Skip to main content

Bruce Springsteen Magic

Magic เป็นชื่ออัลบั้มล่าสุดของ Bruce Springsteen (หรือที่เรียกกันว่า The Boss*) ในอัลบั้มนี้เขากลับมาร่วมงานกับวงแบ็คอัพที่ชื่อ E Street band อีกครั้ง ทำให้ทิศทางของอัลบั้มนี้เน้นไปที่แนวทางของร็อคอีกครั้ง หลังจากอัลบั้มที่แล้วคือ Devils and Dust ออกเป็นงานแนวโฟล์คมากกว่า

แต่ไม่ว่าจะเป็น Bruce Springsteen ในแบบของโฟล์คหรือ Bruce Springsteen ในแบบของร็อค ผมก็รู้สึกว่าดนตรีของ The Boss ผู้นี้ก็ช่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเป็นอเมริกันอยู่เสมอมา

ซึ่งดนตรีในอัลบั้ม Magic นี้ไม่เพียงแค่กลิ่นของความเป็นอเมริกันที่ยังคงมีอยู่ถ้วนทั่วอย่างเดียวเท่านั้น แต่ละเพลงที่ถ่ายทอดออกมาจาก The Boss กับวง E Street Band นี้ ยังคงอวลไปด้วยซาวน์แบบเก่า ๆ ไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก

ทีแรกผมคิดว่าการคงทีไม่เดินไปไหนต่อแบบนี้มันน่าเอามาด่าในคอลัมน์นี้อยู่เหมือนกัน แต่ฉันทาคติในตัวผมเองมันได้ครอบครองพื้นที่ความคิดของผมไปสิ้นแล้ว (จะว่าไป...การยึดถือความคิดที่ว่าดนตรีต้องเปลี่ยนแปลง เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ก็เป็นความ "ยึดติด" อย่างหนึ่งได้เหมือนกัน)

ฉันทาคติมันมาจากความปลาบปลื้มในดนตรี ...โดยจริง ๆ แล้ว อัลบั้ม Magic แม้ยังจะคงความเก่า แต่มนต์ขลังในดนตรีนั้นก็เจือจางลง จนอาจชวนตั้งคำถามว่า มันเป็นที่ตัวของ Springsteen เอง หรือตัวผมเองกันแน่ ที่เปลี่ยนไป

แม้มนต์ขลังจะเจือจางลง แต่อัลบั้มนี้ก็ทำให้ได้รู้ว่า The Boss คนนี้ก็ยังคงเป็น The Boss คนเดิม คนเดียวกับที่ทำร็อคทรงพลังอย่าง Born to run ที่เนื้อหาเกี่ยวกับการชวนกันออกหนีเที่ยวของคู่รักที่เป็นระดับล่างในสังคม The Boss คนเดียวกับที่ทำเพลงโหยเศร้า ด้วยเสียงฮาร์โมนิก้า อย่าง The River เพลงนี้ผมมีโอกาสได้ฟังจากเทปรวมฮิตตั้งแต่สมัยวัยกระเตาะ และหลงเสน่ห์มนต์ขลังของมันเข้า จนถึงขั้นพยายามแปลเนื้อเพลงทั้งหมดทั้งที่ภาษาอังกฤษยังเสน็ค ๆ ฟิชช์ ๆ (งู ๆ ปลา ๆ)

เรื่องราวในเนื้อเพลงของ The River พูดถึงหนุ่มสาวที่รักกันมาตั้งแต่สมัย high school แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ในสมัยนั้น (ซึ่งตรงกับสมัยของ ปธน. โรนัลด์ เรแกน) และสถานะที่ยากจน ทำให้ทั้งคู่ไม่มีเงินสำหรับการแต่งงาน ที่ซึ่งเปรียบเสมือนสถานวิวาห์ของทั้งคู่ จึงกลายเป็น "แม่น้ำ" ที่พวกเขาเคยลงไปใช้เล่น และใช้เวลาร่วมกัน

"...No wedding day smiles, no walk down the aisle
No flowers, no wedding dress

That night we'd go down to the river
And into the river we'd drive
Oh down to the river we did ride"

- The River

แม้ Springsteen จะแอบกัดเรื่องเศรษฐกิจยุครัฐบาลเรแกนไว้ แต่เรแกนก็เคยชมว่า The Boss นี้ช่างเต็มไปด้วยความรักชาติ (Patriotic) เพราะเข้าใจผิดว่าเพลง Born in the U.S.A จากอัลบั้มชื่อเดียวกันนั้นเป็นเพลงเชิดชูความเป็นอเมริกัน แต่จริง ๆ แล้วเพลงนี้เขาได้แต่งให้กับเพื่อนทหารผ่านศึก ที่ไปรบในสงครามเวียดนาม แล้วต้องกลับมาพบเจอกับความยากลำบากหลังกลับมาจากสงคราม ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์แย่ ๆ ที่ติดตัวมา ภาวะการว่างงาน หรือ ความรู้สึกแปลกแยก

"Down in the shadow of the penitentiary
Out by the gas fires of the refinery
I'm ten years burning down the road
Nowhere to run ain't got nowhere to go"

- Born in the U.S.A

ผมไม่รู้ว่า Bruce Springsteen นั้น Patriotic ขนาดไหน แต่ผมเชื่อว่าชายผู้นี้คือคนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความคิดอุดมคติแบบอเมริกัน (American Ideal) และอุดมคติแบบอเมริกันนี้ได้แฝงฝังอยู่ในเนื้อหาเขาอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเพลงสะท้อนชีวิตคนสามัญทั่วไป เพลงเชิงสังคมการเมือง หรือแม้กระทั่งเพลงรัก

Bruce in the USA

แต่เนื้อหาในอัลบั้ม Magic นี้ ฟังดูแล้วราวกับว่า Bruce กำลังพยายามสื่อถึงความผิดหวัง อเมริกาในทุกวันนี้ไม่ใช่สิ่งที่เป็นอย่างอุดมคติวาดไว้


การเชิดชูและตอบแทนคนทำงานหนัก ถูกเอามาปั้นให้เป็นอเมริกันดรีมส์ล่อหลอกผู้คน
การยึดมั่นในเสรีภาพ ก็พบแต่เสรีภาพลวงตา ในระดับตื้น ๆ
ความรักชาติและความหวาดกลัวถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทำสงคราม แย่งชิงทรัพยากร

แต่ใช่ว่าอเมริกาสมัยก่อนจะเต็มไปด้วยความดีงาม ไม่ว่าจะในยุคสมัยใด อุดมคติแบบอเมริกันถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือตอบสนองความต้องการไม่รู้จบของคนบางกลุ่มเพียงเท่านั้น เหล่าผู้ที่เชื่อในอุดมคติดีงามเหล่านั้นจริง ๆ ถ้าไม่ได้ถูกหลอกใช้ ก็จะรู้สึกสับสนในสิ่งที่ตนเชื่อ เพราะ "นักมายากล" ทั้งหลายช่างบิดเบือนพลังทางนามธรรมให้กลายเป็นอาวุธของตนเองได้เก่งกาจ ราวเสกเหรียญให้หายไป เสกกระต่ายให้ออกมาจากหมวก

"I got a coin in your palm
I can make it disappear
I got a card up my sleeve
Name it and I'll pull it out your ear
I got a rabbit in the hat
If you wanna come and see
...
And the freedom that you sought
Driftin' like a ghost amongst the trees
This is what will be
This is what will be (This is what will be)"

- Magic

ในเนื้อเพลง Long Walk Home มีฉากที่พ่อพูดกับลูก ถึงความสวยงามของประเทศที่ธงโบกสะบัดเป็นดาวเท่าจำนวนรัฐ "พ่อ" ในเพลงนี้คงเป็นคนยุคก่อนที่ความเชื่อในอุดมคติแบบอเมริกันยังไม่เลือนหาย ขณะที่ "ลูก" ผู้เป็นเด็กหนุ่มสาวในยุคปัจจุบันคงยากที่จะกลับไปเชื่ออะไรแบบนั้นได้อีก เพราะโลกนอกประตูบ้านที่เขาพบเจอ มันช่างไม่อะไรที่ตรงกับอุดมคติเหล่านั้นอยู่เลย และเส้นทางที่จะย้อนกลับบ้าน ย้อนกลับไปสู่อุดมคติในจุดนั้น มันช่างแสนยาวไกล

"My father said ‘Son, we're lucky in this town,
It's a beautiful place to be born.
It just wraps its arms around you,
Nobody crowds you and nobody goes it alone'

‘Your flag flyin' over the courthouse
Means certain things are set in stone.
Who we are, what we'll do and what we won't' "

- Long Walk Home

ข้อสังเกตอย่างหนึ่งที่ผมมีต่ออัลบั้มนี้คือ ในช่วงครึ่งแรกของอัลบั้มเพลงของ Springsteen ยังคงมีความสดใสในแบบของตัวเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นบทเพลงถึงประธานาธิบดีบุชอย่าง You'll be comin' down  เพลงที่พูดถึงสถานการณ์สงครามอ้อม ๆ อย่าง Your Own Worst Enemy เพลงชื่อน่ารัก ๆ ที่มีเมโลดี้ไพเราะน่ารักไม่แพ้กันอย่าง I'll Work for Your Love เพลงที่พูดถึงความรู้สึกแปลกแยกกับยุคสมัยแบบหยิกแกมหยอกด้วยจังหวะสนุก ๆ อย่าง Girls in Their Summer Clothes  ขณะที่ Livin' in the Future เพลงกลื่น Soul ที่มีจังหวะสนุกไม่แพ้กัน แม้เนื้อหามันจะชวนหลบลี้จากโลกปัจจุบัน เฝ้าฝันถึงอนาคตที่เปี่ยมด้วยอุดมคติ แต่ก็ยังคงท่วงถ้อยแบบประชดประชัน ไม่เชื่อถือตัวเองอยู่ในที

"Woke up election day
Sky's gunpowder and shades of grey
Beneath the dirty sun
I whistle my time away
Then just about sun down
You come walkin' through town
Your boot heels clickin' like
The barrel of a pistol spinnin' round"

- Livin' in the Future

มาจนถึงช่วงหลังของอัลบั้มความสดใสก็หดหายไป ความซีเรียสจริงจังเข้ามาแทนที่ ไม่ว่าจะกับเพลง Last to die ที่เอามาจากคำพูดของ John Kerry วิจารณ์ทั้งสงครามเวียดนามและสงครามอิรัก เพลงช้าหม่น ๆ อย่าง Devil's Arcade ก็ยังไม่วายพูดเรื่องบรรยากาศของสงคราม จากมุมมองของทหาร เช่นเดียวกับ Devils and Dust จากอัลบั้มที่แล้ว

"The cool desert morning
And nothing to say
Just metal and plastic
Where your body caved"

- Devil's Arcade

แม้ The Boss จะเป็นเหมือนเช่นนักอุดมคติผู้เคว้งคว้างหลงทาง เพราะความคิดที่ตนยึดกุมอยู่นั้นได้ถูกสั่นคลอนครั้งแล้วครั้งเล่า จนพอรู้ตัวโลกที่มองเห็นก็กลายเป็นอื่น เสียงที่ดังเข้ามาในหู ก็ไม่ใช่เสียงอันคุ้นเคยที่อยากได้ยิน เราควรจะโทษยุคสมัย? โทษความแปลกแยกของตัวเอง? โทษอุดมคติที่แม้ว่าเราจะเต็มใจเดินตามมันเสมอมา?

การบิดเบือนของอุดมคติ เป็นเรื่องห้ามไม่ได้ในโลกที่สิ่งที่เห็นและสิ่งที่เป็น ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งเดียวกัน แต่ส่วนตัวผมเชื่อว่านักอุดมคติ ที่จริงจังและจริงใจในความคิดของตัวเองก็ยังคงมีอยู่ และเขาคงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการที่ใครจะเข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น พวกเขาเปรียบเสมือนคลื่นวิทยุในโลกที่ไม่มีใครรู้จัก คอยกระจายเสียงเรียกหาผู้ร่วมเส้นทางความคิด This is Radio Nowhere , is there anybody alive out there (ที่นี่คือสถานีไร้ถิ่นฐาน มีใครยังอยู่แถวนี้บ้าง) หรือหากไม่มีใครจริง ๆ อย่างน้อยก็ขอเสียงจังหวะปลุกเร้าพลังชีวิตให้กลับมาก็ยังดี!

"I want a thousand guitars
I want the pounding drums
I want a million different voices speaking in tongues
....
I just wanna hear some rhythm
I just wanna hear some rhythm
I just wanna hear some rhythm
I just wanna hear your rhythm"

- Radio Nowhere

เมื่อได้ฟังอัลบั้มนี้แล้ว ยังไงผมก็ยังคงยืนยันว่า Bruce Springsteen คือชาวอเมริกัน ผู้ที่มีความคิดอุดมคติแบบอเมริกัน ทำเพลงขายคนอเมริกันเดินถนนทั่วไป และด้วยแนวเพลงร็อคในแบบอเมริกันแต่กระนั้น ก็ไม่อยากให้ลืมว่า

เขาก็คืออเมริกัน ในแบบของตัวเขาเอง 

(*The Boss ฟังดูเป็นฉายาขาใหญ่ แต่จริง ๆ แล้วฉายานี้ได้มาตั้งแต่ยังตระเวนเล่นตามผับกับวง เพราะ Bruce Springsteen มีหน้าที่เป็นคนรับเงินแล้วนำมาเฉลี่ยให้คนในวง จึงได้มีคนเรียกว่า The Boss ... แล้วก็เรียกกันจนทุกวันนี้)

บล็อกของ Music

Music
     จำได้ว่าเทปเพลงที่ผมได้ฟังเป็นม้วนสุดท้ายคือเทปรวมเพลงของ Bob Dylan ซึ่งผมไปอัดเอามาจากคนอื่นอีกที  ผมฟังมันจากเครื่องเล่นเทปพกพา (Walkman-ของปลอมเท่านั้น) แบบเปิดลำโพงได้ รถที่ผมใช้นั้นเครื่องเล่นเทปมันพังไปตั้งแต่ช่วงที่ถูกน้ำท่วมแล้ว ช่วงหนึ่งผมจึกมักจะเอา Walkman ตัวนี้มาวางเปิดไว้ในรถแทน และเวลาเดินทางด้วยรถทัวร์หรือรถไฟก็มักจะติดเจ้าเครื่องเล่นนี้เสียบหูฟัง ฟังเทปที่ว่านี้ไปขณะเดินทางทุกครั้ง จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็น เทป Cassette คู่การเดินทางของผมไม่ว่าจะในระยะใกล้หรือระยะไกลเลยก็ว่าได้คุณภาพเสียงจากเครื่องเล่นของผมในตอนนั้น…
Music
 ที่ผ่านมาผมพูดถึงการที่ดนตรีไม่ได้ทำให้ใครกลายเป็นปัจเจกเทียมก็แล้ว พูดถึงโลกอันหลากหลายหลังปี 1970 ก็แล้ว พูดถึงการที่ตัวดนตรี Serious Music หรือ Popular Music ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการ Liberate อะไรโดยตรง (เว้นแต่วัฒนธรรมที่พ่วงมาด้วย จะว่าไป หากนับวัฒนธรรมที่พ่วงมาด้วย Popular Music น่ะ ช่วย “ปลดปล่อย” ผู้คนได้มากกว่าด้วยซ้ำ) ก็แล้วสำหรับในบทนี้ก็จะมาพูดถึงสิ่งที่อดอร์โนทำผิดพลาดมากที่สุด นั่นคือการปฏิเสธดนตรีป็อบโดยสิ้นเชิง ไม่ร่วมสังฆกรรมใด ๆ กับมันอีก เพราะเขาได้ตีกรอบมาแล้วว่าดนตรีป็อบมันย่อมเป็นอะไรที่ถูกทำให้มีมาตรฐานเดียวกัน (Standardize) และความที่มันมีมาตรฐานเดียวกันนี่เอง…
Music
   In The Flesh?"Tell me is something eluding you sunshine?Is this not what you expected to see?If you'd like to find out what's behind these cold eyesYou'll just have to claw your way through this disguise"จากเพลง ‘In The Flesh?'ของ Pink Floydอดอร์โน...ผมศึกษาและเขียนแย้งแนวคิดของคุณในเรื่องป็อบปูล่าร์มิวสิคมาพอสมควร แต่สิ่งที่ผมค้นพบได้จากตัวคุณมันมีแต่เรื่องเกี่ยวกับความคิดทฤษฎีทั้งนั้นบางขณะที่ผมเคาะแป้นคีย์บอร์ดถกเถียงกับทฤษฎีของคุณ ผมก็ไพล่นึกไปว่า ในช่วงที่คุณมีชีวิตอยู่นั้น อะไรที่ทำให้คุณบันเทิงใจกับดนตรีที่มีซาวด์แบบ Atonal จนคุณถึงกับเขียนชมมันเป็นวรรคเป็นเวรขนาดนี้ (…
Music
    Arnold Schoenberg(นักประพันธ์เพลงคนโปรดของ Adorno)ดูเหมือนความตายของ Adorno ในปี 1969 จะทำให้ผู้ที่ใช้แนวคิดของ Adorno มาวิพากษ์ Popular Music หยุดเติบโตไปด้วย พวกเขามักจะมองดนตรีที่มีอิทธิพลตั้งแต่ยุค 70's เป็นต้นมาอย่างเหมารวมและติ้นเขิน พวกเขาถึงขั้นจัด The Beatles, Nirvana และ Linkin Park ไว้ในประเภทเดียวกันผมไม่ปฏิเสธความเป็นป็อบและร็อคของทั้งสามวงที่ยกตัวอย่างมานี้ หากความเป็นร็อคคือความหนัก และการมีจังหวะที่ชัดเจน หากความป็อบคือความติดหู ฟังง่าย ผมก็เชื่อว่าทั้ง สี่เต่าทอง, กรันจ์เจอร์นิพพาน และ สวนสาธารณะของลินคอร์น ต่างก็มีความเป็นป็อบและความเป็นร็อคทั้งสิ้น (…
Music
Theodor W. Adornoผมได้อ่านบทความเรื่อง "ทบทวนแนวคิด ‘อุตสาหกรรมวัฒนธรรม' : เมื่อวัฒนธรรมกลายเป็นอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมสร้างวัฒนธรรม" ของ อ.เกษม เพ็ญภินันท์ จากวิภาษาฉบับที่ 7 แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเคยอ่านเรื่องของนักคิด/นักวิจารณ์ ที่ชื่อ Theodor Adorno นี้ จากบทความชื่อ "อดอร์โนกับอุตสาหกรรมวัฒนธรรม : กรณีศึกษาเพลงสมัยนิยม (Popular Music)" ในหนังสือชื่อ "เหลียวหน้าแลหลัง วัฒนธรรมป็อบ" ซึ่งเป็นบทความที่พูดถึงเกี่ยวกับดนตรีโดยเฉพาะAdorno เป็นนักคิดสังคมนิยมชาวเยอรมัน ผู้นำเอาแนวคิดของทั้ง Max Waber, Marx และ แม้แต่ Sigmund Freud เข้ามาจับในงานเขียนเชิงวิพากษ์วิจารณ์ของเขา…
Music
ยามใกล้เที่ยงคืนของวันที่ 31 ธันวาคม หรือวันสิ้นปี ในหลาย ๆ พื้นที่ของโลกจะมีการร้องเพลงที่ชื่อ "โอลด์ แลงค์ ซายน์" (Auld Lang Syne) ซึ่งนับเป็น New year's Anthem ฉบับสากล เช่นเดียวกับที่ในไทยมีเพลงตามประเพณีอย่าง "สวัสดีปีใหม่" นั่นแลเพลง "สวัสดีปีใหม่" ของไทยที่ผมได้ยินมาตั้งแต่เด็กแล้ว ผ่านเลยมาไม่ว่ากี่ปี ๆ ก็ยังได้ยิน โดยตามประวัติศาสตร์เพลงนี้มีมาตั้งแต่ สมัยช่วงเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของ จอมพล ป. (ไม่มีกุ้งเผา) เป็นช่วงที่เปลี่ยนวันปีใหม่ไทยจาก 1 เมษายน มาเป็น 1 มกราคม เพื่อความเป็นสากล (ข้ออ้างยอดฮิตของชนชั้นนำในยุคนั้น) และ "สวัสดีปีใหม่" ก็เป็นหนึ่งในเพลงเทศกาล ที่มาจากวงสุนทราภรณ์…
Music
"ถึงรู้ว่ามันจะต้องเกิดขึ้น แต่ก็ยากจะทำใจ"คำๆ นี้ใช้ได้ดีกับสถานการณ์ในช่วงวันที่ 19-21 ที่ผ่านมา กับการที่พวก Elite ทั้งหลายที่นั่งเออออห่อหมกกับร่างกฏหมายที่จะมีผลกับประชาชนทั้งประเทศ ดูตัวเลขก็รู้แล้วว่าพวกเขาเออออห่อหมกกันขนาดไหน ไม่โปร่งใสมากขนาดไหน และเผด็จการกันขนาดไหน!เป็นที่รู้กันว่า พวก Elite ทั้งหลายนี้มาจากการคัดเลือกแต่งตั้งกันเองของคนบางกลุ่ม ซึ่งทำให้ได้กลิ่นคณาธิปไตยตุๆ แล้ว กระบวนการพิจารณากฏหมาย ที่พากันออกถี่ระรัว จนราวกับว่าพวกเขาไม่ได้คลอด กม.ลูกทั้งหลายอย่างมีสติ แต่เหมือนคนเมาสำรอกอาเจียนเอาทุกสิ่งทุกอย่างในใส้ในพุงออกมา!ใช่แล้ว!…
Music
นึกย้อนไปถึงวันที่ได้เข้ามหาวิทยาลัยวันแรกๆ ชุดยูนิฟอร์มถูกระเบียบกับตำราเรียนเล่มใหญ่ๆ หอพักในมหาวิทยาลัยที่ทำให้พานพบกับผู้คนมากหน้าหลายตา ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ต่างไปจากตอนเรียนในโรงเรียนมัธยม คือความรู้สึกว่า ที่นี่ ฉันจะมีเสรีภาพมากขึ้น มีชีวิตที่หลากหลายกว่าเก่า และพื้นที่ทางความคิดที่จะปลดปล่อยฉันจากกรงขังอันแปลกแยกของโลกใบเดิมได้แต่แล้วก็ได้พบว่า สิ่งที่คาดหวังเอาไว้มันเป็นความจริงเพียงแค่บางส่วน นอกนั้นเป็นมายาภาพที่ฉันนึกฝันเอาเองใช่ๆ ฉันเคยถูกเสี้ยมสอนเช่นเดียวกับอีกหลายๆ คนว่าผู้ใหญ่เป็นผู้มีประสบการณ์ สิ่งที่พวกเขามอบให้เราต้องเป็นสิ่งที่ดีแน่ๆ แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ…
Music
"ไม่ว่าจะสูงต่ำดำขาว ทุกคนล้วนมีชีวิตเฉกเช่นเดียวกัน ไม่มีชีวิตของใครที่มีค่ามากกว่าของใคร ท่านทั้งหลาย...ประโยคสุดท้ายในเพลง Imagine ของ จอห์น เลนนอน ไม่ได้มีความหมายแบบนี้หรอกหรือ"
Music
Magic เป็นชื่ออัลบั้มล่าสุดของ Bruce Springsteen (หรือที่เรียกกันว่า The Boss*) ในอัลบั้มนี้เขากลับมาร่วมงานกับวงแบ็คอัพที่ชื่อ E Street band อีกครั้ง ทำให้ทิศทางของอัลบั้มนี้เน้นไปที่แนวทางของร็อคอีกครั้ง หลังจากอัลบั้มที่แล้วคือ Devils and Dust ออกเป็นงานแนวโฟล์คมากกว่าแต่ไม่ว่าจะเป็น Bruce Springsteen ในแบบของโฟล์คหรือ Bruce Springsteen ในแบบของร็อค ผมก็รู้สึกว่าดนตรีของ The Boss ผู้นี้ก็ช่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเป็นอเมริกันอยู่เสมอมาซึ่งดนตรีในอัลบั้ม Magic นี้ไม่เพียงแค่กลิ่นของความเป็นอเมริกันที่ยังคงมีอยู่ถ้วนทั่วอย่างเดียวเท่านั้น แต่ละเพลงที่ถ่ายทอดออกมาจาก The Boss กับวง E…
Music
ในคืนวันที่ 10 ของเดือนที่แล้ว (ตุลาคม)...ผมนั่งหน้าจอคอมพ์ใจจดใจจ่ออยู่กับเว็บไซต์ http://www.inrainbows.com/ เพราะได้ข่าวว่าวง Radiohead จะประกาศขายเพลงแบบ Digital Download ผ่านทางเว็บไซต์นี้และที่ทำให้คนตื่นเต้นกันอย่างหนึ่งก็คือ การที่ทางวง Radiohead ประกาศว่า จะสามารถสั่งซื้อในแบบที่ผู้ซื้อสามารถให้ราคาเองได้ตามใจชอบ ...ตามใจชอบในที่นี้หมายความว่า แม้แต่จะใส่เงินเป็น 0.00 (ซึ่งก็เหมือนขอโหลดมาฟรี ๆ นั่นแหละ) ก็สามารถทำได้ ! ซึ่งจะว่าไปเรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ขนาดนั้น เพราะผมเคยเจอวงที่ชื่อว่า Craw เปิดเว็บไซต์ที่ใช้ชื่อง่าย ๆ ว่า http://www.craw.com/…
Music
"ความฉาบฉวยและความสับสนอาจจะทำให้บางคนคิดว่ามันเวอร์ไปหรือเปล่า ยุคสมัยมันหม่นมืดขนาดนี้จริงๆ หรือ ต้องไม่ลืมว่าวง Porcupine Tree มาจากประเทศอังกฤษ มิวสิควีดิโอเพลง Fear of a Blank Planet เองก็อาจชวนให้นึกถึงเหตุการณ์บางอย่างที่เคยเกิดขึ้นจริง (หลายครั้ง) ในสหรัฐฯ และที่สำคัญคือการเล่าของพวกเขาก็ไม่ได้ตัดสินอะไรแทนเราว่าสิ่งที่บอกผ่านออกมานี้ดีหรือไม่ดี" วง Porcupine Tree อาจจะเป็นที่รู้จักน้อยมากสำหรับคนทั่วไป และอาจจะเป็นที่รู้จักบ้างพอสมควรสำหรับคนที่ชอบฟังเพลงแนว Progressive Rock ซึ่ง Porcupine Tree ถือเป็นวงที่มีแนวทางของ Psychedelic/Space อันหลอนและล่องลอยแบบ Pink Floyd เป็นหลัก…