพลงประกอบภาพยนตร์ The Departed ที่ชื่อ "I'm Shipping Up to Boston"…
Music
การยึดติดในสถาบันหรือรางวัลว่าเป็นตัววัดความเก่งกาจของศิลปินดูเป็นเรื่องหน้าขำอย่างหนึ่งในโลกที่กำลังเผชิญหน้ากับความหลากหลาย คิด ๆ ดูว่าแนวดนตรีในโลกนี้ถ้านับรวม Sub-Genre ทั้งหลายเข้าไปด้วยแล้วก็มีมากจนนับแทบไม่ไหว แต่รางวัลจากสถาบันทั้งหลายมันแบ่งง่าย ๆ แค่ ป็อบ ร็อค อาร์แอนด์บี ซึ่งไม่อาจตอบรับกับความหลากหลายได้ และพาลจะทำให้เป็นการขีดเส้นขั้น ผูกขาดรูปแบบบางอย่างไว้ก็ได้ว่า "เสียงดี" ต้องเป็นเสียงแบบนี้ การเรียบเรียงที่ดีต้องเป็นแบบนี้ ๆ ฯลฯ ผมถึงคิดว่า เราควรจะไม่ไปยึดติดอะไรมากกับรางวัลที่มาจากการตัดสินของคนไม่กี่คนบนหิ้งเรื่องศิลปะที่มาจากการผูกขาดรสนิยมมันชวนให้รู้สึกย่ำแย่ฉันใด…
Music
อะไรๆ ในโลกนี้มันน่าสนใจไปหมดแหละครับ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีแต่ผู้คนหันไปมอง หันไปพูดถึง เก็บมาเล่ากันทั่วบ้านทั่วเมือง ช่วยผลิตซ้ำ และแม้กระทั่งสร้างคู่ตรงข้ามให้กับคนที่ไม่รู้ และ/หรือ ไม่อยากรู้ ขณะเดียวกันสิ่งที่ผมคิดว่ามันน่าสนใจมาก ๆ โคตร ๆ อีกอย่างหนึ่งก็คือสิ่งที่อยู่ในซอกหลืบไม่ค่อยมีคนสนใจ มันดูเหมือนการได้ค้นพบอะไรบางอย่างที่อาจจะทำให้เราอัศจรรย์ใจหรือทำให้ผิดหวังก็ได้ เพียงแต่ในทุกวันนี้ไอ้สิ่งที่อยู่ในซอกหลืบจริงๆ มันหายากขึ้นทุกที ในวงการเพลงอินดี้อะไรทั้งหลายก็มีชื่อวงทั้งต่างประเทศและในประเทศผุดผาดขึ้นมาให้จำกันไม่ทัน และพอลองเจียดเวลา (อันน้อยนิด) จากการทำมาหากินมาลองฟัง…
Music
รูป Ad จาก http://www.electthedead.co.uk/วง System of a Down เป็นวงดนตรีอเมริกันที่สมาชิกทั้ง 4 คนล้วนเป็นชาวอาร์เมเนียน ดนตรีของพวกเขา บางคนก็เรียกว่าเป็นอัลเตอร์เนทีฟ บ้างก็ว่าเป็นนูเมทัล บ้างก็พยายามจำกัดความง่ายๆ ว่าเป็นฮาร์ดร็อค แต่ถ้าให้เรียกแบบกินความหมายครอบคลุมที่สุดล่ะก็ คงต้องบอกว่าพวกเขาเป็นวงร็อคที่แพรวพราว สอดผสานดนตรีในพรมแดนอื่นๆ เข้ากับซาวน์พื้นฐานแบบยุค 90's และขณะเดียวกันก็มีพลังขับเคลื่อนแบบพังค์นอกจากจะเป็นที่รู้จักกันในฐานะของวงร็อคหลากกลิ่นแล้ว แฟนเพลงหลายคนยังชอบเนื้อหาวิจารณ์สังคมและการเมืองของพวกเขาที่เข้าใจทำให้ถูกจริตคนบางกลุ่มได้ บวกกับดนตรีหนักๆ จากหลายๆ เพลงแล้ว…
Music
  ช่วงที่ผ่านมามีข่าวคราวเกี่ยวกับคอนเสิร์ตแนวอนุรักษ์ธรรมชาติอะไรพวกนี้ออกมาหลากหลายมากมายอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะคอนเสิร์ตต้านโลกร้อนที่เข้าใจเกาะกระแสเรื่องที่คนทั่วโลกสนใจ (แต่ไม่รู้ว่าเข้าใจลึกไปในระดับไหน) มาสร้างเวทีคอนเสิร์ตให้สนุกสุดเหวี่ยง เวลามีคนมาถามความเห็นผมเรื่องนี้ ผมมักจะหัวเราะ หะ ๆ แล้วตอบว่ารู้สึกเฉย ๆ ถ้ามันจะดีมันก็ดีในแง่ที่มีคอนเสิร์ตมาให้สนุกกัน ส่วนศิลปินก็ได้หน้าได้ตากันไป เพราะโดยส่วนตัวผมไม่คิดว่าศิลปินจะรู้ลึกรู้จริงรู้จังอะไรกันเรื่องนี้มากมาย ไม่ต้องกระไรมาก ผมจะยกตัวอย่างจากประสบการณ์ตรงเรื่องหนึ่ง คือเมื่อหลายปีก่อน…
Music
  "ผมคงจัดเป็นพวกปีกซ้ายนั่นแหละ และพอเวลาผ่านไปผมก็รู้สึกแข็งแกร่งขึ้น ผมให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์มากกว่าอิฐบล็อกหรือกำแพงศักดิ์สิทธิ์ ผมเชื่อในการมีชีวิตอยู่ ผมคิดว่าแทนที่คำถามจะเป็น ‘พวกคุณเชื่อในพระเจ้าหรือเปล่า' มันควรจะเป็นว่า ‘พระเจ้าเชื่อในพวกเราหรือเปล่า' ต่างหาก ใครจะรู้ได้"- Aviv Geffen - Memento Mori"Officer, it's better to be a coward that is alivethan to be a dead heroYou fight with tanks and gunsI fight with pen and paperYou call me a draft dodgerMemento Mori..."- Memento Mori (2)จริงๆ แล้ว ไม่เพียง Aviv Geffen เท่านั้นที่เป็นที่รู้จักของชาวอิสราเอลโดยทั่วไป…
Music
  "1,000 people yellShouting my nameBut I wanna die in this momentI wanna die"- 1,000 People -Aviv Geffen เกิดและเติบโตในช่วงสงครามเลบานอนครั้งแรก ที่กองทัพอิสราเอลคิดจะเข้ายึดครองเลบานอนเพื่อยุติสงครามกลางเมือง แต่ความขัดแย้งนี้ดูจะห่างไกลจากตัวเขารวมถึงหนุ่มสาวคนอื่น ๆ ซึ่งต่างก็ดำเนินชีวิตคู่ขนานกับความขัดแย้งนี้จนแม้ปัจจุบันก็ยังไม่จบไม่สิ้น ข้อตกลงหยุดยิงไม่อาจทำให้ความตึงเครียดลดลงได้ ระเบิดนิรนามยังคงถูกยิงมาจากที่ไหนสักแห่งภาพที่ดูขัดแย้งกันอย่างชัดเจนในตัว Geffen คือ ขณะที่เขาแต่งเพลงและเผยความคิดเห็นในแบบอิสราเอลฝ่ายซ้าย แต่ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ประสบความสำเร็จในอาชีพทางดนตรี…
Music
  "Love films are broadcast lateBut violence is allowed at any hourWhile on a kibbutz a girl was rapedIn the disco they set their spirits free"- Violence -เป็นเรื่องธรรมดาที่น้อยคนในบ้านเราจะรู้จักศิลปินหนุ่มจากอิสราเอลที่ชื่อ Aviv Geffen เพราะผมเองกว่าจะรู้จักเขาก็ต้องโยงอะไรหลายทอดอยู่เหมือนกันมันเริ่มจากการที่ผมชื่นชอบวงโปรเกรสซีฟร็อค ที่ชื่อ Porcupine Tree แล้วนักร้องนำและผู้กุมบังเหียนของวงนี้คือ Steve Wilson ในขณะที่ยังคงอยู่กับวงเดิม ก็ได้ออกไปมีโปรเจกท์ย่อยคือวง Blackfield ด้วย ซึ่งวงโปรเจกท์ของเขานี้ ก็ตั้งใจว่าจะเป็นวงป็อบร็อค ที่ทำร่วมกับนักดนตรีรุ่นน้องชาวอิสราเอลคนหนึ่ง…